บทที่ 436
คำเตือนของตี้ฝูอี 3
อย่างไรก็ตามการถูกยอดฝีมือขั้นเจ็ดขึ้นไปแปดคนรุมโจมตี ก็ทำให้เจ้าเพรียกวายุตัวนี้ได้รับบาดเจ็บ ขา เขา หลังคอ ลำตัว…มีบาดแผลที่ลึกจนเห็นกระดูกอยู่ทุกแห่ง
หากมิใช่ว่าพวกเตาซิงหยางต้องการจับเป็น บางทีเพรียกวายุตัวนี้อาจสิ้นชีพใต้ศาสตราวุธของพวกเขาไปนานแล้ว
เห็นได้ชัดว่าพวกเตาซิงหยางรุมโจมตีเพรียกวายุตัวนี้มาสักพักแล้ว เตาซิงหยางซัดอาคมฝึกให้เชื่องลงบนร่างเพรียกวายุบ้างเป็นครั้งคราว ว่ากันตามเหตุผลแล้วเมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ต่อให้มีเพรียกวายุเช่นนี้สักสิบตัวก็ต้องยอมศิโรราบแล้ว ทันทีที่ยอมศิโรราบก็จะมีเพียงอานของเจ้านายเท่านั้นที่สามารถสวมลงบนร่างมันได้ จากนั้นเจ้านายก็จะรักษาบาดแผลให้มัน มอบผลไม้วิญญาณให้มันกิน
แต่เจ้าเพรียกวายุตัวนั้กลับหัวแข็ง เชิดคอไม่แยแส
เดิมที่กู้ซีจิ่วมิใช่คนที่ชอบสอดเรื่องชาวบ้านนัก เธอควรจะฉวยโอกาสที่แปดคนนั้นไม่เห็นเธอรีบเคลื่อนย้ายไปทันที
แต่หลังจากเธอได้เห็นเจ้าเพรียกวายุตัวนั้น กลับไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงก้าวเท้าจากไปไม่ได้ แอบดูอยู่หลังต้นไม้เสียดื้อๆ ยิ่งมองก็ยิ่งทนไม่ได้
แต่เธอก็ไม่ได้ลงมืออย่างหน้ามืดตามัว ด้วยวรยุทธ์ของเธอในตอนนี้ ไม่มีทางต่อกรกับพวกเตาซิงหยางได้! ขนาดเตาซิงหยางผู้เดียวเธอก็รับมือไม่ไหวแล้ว นับประสาอะไรกับการที่อีกฝ่ายมี 8 คนเล่า?
“ศิษย์พี่เตา เพรียกวายุตัวนี้หัวรั้นนัก เกรงว่ามันคงยอมตายแทนที่จะถูกพวกเรากำราบ ทำยังไงดี?” ผู้อาวุโสผมขาวคนหนึ่งในบรรดาคนทั้งแปดอดจะถามออกมาไม่ได้
“ใช่แล้ว ว่ากันตามเหตุผลแล้ว โจมตีมาถึงขนาดนี้มันควรจะยอมศิโรราบไปนานแล้ว แต่มันกลับไม่ยินยอม หรือพวกเราต้องสังหารมันจริงๆ?”
เตาชิงหยางสีหน้าอึมครึม “ถ้าไม่ยอมจำนนจริงๆ เช่นนั้นก็สังหารมันเสียเถอะ!”
เห็นชัดว่าเตาซิงหยางเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ คนอื่นๆ เชื่อฟังคำสั่งเขา ส่งเสียงตอบรับทันที เมื่อโจมตีเพรียกวายุอีกครั้งก็ไม่ปรานีอีกต่อไป
จะมองเจ้าเพรียกวายุตัวนี้ถูกสังหารคาตาหรือ?
