Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 651

บทที่ 651 อารมณ์ชั่ววูบคือมารร้าย! เฮ้อ

กู้ซีจิ่วคร้านจะวิเคราะห์อารมณ์นาง อีกอย่างด้วยความสัมพันธ์ของเธอกับนาง ดูเหมือนจะมิได้อยู่ในสถานะสนิทชิดเชื้อกันปานนี้ ดังนั้นเธอจึง พยักหน้าให้อวิ๋นชิงหลัวเท่านั้นแล้วหันหลังจากไป

ระหว่างทางได้รับสายตามากมาย บ้างก็เห็นใจ บ้างก็ยิ้มเยาะ

แม้แต่หลานไว่หูที่ร่าเริงอยู่เสมอก็เงียบลงไม่น้อย เวลาที่พูดคุยกับเธอก็ระมัดระวังยิ่ง มองสีหน้าของเธอเป็นพักๆ

ส่วนเชียนหลิงอวี่เสมือนหีบเสียงที่ถูกเปิดออก พูดพรํ่าอยู่ข้างกายเธอไม่หยุดปานพระถังซัมจั๋ง พูดเป็นต่อยหอย ไม่มีช่วงที่เงียบเลย

ไม่รู้ว่าเขาไปได้ยินเรื่องเล่าขำขันอันใดมากจากไหน หลายวันมานี้ขอเพียงเขาอยู่ด้วยก็จะเจื้อยแจ้วให้เธอฟังอยู่ตลอด แถมเรื่องส่วนใหญ่ที่เล่ายัง เป็นเรื่องราวความรักที่พลัดพรากจากแยก พอเล่ามาถึงตอนจบก็จะสรุปความทำนองว่า ‘แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา ไยต้องอาวรณ์หาบุปผาเพียงดอกเดียว’ ทำให้กู้ซีจิ่วอับจนวาจายิ่งนัก สุดท้ายกู้ซีจิ่วทนบทสวดของเขาไม่ไหวแล้วจริง ๆ เอ่ยถามเขาตรงๆ “เจ้าคิดว่าข้าชํ้ารักหรือ ดังนั้นจึง ต้องการคำปลอบโยนจากเจ้า ใช่หรือไม่? ข้าขอบอกเจ้าเลยนะ ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ข้ากับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้้นไม่ได้มีอะไรจริงๆ เจ้าอย่ามาเจื้อยแจ้วอยู่ข้างกายข้าได้หรือไม่?”

ผลคือเด็กหนุ่มผู้นี้เงียบไปพักหนึ่ง ตอบอย่างระมัดระวังยิ่ง “ได้ ข้าไม่พูดแล้ว ไม่เอ่ยแล้ว ต่อไปจะไม่เอ่ยถึงอีก”

ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็โล่งใจแล้ว รู้สึกว่าในที่สุดก็สงบหูได้เสียที ในที่สุดเจ้าเด็กคนนี้ก็รู้แจ้งแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญได้ยินเชียนหลิงอวี่เอ่ยกำชับ หลานไว่หูเข้า “ต่อไปอย่าเอ่ยถึงท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอีกนะ แม้แต่ซ้ายขวาก็พยายามอย่าเอ่ยถึง ต่อไปพวกเราจะใช้เลขหนึ่งเลขสองแทน

สองทิศ ทางนี้หนึ่งคือซ้าย สองคือขวา…”

กู้ซีจิ่วแทบกระอัก!

อันที่จริงการอกหักไม่ได้น่ากลัวเลย แต่ที่น่ากลัวก็คือการที่คนทั้งโลกคิดว่าคุณอกหัก!

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าท่าทีของกู้ซีจิ่วปกติดีทุกอย่าง แต่ในสายตาของผู้ที่ห่วงใยเป็น ‘กำลังฝืนทำเป็นเข้มแข็ง’

สามเดือนที่ผ่านมากลุ่มของเธอประลองกับชั้นเรียนศิษย์ใหม่ในชั้นเมฆาม่วงไปนับไม่ถ้วน ชนะมากหนแพ้น้อยครั้ง สถิติการสู้ยอดเยี่ยมนัก

แต่หลังจากมีเรื่องของอวิ๋นชิงหลัวออกมา ไม่ว่าเธอแพ้หรือชนะก็จะถูกตีความไปต่างๆ นานา

ยามชนะจะกล่าวว่าเธอเปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นแรงต่อสู้ ตั้งใจแสดงความสามารถออกมาเป็นพิเศษ ยามแพ้จะกล่าวว่าเธอเจ็บช้ำจนจิตฟุ้งซ่านเกินไป…

ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ากู้ซีจิ่วจะมีท่าทีอย่างไร ในสายตาฝูงชนก็ล้วนเป็นท่าทีของคนชํ้ารักทั้งสิ้น …

….

จันทร์เสี้ยวบนนภาถูกเมฆบดบังจนแสงสลัวเลือนราง กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองจันทราแล้วล้วงกระจกบานหนึ่งออกมาส่องใบหน้าตน ครุ่นคิดอย่างจริงจัง หน้าข้าดูเหมือนอกหักหรือไงกัน?

เธอไม่ได้รู้สึกว่าเธออกหัก มากสุดก็หดหู่นิดหน่อยเท่านั้น

ถึงอย่างไรเธอก็เคยมีความรู้สึกดีๆ ให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ เกือบจะได้หมั้นหมายกับเขาจริงๆ แล้วด้วยซํ้า

ดังนั้นเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ ถ้าเธอบอกว่าไม่ผิดหวังเลยสักนิดก็โกหกแล้ว แต่ก็ยังห่างไกลจากสถานะอกหักอยู่ดี

หากกล่าวว่าเมื่อก่อนเธอเคยมีความรู้สึกเล็กน้อยต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย แต่หลังจากผ่านเรื่องเหล่านี้ไป ความรู้สึกเล็กน้อยนั้นถูกเธอดับจนวอดไปแล้ว

เดิมทีเธอก็ไม่คิดจะแล่นมาชมจันทร์ที่นี่ แต่สองคนที่อยู่ข้างกายนั้นระมัดระวังจนเกินไปจริงๆ ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยใจ ดังนั้นจึงออกมารับลมสักหน่อย แล้วทบทวนตัวเองไปด้วย

ถ้ารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนที่ทะเลาะกับอวิ๋นชิงหลัวยามนั้นเธอจะไม่พลั้งปากออกไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ

อารมณ์ชั่ววูบคือมารร้าย! เฮ้อ

โขดหินที่เธอนั่งยื่นออกมาจากริมหน้าผาครึ่งหนึ่ง คล้ายชะง่อนหินริมทะเล ถึงแม้จะอันตราย แต่ทิวทัศน์ที่มองลงไปจากตรงนี้ก็ยอดเยี่ยมมาก ใต้หน้าผานี้มีเมฆหมอกขาวลอยละล่อง ให้อารมณ์แดนสวรรค์ยิ่งนัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!