บทที่ 1322 ร่วมเรียงเคียงหมอน 3
ตี้ฝูอีหลุบตามมองนาง สภาพของนางในยามนี้จนตรอกมอซอโดยแท้ แต่เขากลับรู้สึกว่านางน่ามอง น่ามองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
นางหลับสนิทยิ่งนัก แพขนตาหลุบลู่ดั่งพัดเล่มน้อย เมื่อนางหลับเล่ห์เหลี่ยมจะลดน้อยลง เสมือนเด็กน้อยที่ไม่หือไม่อือ
เขาอดกลั้นต่อความเจ็บปวดดึงนางมากอดไว้ในอ้อมอก นางก็โอบเอวเขาไว้ตามสัญชาตญาณ ใบหน้าน้อยๆ ของนางซุกอยู่ใกล้ทรวงอกเขา ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกนั้นอบอุ่นอย่างยิ่ง
ตี้ฝูอีอดใจไม่ไหวจึงก้มลงไปจุมพิตหน้านางคราหนึ่ง ถึงแม้จะทำอะไรไม่ได้ แต่ได้กอดนางไว้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
ดังนั้นเขาที่พออกพอใจอยู่จึงกอดนางไว้แล้วหลับตาปรับลมปราณเล็กน้อย เขาใช้เคล็ดปรับลมปราณแบบพิเศษอย่างหนึ่ง การปรับลมปราณเช่นนี้มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผลที่สุด
เขาเพิ่งหลับตาปรับลมปราณได้ไม่กี่นาที จู่ๆ ก็สัมผัสบางอย่างได้จึงลืมตาขึ้น
กู้ซีจิ่วตื่นแล้ว โน้มกายเข้ามากึ่งหนึ่งมองเขาอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นเขาลืมตาขึ้น เป็นการยืนยันว่าเขายังมีสติอยู่ เธอถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วนอนลงไปอีกครั้ง เอ่ยพึมพำ “ดีแล้ว ท่านไม่ได้สลบไป…”
กล่าวประโยคนี้ยังไม่จบนางก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง
ตี้ฝูอีพูดไม่ออก ดูเหมือนการที่เขาหมดสติในหลายวันมานี้จะสร้างเงามืดให้นางไม่น้อย นางในยามนี้เหมือนเด็กน้อยขวัญเสียคนหนึ่ง ในใจเขาทั้ง ปวดหนึบทั้งอบอุ่น ไม่ปรับลมปราณต่อแล้ว เพียงกอดนางไว้เงียบๆ มองนางหลับใหล หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายเดี๋ยวนางจะตื่นขึ้นมาอีก …
เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ หลังจากกู้ซีจิ่วหลับไปไม่กี่นาทีก็ลืมตามองเขาอย่างขวัญเสียอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขายังตื่นอยู่เธอถึงได้วางใจ จากนั้นก็หลับไปอีก
ดำเนินไปเช่นนี้ เธอหลับอยู่ในอ้อมกอดเขากว่าหนึ่งชั่วยาม ตื่นขึ้นมากว่าสิบครั้ง และทุกครั้งล้วนต้องได้รับการยืนยันว่าเขายังตื่นอยู่ จับชีพจรเขาไปตามสัญชาตญาณ…
สุดท้ายตี้ฝูอีจึงสัญญากับเธอว่า “วางใจเถอะ ก่อนเจ้าตื่นข้าจะไม่หลับเด็ดขาด!”
ดังนั้นในที่สุดกู้ซีจิ่วเลยหลับไปอย่างสงบมากขึ้น การหลับงีบสุดท้ายนี้ก็นานขึ้นเล็กน้อย ประมาณครึ่งชั่วโมง
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ดูแจ่มใสขึ้นไม่น้อยแน่นอนว่าพอเธอตื่นขึ้นมาอย่างแรกที่ทำยังคงเป็นการมองเขาและจับชีพจร
ตี้ฝูอีก็ปล่อยให้เธอจับอย่างว่าง่าย ซํ้ายังไม่ลืมที่จะเอ่ยหยอกเธอ “ข้อมือข้าถูกเจ้าจับจนแทบด้านเป็นไตแล้วนะ”
กู้ซีจิ่วหน้าแดงนิดๆ เธอก็รู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองค่อนข้างประสาทแล้ว
ด้วยเหตุนี้เธอเลยปล่อยข้อมือเขา เอ่ยวาจาที่คล้ายกับหมอเฉพาะทางออกมาประโยคหนึ่ง “ชีพจรของท่านทรงพลังขึ้นมาก ฟื้นฟูได้ไม่เลว!”
ตี้ฝูอีมองนาง “เอาล่ะ บอกข้ามา หลายวันที่ผ่านมาเจ้าไม่กินไม่นอนเลยหรือ?”
เมื่อครู่เขาก็จับชีพจรนางดูเช่นกัน ชีพจรของนางเบาโหวงเลื่อนลอย เป็นอาการของการอดนอนและขาดสารอาหาร
กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง หลายวันมานี้ที่เขาสลบไปเธอคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด ถึงแม้หลัวจั่นอวี่จะมาส่งอาหารให้เธออยู่หลายครั้ง แต่เธอไม่มีความอยากอาหารอันใดเลย ทุกครั้งล้วนกินเพียงคำสองคำก็พอแล้ว
ยามนั้นไม่รู้สึกหิวเลยจริงๆ ถึงขั้นที่ในทรวงอกมักจะรู้สึกจุกแน่นอยู่เสมอ
ตอนนี้พอตี้ฝูอีถามออกมาเช่นนี้ เธอรู้สึกหิวขึ้นมาทันควัน ร่างกายก็ค่อนข้างอ่อนล้า จึงตอบอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ก็ไม่กี่วันหรอก ท่านฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว ข้าจะออกไปบอกให้คนเอานํ้าผลถันภังคีมาให้ท่านดื่ม…”
เธอกระโดดลงจากเตียง ขณะที่กำลังจะวิ่งออกไป ก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นด้านนอก หลัวจั่นอวี่ก้าวเข้ามาพร้อมกับสำรับอาหาร
ทันทีที่เห็นตี้ฝูอี เขาทั้งตกใจทั้งยินดี “อ่า ท่านฟื้นแล้ว!”
พลางพ่นลมหายใจออกมายาวๆ “ท่านสลบไปถึงสี่วันเชียวนะ!”
ตี้ฝูอีมองไปทางกู้ซีจิ่ว สี่วัน?
นางอยู่ข้างกายเขาคอยดูแลจนไม่ได้พักผ่อนตลอดสี่วันหรือ?
ถึงแม้นางจะหลับไปงีบหนึ่งแล้ว แต่รอยคลํ้าใต้ตายังคงเข้มยิ่งนัก