Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 1024

บทที่ 1024 เขาไม่รู้สึกว่าเขาติดค้างคำอธิบายเธออยู่หรือไง?

โอสถชนิดนี้ก็คือวัตถุดิบที่หลงซือเย่ต้องการเพื่อมารักษาโรคประหลาดของตี้ฝูอี ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง แทบไม่ออกไปทำอะไรเลยทั้งวัน แม้แต่ข้าวปลาก็ล้วนเป็นตี้ฝูอีนำเข้ามาส่งให้เธอด้วยตัวเอง

เนื่องจากเกรงว่าจะไปกระตุ้นอารมณ์หลงซือเย่อีก สุดท้ายกู้ซีจิ่วเลยแยกห้องกับตี้ฝูอี ต่างคนต่างมีห้องพักหนึ่งห้อง

วิชาหลอมโอสถของกู้ซีจิ่วมีหลงซือเย่คอยสอนให้เธอ และมีความรู้ด้านตัวยาแผนปัจจุบันด้วยบางส่วน ถึงแม้วิชาหลอมโอสถของตี้ฝูอีจะลํ้าเลิศยิ่ง นัก แต่เรื่องตำรายาแผนปัจจุบันนี้เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ประกอบกับยามนี้เขาต้องปิดบังฐานะตัวตน ไม่อาจเผยทักษะการหลอมโอสถชั้นสูงออกมาได้ ดังนั้นการหลอมโอสถนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของกู้ซีจิ่ว

หลงซือเย่มีนิสัยเป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก จุดสำคัญของวิชาหลอมโอสถนี้เขาถ่ายทอดให้เพียงกู้ซีจิ่วเท่านั้น ไม่อนุญาตให้เธอเผยแพร่สู่ภายนอก แถมยังส่งเด็กช่วยปรุงยาคนหนึ่งมาอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว เป็นลูกมือในนามของกู้ซีจิ่ว ความจริงก็คือคอยดูแลไม่ให้ตี้้ฝูอีเข้ามาแอบเรียนรู้ลักจำ…

สำหรับการจัดการเช่นนี้ของหลงซือเย่ ตี้ฝูอีไม่สบอารมณ์ยิ่งนักจริงๆ กู้ซีจิ่วเกรงว่าเขาระเบิดอารมณ์ออกมา จึงลากเขาไปที่มุมหนึ่งพูดคุยทำความเข้าใจกันอยู่พักหนึ่ง ถึงทำให้เขาไปพักอยู่ห้องอื่นอย่างสงบได้

อันที่จริงแล้วตี้ฝูอีผู้หยิ่งทะนงยิ่งนัก เรื่องลักเรียนวิชาเช่นนี้เขาคร้านจะทำ ดังนั้นนอกเหนือจากยามที่เข้ามาส่งข้าวส่งนํ้าให้กู้ซีจิ่วแล้วเขาแทบจะไม่เข้าไปในห้องของงกู้ซีจิ่วเลย

ดำเนินไปจนถึงยามกะสอง กู้ซีจิ่วถึงได้หลอมโอสถทั้งหมดที่ต้องการเสร็จเรียบร้อย เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก จึงไปหาตี้ฝูอีที่ห้องของเขา อยากดูว่าการฟื้นฟูของเขาเป็นอย่างไรบ้าง

ตี้ฝูอีนั่งอยู่บนเตียงทว่าไม่ได้นั่งสมาธิอยู่ แต่กำลังมองป้ายหยกในมืออย่างเหม่อลอย เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วเข้ามาจึงกวักมือเรียกเธอเข้าไป

กู้ซีจิ่วมองป้ายหยกในมือเขาแล้วมองเขาต่อ “ป้ายหยกแผ่นนี้ดูเหมือนป้ายหยกถ่ายทอดบัญชาของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก…”

ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “แน่นอนสิ ของๆ ข้าย่อมต้องเหมือนของๆ ข้าอยู่แล้ว”

กู้ซีจิ่วตะลึงงัน เรื่องที่ตี้ฝูอีก็คือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ในใจของเธอพอจะเดาออกแล้ว แต่ไม่มั่นใจเต็มที่ แต่ยามนี้…นี่คือเขายอมรับเองกับปากเลยใช่ไหม?

เธอเลิกคิ้วมองเขาไม่พูดอะไร

ตี้ฝูอียื่นมือดึงเธอไปอยู่ข้างกายตน “เจ้ารู้อยู่นานแล้วมิใช่หรือ? ยังต้องการให้ข้าอธิบายอยู่หรือไม่?”

เมื่อฟังประโยคนี้จบ กู้ซีจิ่วที่เตรียมใจไว้นานแล้วก็ยังคงตะลึงไปครู่หนึ่งอยู่ดี ทว่าปากกลับไม่วายร้องเหอะออกมาคราหนึ่ง “ท่านว่ามาสิ?”

เขาไม่รู้สึกว่าเขาติดค้างคำอธิบายเธออยู่หรือไง?

ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “เรื่องนี้…อันที่จริงเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงคำเรียกขานอย่างหนึ่ง บ่งบอกถึงฐานะ มันก็เหมือนการเรียกขานจักรพรรดินั่นแหละ ไม่ได้ชี้เฉพาะเจาะจง คนผู้หนึ่งใช้ฐานะนี้ถึงแม้จะดูเหมือนโชติช่วงยิ่งนัก ได้รับความเคารพยกย่องจากปวงชน แต่ก็เรื่องที่ไม่สามารถกระทำตามอำเภอใจได้มากมายเหลือเกิน ดังนั้นข้าจึงยินดีเป็นตี้ฝูอีเดินทางทั่วหล้าอย่างอิสระเสรีจะได้ไม่น่าเบื่อมากเกินไป”

กู้ซีจิ่วไม่เห็นด้วย “เทพศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงฐานะ? เช่นนั้นฐานะนี้ก็เป็นฐานะที่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นท่านกระมัง? จักรพรรดิสามารถผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนได้ แต่เทพศักดิ์สิทธิ์มีเพียงท่านคนเดียว”

ตี้ฝูอีตอบราวกับจะล้อเล่น “นี่ก็ไม่แน่ หากเจ้านั่งอยู่ในตำแห่งนี้ของข้า ก็จะถูกเรียกว่าเทพศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน”

กู้ซีจิ่วร้องชิคราหนึ่ง ปากส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา เธอย่อมไม่เก็บมาใส่ใจ คล้ายว่าเธอจะนึกอะไรขึ้นได้ “ได้ยินว่านามที่แท้จริงของเทพศักดิ์สิทธิ์คือหวงถู สรุปแล้วอันไหนกันแน่ที่เป็นชื่อจริงของท่าน?”

“นามเป็นเพียงเครื่องหมายบ่งบอกตัวคนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหวงถูหรือตี้ฝูอี ล้วนเป็นตัวข้าทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเรียกอะไรเนื้อแท้ก็ไม่แตกต่างกันสักเท่าใด…ตี้ฝูอีคือฐานะที่ข้าใช้เสมอยามเดินทางในโลกหล้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็แทบจะหลงลืมนามที่แท้จริงของตนไปแล้วเช่นกัน…”

โอกาสที่เขาจะใช้ฐานะเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูปรากฏตัวขึ้นบนโลกมีน้อยยิ่งนัก นานทีปีหนถึงจะปรากฏตัวออกมาสักครั้งสองครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version