Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 822

บทที่ 822 ปลุกขวัญ

เธอไม่คุ้นชินกับค่ายกลโบราณเท่าไหร่ แต่เธอมีความรู้ที่หลากหลายของยุคปัจจุบัน และเชี่ยวชาญด้านการตั้งกระบวนทัพ ถึงขั้นที่ว่าสามารถใช้วัตถุดิบของยุคนี้มาสร้างระเบิดที่มีพลังทำลายล้างสูงจนน่าตกใจได้ เธอใช้ความรู้บางส่วนจากยุคของตนมาปรับเข้ากับค่ายกล ย่อมทรงอานุภาพขึ้นมาก

ทั้งสองคนปรึกษาหารือแบบหัวจุ่มกันอยู่ตรงนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ศึกษาจนเกือบสมบูรณ์แล้ว

ตี้ฝูอีปรบมือเรียกมู่อวิ๋น มอบผังค่ายกลนั้นให้เขา ให้เขาไปเตรียมการ ขณะที่กำลังยุ่งวุ่นวาย มีคนด้านนอกเข้ามารายงานว่า “พวกอาจารย์ใหญ่กู่จะออกเดินทางแล้วขอรับ…”

….

พวกกู่ฉานโม่พอฟ้าสางก็เรียกรวมพล เตรียมตัวออกเดินทาง

ยามที่กู่ฉานโม่ให้โอวาทปลุกขวัญแก่เหล่าศิษย์ กู้ซีจิ่วก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ส่วนตี้ฝูอีและหลงซือเย่ยืนอยู่บนเวที ในเมื่อสองคนนี้อยู่ด้วย กู่ฉานโม่ย่อมเชิญพวกเขามาเป็นขวัญกำลังใจแก่ศิษย์ของตนด้วย

ตี้ฝูอีค่อนข้างเฉื่อยชา เขาคร้านจะพูด ด้วยเหตุนี้หน้าที่จึงตกอยู่ที่หลงซือเย่แทน มิเสียทีที่เป็นเจ้าสำนัก วาจาที่เอ่ยมีน้ำหนักยิ่ง ย่อมปลุกขวัญ กำลังใจของผู้คนได้ ไม่ว่าอาจารย์หรือลูกศิษย์ล้วนถูกปลุกเร้าให้ฮึกเหิม

อวิ๋นชิงหลัวปนอยู่ในกลุ่มศิษย์ด้วย ในที่สุดก็สามารถแหงนหน้ามองเงาร่างในอาภรณ์ม่วงบนเวทีอย่างผ่าเผยได้แล้ว แววตาของนางค่อนข้างประหลาด มีทั้งปวดร้าวและเป็นสุข

ระหว่างที่นางกำลังมองตี้ฝูอีย่อมกวาดตามองกู้ซีจิ่วที่อยู่ห่างจากนางไม่กี่แถวด้วยแวบหนึ่ง สีหน้ากู้ซีจิ่วราบเรียบอยู่ตลอด เธอก็กำลังมองบนเวทีเหมือนกัน ไม่ทราบว่าเธอกำลังมองตี้ฝูอีหรือว่ามองคนอื่น…

หลังจากกล่าวปลุกขวัญเสร็จ กู่ฉานโม่ก็พาคนออกเดินทาง…

เนื่องจากอาการบาดเจ็บของกู้ซีจิ่วกับอวิ๋นชิงหลัวยังไม่หายดีทั้งคู่ ดังนั้นสองคนนี้จึงรั้งอยู่ ผู้ที่รั้งอยู่เช่นกันคือหลงซือเย่และตี้ฝูอี รวมถึงเด็กรับใช้ อีกหลายคนที่ต้องคอยจัดการเรื่องจุกจิก

พวกกู่ฉานโม่เดินทางว่องไวนัก ผ่านไปหนึ่งเค่อ สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ที่เคยคลาคลํ่าด้วยอัจฉริยะที่มีกำลังรบพอๆ กับกองทัพหนึ่งก็กลายเป็นเมืองร้าง

อวิ๋นชิงหลัวมองตี้ฝูอีเดินลงมา ตรงไปจูงมือกู้ซีจิ่วเดินจากไป “ซีจิ่ว ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นที่สวนสวรรค์สุคนธา”

สวนสวรรค์สุคนธาเป็นสวนดอกไม้ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ด้านในมีพืชพรรณหายากมากมาย เป็นสถานที่ยอดเยี่ยมสำหรับเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ หลายวันมานี้ตี้ฝูอีพากู้ซีจิ่วไปเที่ยวเล่นที่นั่นเสมอ ดังนั้นถึงคราวนี้เขาพาเธอไปอีก คนอื่นก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด

อวิ๋นชิงหลัวยืนอยู่ตรงนั้นมองพวกเขาเดินห่างออกไป มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น นางดีดปลายนิ้วเล็กน้อย ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งวาบขึ้นมาในอากาศ ตามประกบสองคนนั้นไป จากนั้นนางก็หันหลังกลับเรือนตน พอเข้าไปในห้องนอนตน หุ่นเชิดตัวนั้นก็โผล่ออกมาจากมุมมืด “เป็นอย่างไร?”

อวิ๋นชิงหลัวสูดหายใจเบาๆ “ทุกอย่างปกติดี พวกเจ้า…สามารถลงมือได้แล้ว!”

หุ่นเชิดร่างมนุษย์ตัวนั้นก้าวขึ้นไปบนเตียง โอบนางไว้ “เด็กดี ความปรารถนาของเจ้ากำลังจะเป็นจริงแล้ว เหตุใดจึงดูเหมือนไม่ค่อยดีใจเล่า?”

อวิ๋นชิงหลัวค่อนข้างหงุดหงิด หุ่นเชิดที่สวมหน้ากากตัวนี้เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเหมือนตี้ฝูอีทุกประการ แต่หลังจากมสติปัญญาเป็นของตัวเอง บุคลิกและนิสัยก็แตกต่างกับตี้ฝูอีอย่างยิ่ง ต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้นางหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ…

นางยื่นมือผลักเขาออกไป “รีบไปจัดการเถอะ!”

หุ่นเชิดตัวนั้นกลับตรงเข้ากอดนางไว้ เขยิบไปหัวเราะข้างหูนาง “เด็กดี ความปรารถนายังไม่ได้รับการเติมเต็มเลย เวลายังมีถมเถ ข้าจะเติมเต็มให้เจ้าเสียก่อน!”

พลางยื่นมือไปกระชากอาภรณ์นาง!

อวิ๋นชิงหลัวเดือดดาล ยามนี้หุ่นเชิดตัวนี้ไม่มีเงาของตี้ฝูอีอยู่เลย!

เงาหลังของตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วที่จับจูงกันจากไปแวบขึ้นมา นางหัวใจพลันเจ็บปวดขึ้นมา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version