บทที่ 23
มีอะไรต้องกังวลกัน?
กู้เทียนฉิงพยักหน้าเล็กน้อย
เดิมทีสีหน้าขององค์ชายหรงเหยียนไม่ค่อยดีนัก แววตาก็เลื่อนลอยอยู่บ้าง ในยามนี้หลังจากที่เห็นกู้เทียนฉิงพยักหน้าให้ ดวงตาเขาก็ลุกวาวขึ้น ดูเหมือนมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นไม่น้อย เรื่องในครั้งนี้เป็นตัวเขา กู้เทียนฉิงและกู้ฮูหยินร่วมกัน วางแผนขึ้นมา เมื่อคืนนี้กู้เทียนฉิงลอบนำของไปซุกซ่อนไว้ใต้เตียงของกู้ซีจิ่ว การพยักหน้าของกู้เทียนฉิงเป็นการ ส่งสัญญาณว่านางวางของไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้องค์ชายหรงเหยียนคลายกังวล…
อากัปกริยาของพวกเขาล้วนอยู่ในสายตาของกู้ซีจิ่ว เธอลอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
ปล่อยให้พวกเขาลำพองใจไปอีกสักพักแล้วกัน เดี๋ยวเธอจะคอยดูว่าพวกเขาจะยังยิ้มออกอีกไหม!
“คุณหนูกู้หก เจ้ากังวลใจบ้างหรือไม่?” กู้ซีจิ่วกำลังจดจ่ออยู่จึงไม่ได้ระวังตัว ทันใดนั้นพลันมีเสียงอบอุ่นอ่อนโยน เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู เสียงนี้อยู่ห่างจากเธอไปไม่ถึงหนึ่งฉื่อ![1]
เธอหันขวับมาทันที จึงเห็นว่าท่านอ๋องหรงเช่อผู้ทรงเสน่ห์ดั่งบุปผายืนอยู่ข้างกายเธอ กำลังอมยิ้มพลางมองเธออยู่
…เขาเข้ามาใกล้เธอขนาดนี้ตั้งเมื่อไหร่กัน?! เธอไม่รู้ตัวเลยสักนิด! เห็นทีว่าท่านอ๋องผู้งดงามท่านนี้คงมีวรยุทธ์เยี่ยมยอดจึงไปมาได้อย่างลึกลับไร้ร่องรอย!
กู้ซีจิ่วขยับถอยไปด้านข้างสองก้าวอย่างเงียบๆ รักษาระยะห่างกับเขาเล็กน้อย นํ้าเสียงเย็นชาเหมือนเคย
“มีอะไรต้องกังวลกัน? มิได้กระทำเรื่องน่าละอาย ย่อมไม่หวาดกลัวปีศาจจะมาเคาะประตู![2]”
“มิได้กระทำเรื่องน่าละอาย ย่อมไม่หวาดกลัวปีศาจจะมาเคาะประตู ประโยคนี้ไม่เลว ลึกซึ้งนัก!” องค์ชายหรงเช่อโบกพัดเบาๆ แล้วเปลี่ยนบทสนทนา “บางครั้งแม้เจ้าไม่ได้กระทำเรื่องน่าละอาย แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นก็จะไม่กระทำเรื่องน่าละอาย เมื่อเรื่องน่าละอายที่พวกเขากระทำไว้ถูกเปิดโปงต่อหน้าฝูงชน เรื่องน่าละอายนั้นก็จะกลายเป็นการกระทำของเจ้า ยกตัวอย่างเช่นอาจมีคนนำบางสิ่งไปวางไว้ในเรือนของเจ้าล่วงหน้า แล้วเจ้าก็เป็นคนเดียวที่อาศัยอยู่ที่นี่ แล้วสิ่งที่เห็นจะมาจากไหนได้ล่ะ? หากค้นเจออะไรขึ้นมาจริงๆ ต่อให้เจ้ามีร้อยปากก็พูดได้ไม่เต็มปากแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้ของเขามีนัยยะแอบแฝง ในเรือนนี้ นอกจากหญิงสาวเยาว์วัยไม่กี่นางแล้ว ก็ล้วนเป็นพวกปาท่องโก๋แก่[3]ที่คดในข้องอในกระดูกแทบทั้งสิ้นใครบ้างล่ะที่จะฟังความนัยไม่ออก
องค์ชายหรงเหยียน กู้เทียนฉิงและกู้ฮูหยินสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
องค์ชายหรงเหยียนฝืนยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “เสด็จพี่แปดกล่าวเช่นนี้ถึงแม้เรือนของซีจิ่วจะห่างไกล ทว่าจวนแม่ทัพก็มีการรักษาการณ์อย่างเข้มงวด แล้วใครหน้า ไหนจะสามารถเข้านอกออกในได้? จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีคนลอบเข้ามาในเรือนของน้องซีจิ่วแล้ววางของไว้เพื่อป้ายสีได้โดยไม่มีใครรู้เห็น? คำกล่าวนี้ไม่สมเหตุสมผลเสียเลย”
องค์ชายหรงเช่อใช้พัดตบที่ไหล่ขององค์ชายหรงเหยียนเบาๆ “เจ้าสิบสอง เจ้านี่ก็ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย แม้โจรนอกบ้านยากที่จะเข้ามาได้ แต่โจรในบ้านสิที่ยากจะ ป้องกัน”
หรงเหยียนเงียบไปก่อนจะกระแอมไอ “เสด็จพี่แปดกล่าวเช่นนี้ก็ไม่เหมาะนัก เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของจวนแม่ทัพ คนในจวนแม่ทัพจะกระทำเรื่องเช่นนี้เพื่อใส่ร้ายจวนแม่ทัพเองไปทำไม? จะมีผลดีอะไรกับพวกเขา? ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
องค์ชายหรงเช่อแย้มยิ้ม “นี่ก็พูดยาก ผู้ที่แจ้งเรื่องสองคนนั้นก็เป็นข้ารับใช้ในจวนแม่ทัพมิใช่หรือ? บางคนนั้น เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์แล้ว รับประกันไม่ได้หรอกว่าจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้”
จะอย่างไรหรงเหยียนก็อายุแค่ 16 ปี ยังอ่อนประสบการณ์ในยุทธภพ เขามีเจตนาแอบแฝง เมื่อถูกองค์ชายหรงเช่อกล่าวเช่นนี้ใส่ ใบหน้าหล่อเหลาก็เขียว คลํ้าขึ้นเล็กน้อย ทว่ายังฝืนยิ้มพลางกล่าว “นี่ก็ถือว่าประหลาดยิ่งนัก หากใส่ร้ายน้องซีจิ่วไปแล้วจะมีผลดีอะไรล่ะ? ข้าคิดไม่ออกจริงๆ”
ดวงตาดอกท้อขององค์ชายหรงเช่อมองไปทั่วร่างขององค์ชายหรงเหยียน องค์ชายหรงเหยียนที่ถูกมองภายในใจก็รู้สึกลนลาน เขากำลังจะเปิดปากพูด องค์ชายหรงเช่อก็กล่าวขึ้นออกมาอย่างเนิบนาบ “น้องสิบสอง หมู่นี้เจ้าดูดีขึ้นนะ ได้ยินมาว่าบรรดาคุณหนูลูกผู้ดีมีสกุลยามนี้ล้วนแต่ชื่นชมเจ้าทว่าเจ้าได้หมั้นหมายกับคุณหนูกู้หกไว้นานแล้ว ทำให้พวกนางต้องขุ่นเคืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ อยากจะเข้าแทนที่นางจนใจจะขาด…”