Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 924

บทที่ 924 กินยาผิดขนาน

สิบเดือนก่อนจักรพรรดิของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยยินยอมประทานธิดาให้แก่โอรสของจักรพรรดิซวนแห่งอาณาจักรเฟยซิง หมายจะให้มีการอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นอีกครั้ง ส่งคนมาทาบทาม

คนที่องค์หญิงจากอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยผู้นั้้นพึงใจคือองค์รัชทายาทหรงเจียหลัว คาดไม่ถึงว่าจักรพรรดิซวนจะปฏิเสธโดยตรงราวกับไปกินยาผิดขนานมา เอ่ยอะไรทำนองว่าสุนัขตัวเมียจะคู่ควรกับพยัคฆ์ได้อย่างไร สั่งการให้คนไล่ทูตส่งสารของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยกลับไป!

ในบรรดาสนมชายาของจักรพรรดิซวนเองก็มีพระสนมกุ้ยเฟยนางหนึ่งที่มาจากอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย เป็นพระขนิษฐาจักรพรรดิองค์ปัจจุบันของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย นิสัยเงียบขรึม เดิมทีไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวขัดแย้งภายนอก ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิซวนยิ่งนัก ทว่าไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ กุ้ยเฟยนางนี้ก็กลายเป็นดอกซิ่งแดงยื่นพ้นกำแพง[2] ลอบมีสัมพันธ์กับองครักษ์คนหนึ่งในวังถูกคนจับได้ นำไปกราบทูลต่อจักรพรรดิ

ซวน จักรพรรดิซวนกริ้วนัก!

นำตัวกุ้ยเฟยท่สวมหมวกเขียว[3] ให้เขานางนี้ไปประหารโดยแพรขาว[4]ทันที องครักษ์ผู้นั้้นก็ถูกประหารด้วยการแล่เนื้อเถือหนัง เมื่อกุ้ยเฟยนางนี้สิ้นชีพ ศพของนางก็ถูกใส่ไว้ในโลงบางๆ ใบหนึ่งแล้วส่งกลับอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย ซํ้ายังส่งโลงศพสีโลหิตใบใหญ่กลับไปด้วย

โลงศพโลหิตใบใหญ่นี้คือโลงสาปแช่ง สาปแช่งให้บ้านของฝ่ายหญิงสิ้นลูกสิ้นหลาน ไร้ทายาทสืบสกุล

ได้รับความอัปยศอดสูจากอาณาจักรเฟยซิงติดต่อกันถึงสองครั้ง จักรพรรดิของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยสะกดกลั้นธารพิโรธไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ไม่สนใจคำ ทัดทานของขุนนางอำมาตย์ ฉีกสัญญาพันธมิตรระหว่างสองอาณาจักร ประกาศสงครามกับอาณาจักรเฟยซิง

เมื่อสงครามบังเกิด ทุกหนทุกแห่งย่อมเต็มไปด้วยซากศพ ไฟสงครามระหว่างสองอาณาจักรลุกโหม ประชาชนไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุขได้

ส่วนอาณาจักรเจาหยาง ครานี้ได้นั่งบนภูดูเสือกัดกัน เป็นชาวประมงที่นั่งรอรับผลประโยชน์

อันที่จริงปกติแล้ว สามอาณาจักรก็มีข้อพิพาทเล็กๆ น้อยๆ อยู่เป็นประจำ มีไฟสงครามคุโชนขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่เคยรบรากันหนักหนาถึงเพียงนี้มาก่อนเลย

สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ปลีกตัวจากโลกภายนอก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเข้าร่วมสงครามระหว่างอาณาจักรเลย อย่าว่าแต่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไม่เข้าร่วมเลย แม้แต่สามสำนักหลักก็ไม่เข้าร่วมเช่นกัน

ส่วนทูตสวรรค์ซ้ายขวาของอาณาจักรเฟยซิง รายนั้นยิ่งไม่ออกหน้า ทูตสวรรค์ฝ่ายขวายังดีหน่อย เขาเพียงทำพิธีทำนายให้แก่แม่ทัพ นายกองที่จะออกศึกของอาณาจักรตน ผลลัพธ์ก็มีดีมีร้ายปนๆ กันไป

ด้านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีเขาไม่โผล่หน้าออกมาเลย รํ่าลือกันว่ากักตนฝึกฝนอยู่ แม้แต่จักรพรรดิซวนก็หาตัวเขาไม่พบ

