บทที่ 224
โอบกอดเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกลับมาด้วยตนเอง!
ในครั้งนี้หลงซือเย่ลงทุนลงแรงไปไม่น้อยเพื่อนำตัวกู้ซีจิ่วกลับมา ไม่เพียงแต่ให้สายลับทั้งหมดออกปฏิบัติการ แม้แต่นกสืบรอยทั้งหมดก็ถูกส่งออกไป
หลังจากเขาหากู้ซีจิ่วพบ ด้วยเกรงว่าตี้ฝูอีจะติดตามร่องรอยมา จึงสั่งการอย่างลับๆ ให้ลูกศิษย์ในสำนักแสร้งค้นหาตัวคนไปทั่วอาณาจักรเฟยซิงเหมือนเดิม
แน่นอนว่า ตลอดการเดินหางครั้งนี้เขาเก็บซ่อนกลิ่นอายทั้งหมดของตนไว้ ขอเพียงไม่เดินสวนกับตี้ฝูอี ตี้ฝูอีก็จะหาเขาไม่พบ!
ตี้ฝูอีผู้นั้นเข้าใจยากเกินไป นิสัยก็ไม่แน่ไม่นอน ทำให้คนคาดเดาไม่ถูก ต่อให้เป็นหลงซือเย่ เมื่อเผชิญกับเขาก็ปวดหัวอยู่ไม่น้อย แถมต้องระวังตัวเป็นพิเศษด้วย
ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็กลับสู่ดินแดนของตนโดยสวัสดีภาพแล้ว เขาย่อมถอนหายใจด้วยความโล่งอกเป็นธรรมดา
ยามเข้าใกล้หุบเขาถามสวรรค์ เขาถึงเผยตัวออกมา ด้านหน้ามีลูกศิษย์สี่คนกำลังลาดตระเวนรอบภูเขา เมื่อพบร่องรอยของเขาจึงขี่นกบินขึ้นมาต้อนรับ คารวะเขาอยู่บนหลังนกกระเรียน “ขอต้อนรับท่านเจ้าสำนักกลับสู่หุบเขา”
จากนั้นพวกเขาก็พบเด็กหนุ่มผอมแห้งที่ถูกเจ้าสำนักโอบกอดไว้ตลอด…
ทุกคนเบิกตากว้าง!
ท่านเจ้าสำนักของพวกเขา…กอดคนแล้ว!
ท่านเจ้าสำนักของพวกเขามิใช่ว่าไม่ชอบให้คนเข้าใกล้หรอกหรือ?
แม้กระทั่งยามที่เขาสั่งสอนลูกศิษย์ก็ไม่สัมผัสถูกเนื้อต้องตัวพวกเขาเลย เว้นแต่ยามปกติที่จำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อรักษาผู้ป่วย ไม่เช่นนั้นเขาคงรังเกียจที่ต้องสัมผัสเนื้อหนังผู้อื่น
หนนี้…หนนี้กลับโอบกอดเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกลับมาด้วยตนเอง! แม้กระทั่งต่อหน้าพวกเขาที่เป็นศิษย์ในสำนักก็ไม่ยอมปล่อยเลย…
นี่เป็นสถานการณ์แบบใดกัน?
“ท่านเจ้าสำนักขอรับ ท่านผู้นี้คือ?” หนึ่งในบรรดาลูกศิษย์ทำใจกล้าถามขึ้นมา
“คู่หมั้นของข้า” หลังจากหลงซือเย่โยนระเบิดทิ้งไว้ ก็พาคนบินกลับยอดเขาไผ่เซียนของตัวเอง
“หา?!” ลูกศิษย์ทั้งสี่เแทบจะสับสนว้าวุ่นเหมือนเคว้งคว้างอยู่ในสายลม…
ตอนหลงซือเย่จวนจะจากไป ได้กล่าวทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง “เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับชั่วคราว ห้ามแพร่งพราย!”
ส่วนลูกศิษย์ทั้งสี่หลังจากถูกสายฟ้าฟาดเข้าชุดใหญ่ ก็รู้สึกอัดอั้นตันใจกันมาก…
หอเล็กสีครามตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขา ด้านซ้ายของเนินเขาคือทะเลสาบแห่งหนึ่ง ด้านขวาคือแปลงสมุนไพร สมุนไพรลํ้าค่านับไม่ถ้วนชูช่อประชันกันอยู่ด้านใน กลิ่นสมุนไพรจางๆ ฟุ้งกระจายไปทั่วยอดเขา ดมแล้วชวนให้เมามาย
หอเล็กสูงห้าชั้น ชายคางอนคานรองซ้อน มีกระดิ่งลมสีเงินแขวนอยู่บนมุมทั้งแปด เมื่อสายลมโชยผ่านจะเกิดเสียงด้งติงตังๆ
ทะเลสาบใสกระจ่าง พื้นที่ก็กว้างใหญ่ บนทะเลสาบมีศาลา มีแพรขาวโปร่งบางห้อยอยู่บนนั้น ปลิวไสวเล็กน้อยตามสายลมดุจเมฆา
กลางทะเลสาบ บนสนามหญ้า มีนกกระเรียนมงกุฎแดงร่ายรำอย่างพลิ้วไหว
แดนสุขาวดี!
สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนแดนสุขาวดีในตำนานหรือจินตนาการก็มิปาน!
“ซีจิ่ว เจ้าว่าที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?” ในศาลาหลังน้อย หลงซือเย่นั่งอยู่ที่นั่น โอบกู้ซีจิ่วไว้ข้างหนึ่ง พลางเหม่อมองทะเลสาบที่อยู่ไกลๆ
“งดงามยิ่ง” ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เอ่ยออกมาสามคำ
“ชอบหรือไม่? ปีนั้นเจ้าเคยบอกว่าสักวันจะเลิกเป็นนักฆ่า แล้วปลีกตัวไปอยู่แบบสันโดษ ซื้อภูเขาสักลูก สร้างเรือนเล็กๆ สักหลัง เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ ปลูกสมุนไพรดอกไม้ใบชา ดำเนินชีวิตดุจเทพเซียน… หลังจากข้าก่อตั้งสำนักถามสวรรค์ขึ้ก็แต่งเติมที่นี่มาโดยตลอด หวังแค่ว่าหลังจากเจ้ากลับมาจะได้เห็นทุกอย่างนี้…”
“กลับมา?” กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วพลางเอ่ยทวน
“ซีจิ่ว เจ้าเคยบอกเอาไว้ สถานที่ที่ข้าอยู่ก็คือแหล่งพักใจของเจ้า เป็นบ้านเกิดอันแสนสุขของเจ้า ข้ามาที่นี่ สวรรค์ก็ส่งเจ้ามาที่นี่ ในที่สุดสวรรค์ก็ไม่แล้งนํ้าใจกับพวกเรา…”
กู้ซีจิ่วหลุบตาลงเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร ทว่าในใจกลับยิ้มขื่น
ถึงแม้เธอจะนิสัยเย็นชาตั้งแต่เกิด และไม่ได้ชมชอบแดนสุขาวดีจริงๆ เพียงแต่ในปีนั้นหลงซีมักพูดเหมือนใฝ่ฝันถึงอยู่บ่อยๆ เธอก็เลยใฝ่ฝันถึงขึ้นมาด้วยเช่นกัน…