บทที่ 562 ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หนุนหลังนาง 4
ดรุณีนางหนึ่งเดินออกมาจากป่า สวมอาภรณ์สีดำ ทะมัดทะแมง เส้นผมดำขลับรวบขึ้นครึ่งศีรษะ เรือนร่างอรชร ท่วงท่าสง่างาม ผิวขาวกระจ่างดั่งหยก ดวงหน้างามพิลาส ขณะที่พูดนางยังอยู่ในป่า แต่ชั่วระยะที่ทุกคนกระพริบตา ดรุณีนางนั้นก็เข้ามาใกลแล้ว เปลือกของเจ้าหอยยักษ์ส่องประกายด้วยความตื่นเต้น “เจ้านาย!”
หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่ทราบว่าผู้ที่มาคือใคร ยามนี้ล้วนทราบกันถ้วนหน้าแล้ว
กู้ซีจิ่ว! ตัวละครหลักที่พวกเขาเพิ่งนินทาไปก่อนหน้านี้ศิษย์ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ บุคคลที่ทำให้พวกเขาดูถูกดูแคลนอย่างยิ่งกลับ
ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่น เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ไม่คาดคิดว่ากู้ซีจิ่วจะปรากฏตัวขึ้นในยามนี้ตัวแข็งทื่อกันไปชั่วขณะ
ดวงตาเชียนหลิงอวี่ก็เปล่งประกายเช่นกัน แต่ยามที่สายตากู้ซีจิ่วกวาดผ่านมาหน้าเขากลับแดงก่ำ
…
ไม่เพียงแต่ไม่ออกมาจากด้านหลังเจ้าหอยยักษ์ เท่านั้นยังหดตัวลงไปอีก เขาก็เป็นคนที่หยิ่งทะนงคนหนึ่งเช่นกัน จึงไม่อยากให้นางเห็นตนในสภาพที่ถูกรังแกจนตกอับจนมุม
ทว่าเจ้าหอยยักษ์กลับไม่รู้สึกเหนียมอายอันใดเลย ฝาหอยอ้ากว้าง
ความห้าวหาญก็เปี่ยมล้นขึ้นมาอีกครั้งทันที “เด็กเวรอย่างพวกเจ้าเห็นแล้วใช่หรือ ไม่? เจ้านายข้ามาแล้ว! ถ้าพวกเจ้ากล้านักก็กล่าววาจาเลื่อนเปื้อนเมื่อกี้ออกมาอีกรอบสิ!”
เหล่าเด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออก
มุมปากกู้ซีจิ่วหยักขึ้นบางๆ “ไม่จำเป็นต้องเอ่ยซ้ำ ข้าได้ยินทั้งหมดแล้ว นึกไม่ถึงว่าเหล่าหัวกะทิของชั้นเรียนเมฆาคล้อยจะซุบซิบนินทาเช่นนี้ ด้วย ว่าร้ายผู้อื่นลับหลัง อ่อ แถมยังว่า ร้าย ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วย”
สีหน้าของเหล่าเด็กหนุ่มแดงก่ำ ก่อนจากนั้นก็เขียวทะมึน!
เชียนหลิงเทียนกล่าวด้วยความโกรธเคือง “พวกเรามิได้ว่าร้ายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์”
“มิได้ว่ารึ?” กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “เจ้ากล้า พูดหรือ มิ ได้ว่า ร้ายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์”
เชียนหลิงเทียนกระอักกระอ่วน ยามที่พวกเขาสนทนากันเมื่อครู่ แฝงนัยยะว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ลำเอียงเข้าข้างพวกพ้องจริง ๆ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งยิ้มหยัน “กู้ซีจิ่ว เจ้าอย่าได้ยุให้รำตำให้รั่ว เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าหัวข้อสนทนาของพวกเราคือเจ้า!”
“แต่พวกเจ้าก็กล่าวพาดพิงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วยนี่” น้ำเสียงกูซีจิ่วเอื่อยเฉื่อย โบกยันต์บันทึกเสียงแผ่นหนึ่งไปมา “วางใจเถิด ข้าไม่รายงานท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ส่งเดชหรอก โชคดีที่ข้าบันทึกคำพูดของพวกเจ้าไว้แล้ว เพียงมอบให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ฟังสักคราก็พอ”
เหล่าเด็กหนุ่มหน้าเขียวคล้ำแล้ว!
“กู้ซีจิ่ว เจ้าทำได้พียงนำท่านเทพมาเป็นเกราะกาบังเท่านั้น สินะ? ถ้ามีฝีมือก็มาประลองกับพวกเราจริงๆ สิ!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งตะโกนด้วยความขุ่นเคือง
กู้ซีจิ่วยิ้มหวาน เลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “มีท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หนุนหลังข้าอยู่ที่นี่ แล้วทำไมข้าต้องประลองกับพวกเจ้าด้วยเล่า?” ประโยคนี้ของเธอเป็นการสังหารคนโดยไม่ลงมือโดยแท้ เหล่าเด็กหนุ่มหน้าเขียวทะมึนอีกครา
“กู้ซีจิ่ว เจ้ามีอนาคตหน่อยได้หรือไม่? ชายชาตรีอกสามศอกสมควรเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ อาศัยฝีมือตนเข้าว่า พึ่งพาการเกื้อหนุน
จากผู้อื่นนับเป็นฝีมืออันใด?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าวน้ำเสียงฮึดฮัด
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วขึ้น กล่าวยิ้มๆ “เจ้าเห็นข้า เหมือนชายชาตรีอกสามศอกตรงไหนหรือ? เป็นเด็กสาวมิใช่รึ? มิใช่พวกเจ้ากล่าวว่าข้า
พึ่งพาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้หนุนหลังข้า มาตลอดหรอกหรือ? พวกเจ้ากล่าวกันถึงเพียงนี้ ข้าย่อมต้องนำมันมาปฏิบัติจริง และสำนึกในถ้อยคำติฉินนินทาดั่งสตรีปากมากของพวกเจ้าด้วย”
เหล่าเด็กหนุ่มถูกนางทำให้กระอักกระอ่วนอีกครั้ง จึงมองหน้ากันเหลอหลา
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ล้วนเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปีทั้งสิ้น ซ้ำยังอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะอีก แทบทั้งหมดล้วนถูกผู้คนประคบประหงมจนเติบใหญ่ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ หลังจากมาถึงสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ แม้การฝึกฝนอบรมจะเข้มงวด แต่ก็มี
ปฏิสัมพันธ์กับสังคมน้อย สิ่งที่รู้ก็น้อยไปด้วย เรื่องการวิวาทต่อปากต่อคำพวกเขาไหนเลยจะต่อกรกับกู้ซีจิ่วผู้ ช่ำชองได้?
ถึงแม้ยามปกติกู้ซีจิ่วจะไม่คนพูดมาก แต่เธอก็แค่ไม่พูดจาไร้สาระเท่านั้น เพียงแต่ถ้าเธอได้เปิดปากพูด ฝีปากนั้นจะคมคายยิ่ง
สามารถจี้จุดคน ได้เป็นอย่างดี โจมตีจิตใจผู้คนได้