ฝ่ายอาณาจักรเฟยซิงผู้ที่นำทัพมิใช่ใครอื่น เป็นองค์รัชทายาทหรงเจียหลัวผู้หล่อเหลา องค์ชายแปดหรงเช่อและแม่ทัพใหญ่กู้เซี่ยเทียนผู้ทรงพลัง เป็นทัพหน้าซ้ายขวา

ยามที่กู้ซีจิ่วได้ยินข่าวนี้ สามคนนี้ก็ยาตราสู่สนามรบแล้ว เป็นแนวหน้ากรำศึกที่ปะทุดุเดือด

ศิษย์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มาจากทั่วสารทิศ ในนั้นก็มีคนของอาณาจักรเฟยซิงและอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยด้วย ถึงแม้สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จะลอยตัวอยู่เหนือสถานการณ์ ระหว่างที่เข้าศึกษาไม่อนุญาตให้เข้าร่วมสงครามอาณาจักรใดๆ ทั้งสิ้น และไม่อนุญาตให้สอดมือเข้าแทรกแซงบุญคุณความแค้นระหว่างอาณาจักรต่างๆ ด้วย แต่ก็ยังเกิดการมองหน้ากันไม่ติดระหว่างศิษย์จากอาณาจักรทั้งสอง สหายที่เดิมทีสนิทชิดเชื้อกัน ก็เริ่มห่างเหิน …

อันที่จริงเชียนหลิงอวี่ปวดประสาทยิ่งนัก เขามาจากอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย เชียนเยวี่ยหร่านท่านปู่น้อยของเขาคือเจ้าสำนักเก้าดารา และเป็นราชครูของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยด้วย ส่วนตระกูลเชียนคือตระกูลใหญ่ของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย ในสงครามกับอาณาจักรเฟยซิงครั้งนี้ก็มีคนของวงศ์ตระกูลเชียนเป็นนายพลอยู่ในทัพใหญ่ที่ออกศึกด้วย ซํ้ายังมียศไม่ต่ำเลย

ส่วนกู้ซีจิ่วมาจากอาณาจักรเฟยซิง กู้เซี่ยเทียนบิดาของนางยังเป็นหัหหอกทัพหน้าของอาณาจักรเฟยซิงด้วย…

กล่าวได้ว่ายามนี้ไม่เพียงแต่อาณาจักรทั้งสองของพวกเขาที่เป็นศัตรูกัน แม้แต่ตระกูลทั้งสองก็เป็นศัตรูกันด้วย!

ยามที่เขาต้องฝึกฝนร่วมกับกู้ซีจิ่วอีกครั้ง ก็มีสหายร่วมชั้นบางคนมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ สหายร่วมสำนักหลายคนที่มาจากอาณาจักรเดียวกับ เขาถึงขั้นใช้คำพูดมีนอกมีในเชือดเฉือนเขา เมื่อเผชิญหน้ากับบุญคุณความแค้นของบ้านเมืองไม่ว่ามิตรภาพของคนผู้หนึ่งจะมั่นคงสักแค่ไหนก็ตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมอยู่บ้าง

นานวันเข้า เชียนหลิงอวี่ก็ไม่ค่อยมาฝึกยุทธ์ร่วมกับกู้ซีจิ่วแล้ว เขาไปเข้าร่วมกลุ่มของศิษย์คนอื่น กลุ่มสามสหายที่เคยเหนียวแน่นในที่สุดก็แตกหัก ถูกบังคับให้จบลง

——————————————————————

[1] ขี้เถ้าปลิวหายควันมลายสิ้น หมายถึง หายไปหมดสิ้นไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่

[2] ดอกซิ่งแดงยื่นพ้นกำแพง สื่อความหมายได้สองแบบ ความหมายแรกคือหญิงสาวที่พยายามเสนอตัวทอดสะพานให้เพศตรงข้ามสนใจตน ความหมายที่สองคือสตรีออกเรือนแล้ว แต่ลอบคบชูสู้่ชาย

[3] สวมหมวกเขียว หมายถึง แอบเล่นชู้ เหมือนคำว่า ‘สวมเขา’ ของคนไทย

[4] แพรขาว ย่อมาจากคำว่า แพรขาวสามฉื่อ เป็นหนึ่งในโทษประหารของเหล่าสนมนางใน นับเป็นการประหารอย่างให้เกียรติ โดยมอบแพรขาวให้ผู้กคอตาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!