กู้ซีจิ่วถามตนเองในใจ ในขณะเดียวกับก็คิดแผนรับมือไปด้วย
“อายเป็นโจรปล้นโจรหรือ?” ซือเฉินกระซิบถามเธอ
กู้ซีจิ่วเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ดวงใจไหววูบ เป็นฝ่ายจับมือเขาก่อนอย่างที่พบเห็นได้ยากยิ่ง “ข้าอยากให้ท่านช่วยงานสักหน่อย”
ซือเฉินเลิกคิ้ว “งานอะไร? ออกไปต่อยดีกับพวกเขาสักยกหรือ?”
กู้ซีจิ่วส่ายหัว “สงสารร่างเล็กๆ ของท่านเกรงว่าจะไม่พอให้ปลายนิ้วพวกเขาจิ้มด้วยซ้ำ อย่าดันทุรังเลย ตอนนี้ข้ามีวิธีการอย่างหนึ่ง สามารถช่วยชีวิตเจ้าเพรียกวายุตัวนี้ได้”
ซือเฉินประหลาดใจนัก “วิธีใด?”
มุมปากกู้ซีจิ่วยกโค้งทันที “ตี้ฝูอี…”
ซือเฉินตัวแข็งทื่อ มองดูนาง “อะไรนะ?”
กู้ซีจิ่วเอ่ยตอบ “ท่านปลอมเป็นตี้ฝูอีไปทำให้พวกเขาตกใจจนหนีไปสิ!”
ซือเฉินชะงักค้าง
เขาถอยหลังทันที “ข้าคิดว่าข้าไม่เหมือนเขา…”
กู้ซีจิ่วกลับยืนกระจกบานหนึ่งให้เขาเสียดื้อๆ “มาเถอะ มองไว้ให้ดี ท่านจะเหมือนเขาในอีกไม่ช้า”
กล่าวพลางหยิบอุปกรณ์แปลงโฉมของตนขึ้นมา…
กู้ซีจิ่วแปลงโฉมให้เขาไปพลางพูดคุยไปพลาง “ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง”
ซือเฉินยังคงไม่มั่นใจนัก “บุคลิกของข้ากับเขาต่างกันกระมัง? ต่อให้รูปลักษณ์เหมือน ทว่าบุคลิกก็ไม่เหมือน…”
“วางท่าสิ…วางท่าเคร่งขรึมเย็นชาท่านทำได้ไหม?”
“เรื่องนี้ทำได้” แววตาซือเฉินวูบไหว
“เช่นนี้ก็ใช้ได้แล้ว!”
ซือเฉินนิ่งงัน ที่แท้ในใจของนาง ระยะห่างระหว่างซือเฉินกับตี้ฝูอีก็คือการวางท่าเคร่งขรึมเย็นชา…
……………………..
พวกเตาซิงหยางทั้งแปดมองเพรียกวายุตัวนั้นที่กำลังจะดับดิ้นภายใด้ศาสตราวุธ จู่ๆ เหนือศีรษะก็มีเสียงลมดังขึ้นไม่ไกล น้ำเสียงเยือกเย็นสายหนึ่งพลันดังขึ้น “พวกเจ้ากำลังทำอะไร?”
นํ้าเสียงดุจสายธารแรกฤดูใบไม้ผลิ ไพเราะเหนือธรรมดา
ร่างกายเตาซิงหยางพลันแข็งค้าง หันไปมองทิศทางที่เสียงแว่วมา เห็นคนสองคนยืนอยู่บนยอดไม้ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
………………………..
[1] กวางหมีลู่ จัดเป็นสัตว์เฉพาะถิ่นที่ถูกกล่าวถึงในตำราจีนตั้งแต่กว่า 2,000 ปีก่อนและมีชื่อเล่นสะดุดหูว่า ‘ซื่อปู๋เซี่ยง’ (四不 像) หรือ ‘สี่ไม่เหมือน’ ซึ่งมาจากลักษณะเด่นอันได้แก่ ใบหน้า เหมือนม้า หางเหมือนลา เท้าเหมือนวัว และเขาเหมือนกวาง