บทที่ 356
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเหมือนจะเฉิ่มเชยยิ่งกว่าเดิม
ด้านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็มาเร็วยิ่ง จักรพรรดิซวนเพิ่งจะนำขบวนข้าราชบริพารก้าวออกมาจากห้องโถง ก็มองเห็นคนทั้งสองเยื้องย่างเข้ามาแล้ว
ห่างหายกันไปครึ่งปี ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้พบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอีกครั้ง
หนนี้ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมิได้นั่งเรือล่องวาโยลำนั้นของเขามา แต่ปรากฎตัวอย่างเงียบเชียบเรียบง่ายยิ่งนัก
และไม่ได้สวมอาภรณ์สีม่วงที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาด้วย แต่สวมเสื้อคลุมสีครามหม่น ไม่รู้ว่าเสื้อคลุมนั้นทำมาจากวัสดุใด เมื่อสวมบนร่างแล้วราวกับมีเมฆหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่ บนเสื้อคลุมปัก ลวดลายเมฆา ลายเมฆาบนเสื้อคลุมไหวกระเพื่อม ชายเสื้อปักลายม่านเมฆคลุมเขาเขียวแซมไว้ ขณะที่เขาย่างก้าว เมฆหมอกเสมือนเคลื่อนไหวได้ ขับให้เขาเขียวงดงามลึกลับยิ่งขึ้น
เรือนผมดกดำของเขาสยายลงมากึ่งหนึ่งเหมือนเคย ปอยผมครึ่งหนึ่งคลุมแถบแพรคาดหน้าผากประดับอัญมณีสีแดงทรงตาจิ้งจอกที่อยู่กลางหน้าผาก บนหน้าสวมหน้ากากสีเงินจางๆ อันหนึ่ง บดบังใบหน้าเหนือจมูกขึ้นไปไว้ เผยเพียงคางงามได้รูปและเรียวปากแดงระเรื่อ
คนที่อยู่ข้างกายเขาคือสตรีผู้หนึ่ง
สตรีนางนั้นสวมชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน บนกระโปรงปักกลีบบุปผาแซมไว้ ตัวกระโปรงก็นิ่มนวลยิ่ง ยามสายลมพัดมา กระโปรงของนางจะพลิ้วไหว เหมือนดอกท้อสีชมพูอ่อนที่ไหลไปตามกระแสธาร ในหุบเขาช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ
รูปร่างสูงโปร่ง สูง 170 เซนติเมตร เอวบางดุจจะกำได้รอบ เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าชุดกระโปรงของนางหลวมยิ่งนัก ถึงจะมิดชิดมาก แต่กลับทำให้คนมองเห็นทรวดทรงอันอ่อนช้อยของนางได้ในแวบเดียว
นางก็สวมหน้ากากหยกขาวทรงผีเสื้อไว้บนหน้าเช่นกัน หน้ากากของนางประณีตงดงามเป็นที่สุด รับกับรูปหน้านาง บดบังใบหน้าเกือบทั้งหมด ทว่าทำให้คนมองเห็นดวงตากระจ่างใสดั่งสายธารฤดู ใบไม้ร่วง มองเห็นจมูกที่โด่งเป็นสัน และริมฝีปากเรียวบางจิ้มลิ้มแดงเรื่อที่ด้านล่างหน้ากาก แม้แต่รูปปากก็สีสดงดงามน่ามอง
นางเป็นโฉมงามผู้หนึ่ง แล้วยังเป็นโฉมงามที่มีบุคลิกสง่างามด้วย ทำทุกคนรู้สึกเหมือนนางล่องลอยอยู่บนท้องนภา ผุดผ่องสง่างามและสูงส่งจนเอื้อมไม่ถึง
นี่ก็คืออวิ๋นซิงหลัว ผู้มีพลังวิญญาณขั้นหกตอนกลาง จอมคาถาระดับสูง ปรมาจารย์หุ่นเชิดระดับสูง ล่าสุดก็คือศิษย์สวรรค์เบื้องบนที่อายุน้อยที่สุด!
แต่ก่อนไม่ว่าสตรีคนใดยืนกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็จะกลายเป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น
แต่พอนางยืนกับเขา กลับส่งผลอย่างรุนแรงแก่คนที่พบเห็น ทำให้ภายในใจของผู้คนปรากฎเพียงสี่คำเท่านั้น…กิ่งทองใบหยก!
เนื่องจากนางเคยขึ้นแท่นเบิกสวรรค์ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้จึงรู้จักนาง ถึงจะเห็นเป็นครั้งที่สองแล้วก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงอยู่เหมือนเคย
เหล่าหญิงสาวที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างพากันริษยาและรู้สึกเหมือนชมเรื่องขบขันอยู่บ้าง พวกนางมองอวิ๋นซิงหลัว แล้วก็มองกู้ซีจิ่ว แววยินดีเหมือนได้ระบายความแค้นพาดผ่านดวงตาแวบหนึ่ง
โดยเฉพาะหลานเจาเอ๋อร์มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยบางๆ
ราวกับในที่สุดก็ได้เห็นกู้ซีจิ่วถูกตบหน้าแล้ว
ใบหน้าพริ้มเพราของกู้ซีจิ่วยังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม ถึงอย่างไรเธอก็เพิ่งอายุ 14 ปีเท่านั้นร่างกายยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ยามนี้ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนอย่างเงียบเชียบ
เธออยู่ร่วมกับฝูงชน พิจารณาสองคนนั้นอย่างสุขุม
‘เจ้านาย ครึ่ปีผ่านไป ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เหมือนจะเฉิ่มเชยยิ่งกว่าเดิมอีก’ หยกนภาวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่เกรงใจ
‘ชุดนี้ของเขาไม่นับว่าเฉิ่มเชยกระมัง? ดูมีรสนิยมจะตาย ซ้ำยังสะดุดตามากด้วย’ กู้ซีจิ่ววิจารณ์ตามภาวะวิสัย
‘เหอะ ข้าไม่รู้สึกสะดุดตาเลย ข้ารู้สึกเสียดตา! ยังมีอวิ๋นซิงหลัวผู้นี้อีก ดูราวกับผีเสื้อม่วงก็มิปาน รับไม่ได้จริงๆ!’ หยกนภาเปลี่ยนเป้าหมายแล้ว
กู้ซีจิ่วอับจนวาจา ‘เสี่ยวชาง ข้ารู้สึกจากใจจริงเลยว่าทัศนคติด้านความงามของเจ้าค่อนข้างน่าผวา เจ้าอยากอ่านตำราในมิติของเจ้าเพื่อยกระดับรสนิยมบ้างไหม?’
มันไม่ยอมรับ ‘แต่ข้ารู้สึกว่าเสื้อผ้าของท่านดูดีมากเลยนะ’
‘โอ้ ทัศนคติด้านความงามของเจ้าเป็นปกติแล้ว’ กู้ซีจิ่วชมมัน