Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 349

บทที่ 349

เป็นโอกาสดีที่จะได้หน้าได้ตา

หูของกู้เซี่ยเทียนได้ยินบรรดาเพื่อนร่วมงานคุยโม้โอ้อวด ยิ่งได้เห็นผู้อื่นมีบุตรธิดากตัญญู ภรรยาเพียบพร้อมดีงาม ในใจของเขายิงมีสารพัดอารมณ์ปะปนกัน

ปีนั้นยามที่เขาเพิ่งได้เป็นแม่ทัพ กู้เทียนนั่วผู้เป็นบุตรชายถูกทดสอบพบว่าเป็นอัจฉริยะ ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่ดีใจ หลัวซิงหลานก็ดีใจไปกับเขาด้วย สตรีที่ร้อนแรงดุจเพลิงลุกโชนดึงมือเขาแล้วกระโดดโลดเต้นอยู่รอบตัวเขาเหมือนเด็กๆ

ยามที่มาร่วมงานเลี้ยง ก็จับมือเขาลงจากรกม้าด้วยกันโดยไม่กริ่งเกรงสายตาคน สามีภรรยานั่งด้วยกัน ซ้ำนางยังคีบอาหารให้เขาอย่างเอาใจใส่ด้วย

นางรู้รสชาติโปรดของเขาทั้งหมด อาหารที่คีบให้เขาล้วนถูกต้องเหมาะสม

ยามนั้นไม่ทราบว่ามีคนอิจฉามากมายเพียงใด พากันกล่าวว่าเขามีภรรยาดี รูปโฉมงดงาม วรยุทธ์สูงส่ง รักใคร่ใส่ใจ แม้แต่จักรพรรดิซวนยังอิจฉาเขา…

ตอนนั้นดั่งมีบุปผางามเบ่งบานในใจเขาทุกวัน ตอนนั้นในหัวใจและสายตาของหลัวซิงหลานมีเพียงเขา ทั้งยังกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่าจะคลอดบุตรธิดาให้เขาหนึ่งโหล ทุกคนจะเป็นอัจฉริยะทั้งสิ้น เขาจะได้เป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาที่สุดในอาณาจักรเฟยซิง…

เพียงแต่น่าเสียดายที่ความสุขอยู่รอบกาย แต่คนกลับไม่รู้ว่านั้นคือความสุข และชอบโลภมากไม่รู้จักพอ…

ยามที่สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว เขาทำผิดพลาดตามประสาบุรุษ เห็นเพื่อนร่วมงานมีภรรยาและอนุเป็นพรวนก็แอบอิจฉา ด้วยเหตุนั้เหลิ่งเซียงอวี้จึงสามารถแทรกตัวเข้ามาในช่วงเวลาที่อ่อนแอได้…

ต่อมา ในที่สุดเขาก็ได้มีภรรยาและอนุเป็นพรวนแล้ว แต่กลับสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป

เขาดีต่อเหลิ่งเซียงอวี้ ดีต่ออนุคนอื่นๆ เพียงแต่ทั้งหมดล้วนเป็นแค่ความใคร่ระหว่างชายหญิง ไม่มีความรักสักเท่าไหร่

ยิ่งไปกว่านั้นคือเหลิงเซียงอวี้ดูเหมือนจะเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ถ้าเทียบกับบุตรสาวผู้ดีมีตระกูลเหล่านั้นอย่างจริงจังแล้วยังค่อนข้างห่างชั้นกัน เมื่อพาออกนอกเรือนก็ปล่อยไก่ทำขายหน้า ภายหลัง ถึงแม้จะไม่ทำขายหน้าแล้ว แต่ก็เป็นเพียงฮูหยินธรรมดาที่หาได้ทั่วไปเท่านั้น ไม่มีสง่าราศีสักนิด

เขาหาผู้ที่ทำให้อบอุ่นโหยหาเหมือนช่วงเวลาที่อยู่กับหลัวซิงหลานไม่ได้อีกแล้ว…

เมื่อสูญเสียไปถึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายสำคัญ แต่น่าเสียดายที่บนโลกนี้ไม่มียาย้อนเวลาให้กิน ทุกสิ่งทุกอย่างย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว!

“แม่ทัพกู้ บุตรสาวท่านช่างมีหน้ามีตาโดยแท้ ทำให้ฝ่าบาทจัดงานเลี้ยงส่งนางด้วยตนเองได้” อริทางการเมืองคนหนึ่งกล่าวกับเขาอย่างริษยา

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท ข้าซาบซึ้งยิ่ง” กู้เซี่ยเทียนตอบด้วยภาษาขุนนางทันที

“เหอะๆ ฝ่าบาทมิได้เห็นแก่หน้าของท่าน แต่เห็นแก่หน้าของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก แม่ทัพกู้ ข้อนี้ท่านต้องแยกแยะด้วย” มีบางคนเย้ยหยัน

“ใช่แล้ว เหตุใดบุตรชายบุตรสาวถึงไม่มาพร้อมกันกับท่านแม่ทัพเล่า? นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้หน้าได้ตาเชียวนะ”

เดิมทีกู้เซี่ยเทียนก็พูดไม่เก่งอยู่แล้ว จึงอดจะกระอึกกระอักไม่ได้

มีคนเยาะเย้ยขึ้นมาอีก “อันที่จริงแม่ทัพกู้ก็ได้หน้าได้ตาเพราะมีธิดาที่ยอดเยี่ยมมานานแล้ว องค์จักรพรรดิทรงปูนบำเหน็จให้บุตรชายเขาด้วยเห็นแก่หน้าคุณหนูหก ทำให้บุตรชายเขาได้เป็นแม่ทัพบัญชาการกองพันทหารม้า…”

ขอเพียงอยู่ในวงการขุนนางก็จะมีอริทางการเมืองมากมาย กู้เซี่ยเทียนเป็นทหารหาญ เขามีฝีมือด้านรบทัพจับศึก แต่พอต้องอภิปรายในท้องพระโรงเขาจะประหม่า อึกอักไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร

ยามนี้จึงทำให้ผู้คนฉกฉวยโอกาสนี้โจมตีเขาอย่างรุนแรง เยาะเย้ย ถากถาง เสียดสีเหน็บแนม ทำให้ใบหน้าแก่ๆ ของกู้เซี่ยเทียนเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด เดี๋ยวซีดเดียวเขียว ชิงชังจนอยากทุบตีคนเหล่านี้เสียให้น่วม แต่ขุนนางในราชสำนักมิอาจทะเลาะวิวาทต่อยตีได้ เขาจึงได้แต่อดทนไว้

เขาไม่รู้จักปรับเปลี่ยนการวางตัว ค่อนข้างโดดเดี่ยวและตรงไปตรงมา ต่อให้ในกลุ่มเขาจะมีคนอยู่ไม่กี่คนที่เคยคบค้าสมาคมกับเขาอย่างแท้จริง ทว่ายามนี้พอเห็นเขาถูก ‘รุมโจมตี’ คนเหล่านี้ก็แค่ยืนมองเรื่องขบขันอยู่ด้านข้าง บางครั้งยังเข้ามาประสมโรงด้วย

ขณะที่ในห้องโถงวุ่นวายอยู่ ขันทีที่อยู่ด้านนอกพลันประกาศว่า องค์รัชทายาทหรงเจียหลัว องค์ชายแปดหรงเช่อ และองค์ชายสี่หรงฉู่มาถึงแล้ว

ฝูงชนล้วนค้อมกายทำความเคารพ รอจนองค์ชายทั้งสามนั่งแล้ว ฝูงชนถึงจะนั่งลงอีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version