บทที่ 138
กระต่ายที่ถูกบีบบังคับอย่างรุนแรงก็สามารถกัดคนให้ตายได้
องค์ชายหรงเหยียนครุ่นคิดจนปวดหัวไปหมด แต่กลับนึกประเด็นสำคัญในนั้นไม่ออก
อยู่ในที่สาธารณะ จักรพรรดิย่อมไม่สามารถเข้าข้างคนของตนเกินไปได้จึงมีพระบัญชาให้นำองค์ชายหรงเหยียนและกู้เทียนฉิงไปคุมขังที่คุกหลวง ให้สามกรมไต่สวนให้ชัดเจนแล้วค่อยตัดสิน
จะอย่างไรองค์ชายหรงเหยียนก็เป็นเพียงองค์ชายอายุสิบกว่าปีองค์หนึ่ง ถึงแม้จะเติบโตมาในวังหลวง แต่เนื่องจากเขาไม่มีอำนาจคุกคาม แม้คนในวังจะดูแคลนเขา แต่ก็ไม่มีใครคิดแผนปองร้ายอะไรกับเขา เพราะไม่คุ้มค่าพอ
ดังนั้นความคิดของเขาจึงตื้นเขิน ยามนี้เห็นคดีใหญ่ร้ายแรงหล่นใส่ศีรษะ แต่เขากลับไม่มีวิธีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน ในใจหวาดผวาไปนานแล้ว!
เขามีความกล้าเพียงน้อยนิด ไม่ทันให้องครักษ์มาจับกุมเขา ก็ตัวแข็งทื่อไปก่อนแล้ว แทบจะยืนไม่ขึ้น ถูกเหล่าองครักษ์ลากลงไป
ส่วนกู้เทียนฉิง นางยังพอมีความเด็ดเดี่ยวอยู่หลายส่วน ถึงแม้นางจะหวาดกลัวแทบตาย แต่ยังสามารถลุกยืนขึ้นได้ซํ้ายังเอ่ยวาจาได้คล่องแคล่ว “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ส่งคนไปสังหารเล่อฮวาโหวจริงๆ นะเพคะ หม่อมฉันไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยเถิดเพคะ เทียนฉิงจะต้องเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแน่นอน…”
นํ้าเสียงของนางแหลมกังวาน ภาพลักษณ์ของหญิงสาวผู้ดีมีสกุลไม่หลงเหลืออีกแล้ว จนตรอกอย่างที่ไม่สามารถจนตรอกไปมากกว่านี้ได้แล้ว
จะทำอย่างไรก็ไม่มีใครรับฟังนาง และไม่มีใครเชื่อนาง แม้แต่ท่านพ่อที่รักใคร่นางที่สุดก็เบือนหน้าหนี ไม่มองนาง
จิตใจของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ตอนที่ถูกลากไป ยังปากบันได สายตาของนางตกลงบนร่างของกู้ซีจิ่ว จู่ๆ ก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาตะโกนเสียงดัง “เป็นนาง! เป็นแผนที่นางวางไว้แน่ๆ ! นางไม่ใช่กู้ซีจิ่ว! ทุกอย่างไม่ถูกต้อง! นางต้องถูกภูตผีร้ายอะไรสิงสู่แน่ๆ! ถึงมาทำร้ายข้า! ยามปกตินางขี้ขลาดถึงเพียงนั้น ถูกรังแกก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะผายลม ตอนนี้กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน…นาง ต้องไม่ใช่นางแน่ๆ ! นางเป็นปีศาจ…”
ประโยคหลังนางไม่ได้ส่งเสียงดังอีกต่อไป เพราะถูกนางกำนัลอาวุโสที่ควบคุมตัวสกัดจุด จากนั้นก็ถูกลากลงไปอย่างเรียบร้อย
เดิมทีการที่กู้ซีจิ่วชนะสตรีศักดิ์ศรีแห่งสำนักถามสวรรค์ ได้ถือเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง จักรพรรดิยังคิดจะถือโอกาสจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่คึกคัก แต่พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาก็ไม่มีอารมณ์แล้ว
