Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 684

บทที่ 684 ข้าแค่มาชมเรื่องครื้นเครงเท่านั้น

ริมฝีปากบางของกู้ซีจิ่วโค้งขึ้นนิดๆ กำลังจะเปิดปากเอ่ย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนรายงานขึ้นมา “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเยือน!”

กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง!

เงยหน้ามองฟ้าเช่นเดียวกับฝูงชน จากนั้นก็ชะงักค้าง!

เธอนึกว่าจะได้เห็นเรือล่องเวหาลำนั้นเป็นอย่างแรก แต่นึกไม่ถึงว่าหนนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้เปลี่ยนพาหนะแล้ว เขานั่งรถม้าคันหนึ่งมา

รถของเขามิใช่รถม้าธรรมดา แต่เป็นรถแก้วผลึกสีม่วงคันหนึ่ง

แก้วผลึกพบเห็นได้ทั่วไป แต่เจ้าเคยเห็นรถม้าที่ขุดจากแก้วผลึกทั้งชิ้นหรือ?

ยิ่งไปกว่านั้นคือแก้วผลึกนี้มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นแก้วผลึกชั้นยอด โปร่งใสแวววาว ยามที่เหินอยู่ในอากาศประหนึ่งคลื่นวารสีม่วงใสลูกใหญ่

รถม้าแก้วผลึกมิใช่เล็กๆ หน้ารถมีเด็กสาวสองนางยืนบังคับรถม้าอยู่ หลังรถมีเด็กหนุ่มสองคนยืนคุมรถอยู่

หนุ่มสาวล้วนสวมชุดขาว ชุดขาวหลวมกว้าง โบกพลิ้วตามแรงลมบนนภา สัตว์ที่ลากรถก็มิใช่สิงโตเวหาที่พบเห็นอยู่ทั่วไป แต่เป็นอาชา

เวหาตัวนั้น ขนสีเงินยวงพลิ้วลู่ไปด้านหลัง ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก

เมื่อเห็นอาชาเวหาตัวนั้น สมองกูวี้จิ่วคล้ายมีภาพบางอย่างแวบเข้ามา เธอนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปสำนักถามสวรรค์เพื่อจับเธอกลับไปอาณาจักรเฟยซิง ก็คืออาชาเวหาตัวนี้…

อดีตดั่งเมฆาเคลื่อนคล้อย ไหลผ่านสมองเธอ

กู้ซีจิ่วหัวเราะเบาๆ อยู่ในใจ กดความทรงจำในวันวานนี้ลงไปให้ลึกที่สุด ไม่ต้องการให้มันผุดขึ้นมาอีก

การมาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็อยู่ในความคาดหมายของเธอเช่นกัน ถึงอย่างไรเมื่อคืนก็เพิ่งเห็นเขาจูงมือเดินเล่นกับอวิ๋นชิงหลัวอยู่หยกๆ…

วันนี้เขามาให้กำลังใจอวิ๋นชิงหลัวก็นับว่าสมเหตุสมผล

รถแก้วผลึกหยุดลง เด็กสาวทั้งสองยืดกายขึ้นสะบัดมือปล่อยแพรขาวสายหนึ่งลงมาดั่งเมฆาล่องลอย แล้วทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็เหยียบย่างลงบนแพรขาวที่โบกพลิ้ว อาภรณ์สีม่วงดุจจักรวาลขยับไหวตามการเยื้องย่าง เรือนผมดกดำดั่งม่านนํ้าตกปลิวไสวอยู่ด้านหลังเขา บนหน้ายังคงสวมหน้ากากไว้เช่นในอดีต เพียงแต่หน้ากากในครั้งนี้มิใช่หน้ากากที่บดบังไว้ทั้งหน้า มันดูคล้ายปีกผีเสื้อบางเบาคู่หนึ่ง บดบังตั้งแต่เหนือริมฝีปาก

ของเขาขึ้นไป แต่ยังคงมองเห็นคางงามได้รูป ริมฝีปากแดงเรื่อ และนัยน์ตาดำขลับ

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายฐานะสูงส่ง เขาเดินทางไปทั่วแผ่นดิน ไม่ว่าไปที่ใดล้วนมีคนคุกเข่าให้แทบทั้งสิ้น

ตามกฎของทวีปที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์บัญญัติไว้ ฐานะของสานุศิษย์สวรรค์เป็นรองเพียงเขาเท่านั้น ดังนั้นหากสำเร็จวิชาก็สามารถนั่งเทียมเขาได้ (เมื่อพลังวิญญาณบรรลุขั้นเก้า นับว่าสำเร็จวิชา) เมื่อทุกคนพบหน้าต้องคุกเข่าคารวะเป็นการต้อนรับ แน่นอนว่ายกเว้นจักรพรรดิของแคว้นต่างๆ ไว้…

ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ทุกคนในที่นั่นนอกเหนือจากกู่ฉานโม่แล้ว ล้วนพากันคุกเข่าคารวะกันดังพึ่บพั่บ

(กู่ฉานโม่เป็นอาจารย์ใหญ่ผู้บุกเบิกสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เขาทำความเคารพเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องคารวะผู้อื่น)

กู้ซีจิ่วก็ไม่ได้ทำความเคารพ เพราะท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เคยบอกนางไว้ นางคือศิษย์ของเขา ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพสานุศิษย์สวรรค์

เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้นค้อมศีรษะเล็กน้อย หลุบตาลงนิดหน่อย

ดูเหมือนกู่ฉานโม่คาดไม่ถึงว่าเขาจะมา ทักทายเขาด้วยสีหน้าแช่มชื่น

เธอได้ยินเขาตอบรับเบาๆ นํ้าเสียงคล้ายเจือแววหยอกเย้ามาโดยกำเนิด ทำให้คนรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา

เสียงของเขาไม่เปลี่ยนไปเลย ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเดินผ่านเธอ กลิ่นหอมที่ผ่อนคลายที่ล่องลอยนั้นก็ยังเหมือนเดิม

เขาเดินไม่เร็ว แต่ก็ไม่ช้า ยามที่เดินผ่านกู้ซีจิ่วไปก็ไม่แม้แต่จะหยุดฝีเท้าเลย…

กลับไปหยุดเบื้องหน้าอวิ๋นชิงหลัวครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างอ่อนโยนประโยคหนึ่ง “ลุกขึ้นเถอะ ข้าแค่มาชมเรื่องครื้นเครงเท่านั้น พวกเจ้าทำตัว ตามสบาย”

ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงลุกขึ้น แต่เรื่องทำตัวตามสบายนั้น…

อยู่ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ทุกคนทำตัวตามสบายไม่ได้ ต่างคนต่างเข้าประจำที่ นั่งกันเป็นระเบียบเรียบร้อย เดิมทีภายในสนาม

เสียงดังเอะอะอยู่บ้าง แต่พอเขามาถึงภายในสนามก็เงียบลงไม่น้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version