บทที่ 435
คำเตือนของตี้ฝูอี 2
ใต้หล้านี้เกรงว่าคงมีเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเข้าไปในนั้น ทราบว่าด้านในมีอะไรอยู่กันแน่
หนนี้สาวกของตี้ฝูอีได้กวาดต้อนคนที่อยู่ด้านล่างยอดเขาที่สามออกไป คนที่อยู่ด้านล่างยอดเขาที่สามล้วนถูกกวาดล้างจนหมดจด ไม่หลงเหลือผู้ใดเลยสักคน
ส่วนยอดเขาที่สี่ที่ห้าร้างผู้คนมาโดยตลอด อีกทั้งกู้ซีจิ่วก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไป ดังนั้นจึงไม่มีการกวาดล้าง
อย่างไรก็ตามยอดเขาที่สามนั้นมีเขตแดนที่ตี้ฝูอีติดตั้งไว้ ผู้ใดก็เข้าไปสร้างความลำบากหรือให้การช่วยเหลือแก่กู้ซีจิ่วไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใส่ใจ
ตี้ฝูอีสั่งให้คนจับตามองหลงซือเย่ ป้องกันไม่ให้เขาบุกเข้ามาโดยพละการ ดังนั้นคนของพวกมู่เฟิงจึงระวังเพียงว่าหลงซือเย่จะเข้าสู่ยอดเขาที่สี่ที่ห้า หลงซือเย่อับจนหนทาง ทำได้เพียงสลัดคนที่ลอบจับตามองพวกนั้นให้หลุด แล้วเข้ามาจากยอดเขาที่หก…
……………………….
แน่นอน เรื่องทั้งหมดนี้กู้ซีจิ่วไม่ทราบเลย เธอไม่ทราบด้วยซ้ำว่ายอดเขาที่สามถูกผนึกไว้แล้ว เมื่อเข้าสู่ยอดเขาที่สามแล้วไม่พบเจอผู้คนก็ไม่ได้รู้สึกคลางแคลงใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเดิมทีป่าทมิฬก็เป็นสถานที่อันตรายอยู่แล้ว การที่ไม่มีคนมาจึงเป็นเรื่องปกติยิ่ง
เมื่อเธอพบกับซือเฉินที่พรมแดนระหว่างยอดเขาที่สามและยอดเขาที่สี่ ถึงแม้เจ้าคนผู้นี้จะเป็นตัวภาระ แต่จะดีจะร้ายอย่างไรก็เป็นเพื่อนร่วมทางคนหนึ่ง
เธอยังนึกอยู่ว่าก่อนจะออกจากป่าทมิฬได้ คงไม่ได้พบปะผู้อื่นอีก แต่นึกไม่ถึงว่าเมื่อจากยอดเขาที่ห้าไปสู่ยอดเขาที่สี่อย่างรวดเร็ว จะได้พบเจอคนคุ้นเคย
…เตาซิงหยาง!
อาจารย์ของกู้เทียนเฉาพี่ชายราคาถูกผู้นั้นของเธอ ผู้คุมกฎอาวุโสของสำนักเก้าดารา
ย้งมีผู้ที่ร่วมเดินทางมากับเขาอีก 7 คน แปดผู้คุมกฎอาวุโสของสำนักเก้าดาราล้วนอยู่ที่นี่แล้ว
สัตว์ร้ายในยอดเขาที่ห้าดุร้ายเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้มีมากมายเนืองแน่นเหมือนในยอดเขาที่สาม ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วใช้วิชาเคลื่อนย้ายลงจากเขาพร้อมกับซือเฉิน อาจเป็นเพราะเธอโชคดี จึงไม่พบสัตว์ร้ายเลยสักตัว เคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย
ขณะที่กู้ซีจิ่วคิดว่าจะสามารถอยู่รอดปลอดภัยไปได้ตลอดจนพ้นจากยอดเขาที่ห้า เธอก็มองเห็นเตาซึงหยางและพรรคพวกอยู่ไกลๆ
เนื่องจากเธอใช้วิชาเคลื่อยย้าย ก็เลยไม่มีเสียงเคลื่อนไหวอันใด อีกทั้งอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล ดังนั้นแปดคนนั้นจึงไม่พบตัวเธอ แปดคนนั้นกำลังล้อมจับกวางทองตัวหนึ่งอยู่
ไม่สิ ไม่ใช่กวาง สัตว์ตัวนั้นมีหัวเป็นกวาง มีร่างเป็นม้า มีปีกเหมือนนก เขาแหลมคมเหมือนกระบี่…
กู้ซีจิ่วแอบอยู่หลังต้นไม้มองอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังมองไม่ออกว่าที่แท้แล้วสัตว์ร้ายตัวนั้นคือสัตว์ชนิดใด
กวางหมีลู่[1]รึ?
“นี่คือเพรียกวายุ” ซือเฉินเอ่ยริมหูเธอ “สัตว์พาหนะที่หายากยิ่ง กลางวันเดินทางได้สามพันลี้ กลางคืนเดินทางได้สองพันลี้ แล้วยังช่วยเจ้านายสู้รบได้ด้วย”
ที่แท้ก็เป็นสัตว์พาหนะ
กู้ซีจิ่วจ้องเจ้าสัตว์ตัวนั้นสายตาเปล่งประกาย ยามนี้ตนยังขาดสัตว์พาหนะที่โดดเด่นอยู่…
“เจ้าอยากได้พาหนะเช่นนี้สักตัวหรือไม่?” ซือเฉินดุจพยาธิในลำไส้ของเธอ คาดเดาความคิดของเธอได้แม่นยำ
กู้ซีจิ่วส่ายศีรษะเล็กน้อย “ตอนนี้ข้ายังสยบมันไม่ได้”
เธอประจักษ์แจ้งในฝีมือเจ้าเพรียกวายุตัวนี้ มันมิใช่สัตว์ที่เธอจะสามารถสยบได้ในยามนี้ ถึงขั้นที่ว่ามิใช้สัตว์ที่แปดคนนั้นจะสามารถสยบได้ด้วย…
กู้ซีจิ่วเคยเห็นกลยุทธ์การจับสัตว์มาฝึกให้เชื่อง มิใช่แค่ต้องเอาชนะสัตว์ตัวนี้ให้ได้ ยังต้องมีตำราสยบโดยเฉพาะ ผู้ฝึกก็ต้องมีพลังวิญญาณที่สูงมาก อย่างเช่นเพรียกวายุตัวนี้เป็นสัตว์ร้ายขั้นหก ถ้าต้องการสยบมันจะต้องเป็นผู้ที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นเจ็ด
แต่เพรียกวายุที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็นตัวที่ลํ้าเลิศที่สุดในบรรดาสัตว์ร้ายขั้นหก เกรงว่าผู้ที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นเจ็ดก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถฝึกมันให้เชื่องได้..
เตาชิงหยางและเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาอย่างน้อยที่สุดก็มีวรยุทธ์ขั้นเจ็ด เตาซิงหยางบรรลุขั้นแปดแล้วด้วยซ้ำ วิชาฝึกที่พวกเขาใช้ขณะที่ล้อมเพรียกวายุตัวนี้อยู่ก็ได้มาตรฐานอย่างยิ่ง แต่เจ้าเพรียกวายุตัวนี้ก็ไม่ยอมศิโรราบ โยกซ้ายย้ายขวาอยู่กลางวงล้อมของแปดคนนั้น ท่าทางยอมตายเสียดีกว่ายอมพ่ายแพ้