บทที่ 409
ลากขวดน้ำมันใบใหญ่ 4
ร่างกายมันใหญ่โตมโหฬาร เคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายลมกรรโชก โจมตีอย่างเฉียบพลัน มันบ้าคลั่งจนเกิดภาพติดตามไปทั่วสนามรบ ส่วนกู้ซีจิ่วก็เหมือนเรือลำน้อยท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ พร้อมจะพลิกควํ่าได้ทุกเมื่อ ดูน่าหวาดเสียวยิ่งนัก…
ซือเฉินยืนกอดอกมองนางต่อสู้เอาชีวิตรอดอยู่ด้านข้าง ดูเหมือนจะไม่อนาทรร้อนใจ ทว่ามือที่อยู่ในแขนเสื้อกลับจรดนิ้วร่ายวิชา…
เรือนกายเขาสูงโปร่งดั่งต้นอวี้ ดูเป็นบัณฑิตอ่อนแอผู้หนึ่ง สัตว์ร้ายที่มุงดูเหล่านั้นคงคิดว่าสามารถรังแกเขาได้ หลายตัวขยับเข้าอย่างไร้สุ้มเสียง คิดจะรุมขย้ำลากเขาไปกินให้อิ่มหนำสำราญก่อน…
คิดไม่ถึงว่าพวกมันเพิ่งจะขยับ บัณฑิตอ่อนแอผู้นั้นก็คล้ายจะเหลือบมองพวกมันอย่างมิได้ตั้งใจแวบหนึ่ง
สายตานี้คมกริบหนาวเหน็บดุจเหมันต์ทำให้หัวใจของสัตว์ร้ายเหล่านี้ลั่นสะท้านขึ้นโดยพลัน เส้นขนและแผ่นเกล็ดทั่วร่างแทบจะลุกชันขึ้นมา!
นั่นคือสัมผัสที่หกซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพบกับศัตรูที่แข็งแกร่ง!
สัตว์ร้ายเหล่านั้นหางตกแล้วรีบถอยหลังไปหลายก้าว แต่รู้สึกไม่ปลอดภัย จึงถอยไปหลายก้าวอีก สุดท้ายก็หันหลังเผ่นแน่บไปทันที!
แน่นอนว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ กู้ซีจิ่วที่อยู่ในการต่อสู้จึงไม่รับรู้ ตะขาบพิฆาตตัวนั้นก็ไม่รับรู้เช่นกัน…
อันที่จริงกู้ซีจิ่วเหนื่อยจะตายแล้ว!
การต่อสู้อย่างต่อเนื่องเช่นนี้บั่นทอนกำลังของเธอยิ่งนัก ปวดหลัง เมื่อยเอว ขาจะเป็นตะคริวแล้วจริงๆ แขนขาจนแทบไม่เหมือนแขนของตนแล้ว
แม้อยู่ในศึกที่ต้องสู้สุดชีวิต เธอก็ยังใส่ใจความเคลื่อนไหวของซือเฉินอยู่บ้าง ถึงมองไม่ออกว่าวรยุทธ์ของคนผู้นี้สูงต่ำเพียงใด แต่ก็หาจุดปลอดภัยได้ยอดเยี่ยมนัก จุดที่เขายืนไม่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ของหนึ่งคนหนึ่งสัตว์ และทำให้สัตว์ร้ายตัวอื่นๆ ละล้าละลังสังหารเขาไม่ได้
สัตว์ร้ายเหล่านั้นฉลาดมาก ทุกตัวชมอยู่ห่างๆ และไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาผสมโรงด้วย
หากเธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายจากไปตอนนี้ คุณชายซือเฉินผู้นี้ก็น่าจะไร้ซึ่งอุปสรรคกีดขวาง…
เธอเพิ่งจะเกิดความคิดนี้ขึ้น จู่ๆ ซือเฉินที่ยืนชมอยู่บนก้อนหินใหญ่ ก็ร้องอย่างตกใจ แล้วร่วงลงมาจากก้อนหิน
กู้ซีจิ่ววอกแวกเล็กน้อย หวิดจะถูกตะขาบพิฆาตตัวนั้นฟาดหางใส่!
เธอจึงไม่กล้าวอกแวกอีก ทว่าในใจกลับร้อนรนนัก
ความคิดว่าจะใช้วิชาเคลื่อนย้ายจากไปที่เพิ่งเกิดขึ้นมลายหายทันที
หางตาเห็นแวบๆ ว่าซือเฉินลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล แต่ใบหน้าหล่อเหลากลับปรากฎสีฟ้าจางๆ เห็นได้ชัดว่าถูกพิษเข้าแล้ว…
ย่อมมีสัตว์ร้ายที่คิดจะฉกฉวยผลประโยชน์จากเหตุนี้ มีพยัคฆ์ร้ายขนสีเหลีองอมเขียวสองตัวกระโจนเข้าใส่เขา…
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!” ซือเฉินตะโกนเสียงดัง โยกซ้ายย้ายขวาหลบหลีกการโจมตีของพยัคฆ์ทั้งสองตัว มีหลายครั้งที่กรงเล็บของพยัคฆ์ร้ายเกือบตะปบถูกศีรษะเขา ดูคับขันอันตรายเป็นอย่างยิ่ง…
กู้ซีจิ่วเองก็ถูกตะขาบพิฆาตตัวนั้นต้อนจนเข้าตาจน หันไปช่วยเขาไม่ได้ชั่วขณะ
เมื่อตกอยู่ในสภาวะคับขัน ผู้คนมักจะถูกบีบให้แสดงศักยภาพสูงสุดออกมา
โดยเฉพาะกู้ซีจิ่วที่ตกอยู่ในการต่อสู้เช่นนี้ เมื่อการต่อสู้บีบคั้นให้เข้าสู่จุดวิกฤต จึงทำให้พลังวิญญาณในร่างเธอตื่นตัวอย่างเต็มที่ ระดับความเร็วในการไหลเวียนมากเป็นพิเศษ ครั้นกู้ซีจิ่วใช้พลังวิญญาณเหล่านั้นกระบวนท่าสังหารก็ปราดเปรียวขึ้นเรื่อยๆ ทรงพลังขึ้นทุกที
ยิ่งเห็นว่าซือเฉินตกอยู่ในอันตราย ใจของกู้ซีจิ่วพลันร้อนรน รู้สึกเพียงว่าลมปราณในร่างที่คล้ายถูกอะไรปิดกั้นอยู่ จู่ๆ ก็ปะทุขึ้นมาในชีพจร!
รู้สึกเหมือนเส้นทางบางอย่างเปิดออก ร่างเธอเปล่งแสงสีชมพูจางๆ ทักษะการต่อสู้เลื่อนระดับขั้น! พลังวิญญาณในร่างบรรลุถึงขั้นห้าแล้ว!
เส้นประสาทที่อ่อนล้าจนแทบจะเหน็บชาเมื่อครู่เฉียบคมขึ้นมาทันที มือไม้ที่อ่อนล้าจนแทบยกไม่ขึ้นก็คล่องแคล่ากระฉับกระเฉงขึ้นมาอีกครั้ง…
ยามที่กระบี่ลํ้าค่าในมือเธอฟันลงไปบนร่างของตะขาบพิฆาตตัวนั้นอีกครั้งก็ทำให้เกิดบาดแผลเลือดทะลักได้แล้ว แม้จะไม่ถึงขั้นเอาชีวิตมันได้ แต่ก็ทำให้มันบาดเจ็บปางตาย!
ตะขาบพิฆาตร้องโหยหวน มันคลุ้มคลั่งด้วยความเจ็บปวด!