บทที่ 437
คำเตือนของตี้ฝูอี 4
คนผู้หนึ่งสวมชุดม่วงพลิ้วไสว เรือนกายสูงโปร่งดั่งต้นอวี้ เกศาดำแผ่สยาย แถบแพรนัยน์ตาจิ้งจอกกลางหน้าผากส่องประกาย บนใบหน้าสวมหน้ากากเอาไว้ เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากงดงามได้รูป ยืนลอยล่องอยู่ตรงนั้นเสมือนพร้อมปลิวไปตามสายลม
อีกผู้หนึ่งสวมชุดดำ รูปโฉมหล่อเหลา ดูคมคายเฉียบแหลม เมื่อนัยน์ตาคู่นั้นมองมาจะแผ่รังสีข่มผู้คน
พวกเตาซิงหยางเคยพบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีมาแล้ว ถึงแม้จะไม่เคยสนทนากัน ถึงขั้นที่ว่าไม่เคยได้เจรจาปราศรัยใกล้ๆ แต่ก็มีความทรงจำเกี่ยวกับการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาลํ้าลึกยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือมู่เฟิงที่เป็นผู้พิทักษ์ของวังคํ้านภาคนนั้นก็ยืนอยู่ข้างกายเขาด้วย!
ดังนั้นมองปราดเดียวก็จำได้แล้ว!
พวกเขาไม่นึกเลยว่าจะได้พบเจอทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่นี่ ในใจตื่นตระหนก คุกเข่าลงทำความเคารพตามสัญชาตญาณ “น้อมพบท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้เอ่ยวาจา
มู่เฟิงที่อยู่ข้างกายเขากลับเปิดปากเอ่ย “พวกท่านมาทำอะไรที่นี่?”
เตาชิงหยางชะงัก พวกเขามาทำอะไรที่นี่มิใช่มองแวบแรกก็รู้แล้วหรอกหรือ?
เขาอดเหลือบมองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่ได้ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเม้มริมฝีปากบางนิดๆ กำลังมองเขาอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม ในดวงตาสุกสกาวคู่นั้นคล้ายจะส่องประกายเฉียบคม
เตาชิงหยางแอบหนาวสะท้าน แต่ไรมาเขาค่อนข้างเกรงกลัวทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้
ก่อนหน้านี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสั่งให้เขาสำเร็จโทษกู้เทียนเฉาศิษย์รักของตน ถึงแม้ใจเขาจะเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าขัดขืน จึงสังหารกู้เทียนเฉาเสีย…
เพียงแต่ในใจของเขาได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ความแค้นไว้รางๆ แล้ว เขารู้สึกชิงชังทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้
หลังจากสำเร็จโทษลูกศิษย์ จิตใจเขาก็ตรอมตรมระทมทุกข์มาตลอด
บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาอยากจะคลายทุกข์ให้เขา ถึงได้ชักชวนเขามาออกล่าสัตว์ที่ป่าทมิฬ คิดจะล่าสัตว์ร้ายสักหลายตัว กลับไปฝึกฝนเป็นสัตว์พาหนะ
เตาชิงหยางย่อมรู้ว่าหลายวันนี้กู้ซีจิ่วต้องเข้าสู่ป่าทมิฬ หัวใจเขาเต้นแรงวูบหนึ่ง และยอมตามเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องมา
ขณะค้นหาสัตว์ร้ายที่เหมาะสมจะเป็นสัตว์พาหนะ ในใจเขาก็มีความคิดที่ค่อนข้างสกปรกอย่างหนึ่ง เขาคิดจะฉวยโอกาสยามที่กู้ซีจิ่วเข้าสู่ป่าทมิฬเพียงลำพังสังหารนางโดยไม่มีใครรู้เห็น เพื่อล้างแค้นให้ศิษย์ตน…
ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นบังเอิญเข้าสู่ยอดเขาที่สามโดยไม่เจตนา แต่ต้องประสบกับเขตแดนของยอดเขาที่สาม เขาเลยลอบเข้าไปด้านในไม่ได้
เมื่ออับจนหนทางจึงทำได้เพียงมุ่งมั่นล่าสัตว์กับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง และล่าสัตว์ร้ายมาได้หลายตัว แต่เตาซิงหยางไม่ใคร่พอใจนัก ในขณะที่คิดว่าหมดหวังแล้วกลับพบเพรียกวายุเข้าโดยบังเอิญ…
เพรียกวายุแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ชั้นเลิศที่สุดในบรรดาสัตว์พาหนะ สูสีกับพาหนะตัวนั้นของหลงซือเย่ เตาซิงหยางย่อมไม่ปล่อยไปเด็ดขาด รีบล้อมจับกับพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องทันที
ทว่าเจ้าเพรียกวายุตัวนี้กลับดื้อด้านเหลือเกิน ยอมตายไม่ยอมสยบ เขาไม่อยากปล่อยให้สัตว์ชั้นยอดเช่นนี้ตกไปอยู่ในมือคนอื่น ดังนั้นจึงต้องสังหารมันสถานเดียว…
นึกไม่ถึงว่าจะได้พบเจอทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่นี่!
ถ้ากล่าวกันตามเหตุผล หลังจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายพากู้ซีจิ่วมาปล่อยไว้ในยอดเขาที่สามแล้วก็ควรจะจากไปเลย เหตุใดเขาถึงปรากฎตัวที่นี่?
เตาชิงหยางเป็นบุคคลหนึ่งที่ค่อนข้างลํ้าลึก ในใจเขาพลันเกิดความคลางแคลง ด้านหนึ่งก็ตอบมู่เฟิงอย่างสุภาพนอบน้อม อีกด้านก็ตรวจสอบทุกท่วงท่าของคนทั้งสอง แต่เขาไม่คุ้นเคยกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย จึงมองไม่เห็นพิรุธอะไรจากท่าทีของสองคนนั้น
มู่เพิงตรงไปตรงมายิ่งนัก “เพรียกวายุตัวนี้ท่านทูตสวรรค์ของพวกเราหมายตาไว้นานแล้ว ทว่านิสัยของมันใช้ไม่ได้ จึงนำมาเลี้ยงไว้ที่นี่เพื่อขัดเกลานิสัย นึกไม่ถึงว่าจะถูกพวกท่านรุมจับ…”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของสำนักเก้าดาราเคารพทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่งนัก เมื่อได้ยินมู่เฟิงเอ่ยเช่นนี้ พวกเขาย่อมกล่าวขออภัยไม่หยุด
มู่เพิงไม่สืบสาวเอาความ มอบเหตุผลว่า ‘ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด’ ให้พวกเขา แล้วสั่งให้พวกเขารีบจากไปเท่านั้น
หาได้ยากที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะเจรจาด้วยง่ายเช่นวันนี้ คนเหล่านั้นจึงไม่กล้ากล่าวเป็นอื่นอีก กล่าวขออภัยอีกครั้งก็เตรียมจะจากไป
จู่ๆ เตาชิงหยางก็ทำความเคารพทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ซิงหยางมีเรื่องหนึ่งที่ไม่กระจ่าง อยากขอให้ท่านทูตสวรรค์ช่วยชี้แนะด้วย มิทราบว่าท่านทูตสวรรค์จะคลายข้อสงสัยให้ซิงหยางได้หรือไม่?”
เขามองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ ในใจเกิดความสงสัยเต็มเปี่ยม