ดูเหมือนว่าประโยคนั้นที่กู้เทียนฉิงโวยวายออกมาตอนกำลังจะจากไปไม่ได้สร้างความยุ่งยากใจอะไรให้แก่เขา เขาเองก็ไม่ได้ถามอะไรกู้ซีจิ่ว ยังพูดปลอบโยนเธอสองประโยค ทั้งยังกล่าวปราศรัยกับเหล่าขุนนางอีกหลาย ประโยค แล้วเขาก็ขึ้นเกี้ยวกลับวังไป
กู้ซีจิ่วและกู้เซี่ยเทียนนั่งรถม้ากลับมาคันเดียวกัน เมื่ออยู่บนท้องถนนกู้เซี่ยเทียนทอดถอนใจด้วยหลากหลาย อารมณ์พูดคุยกับเธอ พยายามย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ ในวัยเด็กของเธออย่างสุดความสามารถ
เขามีปฏิสัมพันธ์กับบุตรสาวคนนี้น้อยยิ่งนัก เหตุการณ์ยามเยาว์วัยที่สามารถรำลึกขึ้นมาได้น้อยจนน่าเวทนา
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มีอยู่สองสามเหตุการณ์ที่มีเพียงสองพ่อลูกเท่านั้นที่รู้ กู้เซี่ยเทียนคล้ายจะตั้งใจและไม่ตั้งใจ นำเสนอหัวข้อสนทนาหลายฉากนั้นออกมาเป็นพิเศษ… กู้ซีจิ่วเยาะหยันอยู่ในใจ เห็นทีว่าในที่สุดกู้เซี่ยเทียนก็เกิดความสงสัยในตัวเธอขึ้นมาแล้ว เลยทำเช่นนี้เพื่อหยั่งเชิงเธอ!
โชคดีที่กู้ซีจิ่วมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอยู่ และถึงแม้เจ้าของร่างเดิมจะมีนิสัยอ่อนแอขี้ขลาด แต่ความทรงจำกลับดีเยี่ยมจริงๆ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงตอบโต้การหยั่งเชิงพวกนั้นของกู้เซี่ยเทียนได้อย่างคล่องแคล่ว
ยังไม่ทันเสร็จสิ้น เธอก็กอดอกมองกู้เซี่ยเทียนตรงๆ “นี่ ท่านแม่ทัพสงสัยซีจิ่วอยู่หรือ?”
กู้เซี่ยเทียนถูกเธอเปิดโปงด้วยประโยคเดียว รู้สึกจนมุมอยู่บ้าง ถอนหายใจออกมา “ซีจิ่ว เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ…”
กู้ซีจิ่วกล่าวอย่างเฉยชา “หรือท่านแม่ทัพไม่เคยได้ยินประโยคนี้ที่ว่ามอดม้วยก่อนชนะภายหลัง[2]? กระต่ายที่ถูกบีบบังคับอย่างรุนแรงก็สามารถกัดคนให้ตายได้!” ยามนี้ถึงหน้าประตูจวนแล้ว หลังจากกู้ซีจิ่วทิ้งประโยคนี้ไว้ ก็กระโดดลงจากรถม้าแล้วจากไปทันที
กู้เซี่ยเทียนตบหน้าผากเบาๆ อย่างหงุดหงิด นี่ตนเป็นอะไรไป? ถึงกับสงสัยบุตรสาวของตนเชียวหรือ?
เด็กน้อยแค่ถูกบีบคั้นจนถึงขีดสุดเลยเผยนิสัยที่แท้จริงออกมาก็เท่านั้น…
……………………..
[1]ที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง หมายถึง คนที่ทำอะไรผิดสังเกตจนคนอื่นเดาออกว่าซ่อนหรือปิดบังอะไรไว้
[2]มอดม้วยก่อนชนะภายหลัง อุปมาถึง เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีหนทางให้ถอยกลับ จงเผชิญหน้ากับปัญหา แล้วเอาชนะมันให้ได้