Chapter 4
รับศิษย์
“ข้าพาศิษย์มาให้เจ้าน่ะซิ” เทพพฤกษาพูดพลางปรายตาไปที่ร่างเล็กข้างหลังญาติผู้พี่ซึ่งกำลังเดินเข้ามา
“อ่อ…งั้นรึ” เทพสงครามเหลือบตาตามพยักหน้ารับรู้ “ได้ ข้าจะรับไว้”
เทพพฤกษาลุกขึ้น เสด็จเข้าไปจับชีพจรญาติผู้พี่ “เจ้าบาดเจ็บ”
“ยังรู้ดีเหมือนเดิม” เทพสงครามพูดหน้านิ่ง
เทพพฤกษาค้อนขวับ “ฮึ!”
แล้วนางก็หยิบขวดโอสถออกมาจากถุงผ้ายัดใส่มือญาติผู้พี่ “กินซะ นี่เป็นยาสมานแผล”
“ขอบใจ” เทพสงครามพูดหน้านิ่ง แล้วก็หันไปสั่งลี่จิ่นว่า “เตรียมทำพิธีรับศิษย์”
“ขอรับ” ลี่จิ่นรับคำสั่งแล้วก็เดินไปเรียกศิษย์น้องให้มาทำพิธีรับศิษย์
“ปกติอาจารย์เลือกรับศิษย์เข้มงวดจะตาย แล้วเหตุใดเจ้าแมวป่านั่นถึงได้เป็นศิษย์ง่ายนักเล่า?” ศิษย์สี่กระซิบถาม
“ก็เทพพฤกษาพามาน่ะซิ” ศิษย์สามกระซิบบอก
“ไปๆ รีบไปเตรียมทำพิธีรับศิษย์กันเถอะ” ลี่จิ่นบอกพลางไล่ศิษย์น้อง
ไม่นานนักบรรดาศิษย์ทั้งสี่รวมถึงบ่าวไพร่ทุกคนก็มารวมตัวกันที่ห้องโถงเพื่อทำพิธีรับศิษย์
เทพสงครามยืนกลางห้องโถงรอรับการคารวะจากศิษย์คนใหม่
ลี่จิ่นถือจอกเหล้ารอท่า
ไป๋เมาคุกเข่ารอ
“วันนี้ข้าขอประกาศรับศิษย์คนที่ 5 ณ บัดนี้” เทพสงครามประกาศก้อง ลี่จิ่นส่งจอกเหล้าให้ศิษย์น้องคนใหม่
ไป๋เมารับจอกเหล้าไปแล้วยื่นไปให้เทพสงคราม “ข้า…ไป๋เมาขอคารวะอาจารย์ด้วยเหล้าจอกนี้”
เทพสงครามรับจอกเหล้าจากศิษย์ไปดื่มรวดเดียวหมดจอก
“นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไป๋เมาคือศิษย์คนที่ 5 ของข้า…หนิงจ้าน” เสียงประกาศกึกก้องดังไปทั่วทั้งขุนเขา ระฆังใหญ่บนหอระฆังดังกังวานไปทั่วดั่งจะแจ้งข่าวให้รับรู้กันทั่วทั้งพิภพ
เมื่อจบพิธีรับศิษย์แล้ว เทพพฤกษาก็ขอตัวกลับทันที “ข้าไปล่ะ แล้ววันหน้าข้าจะมาใหม่”
“เชิญ” เทพสงครามพูดหน้านิ่ง
เทพพฤกษาหันไปพูดกับไป๋เมาว่า “อยู่นี่เจ้าก็อย่าดื้ออย่าซนให้มากนักล่ะ”
มือเรียวนุ่มลูบหัวไป๋เมาหัวอย่างอ่อนโยน
“มาหาข้าบ่อยๆ นะท่านหนิงเฟิ่ง” ไป๋เมาบอกหน้าระรื่นอย่างกำลังปลื้มใจที่ได้เป็นศิษย์ของเทพสงคราม
“ได้” เทพพฤกษาพยักหน้า
คำเรียกขานอย่างสนิทสนมสร้างความสงสัยกับทุกคนยิ่งนักว่า…เจ้าแมวน้อยมีความสัมพันธ์อันใดกับเทพพฤกษากันแน่?
ข่าวการรับศิษย์คนใหม่ของเทพสงครามลือเลื่องไปทั่วทั้งพิภพ
เมื่อต้องมาอยู่ต่างแดนคืนแรก ไป๋เมาก็นอนไม่ค่อยหลับด้วยความตื่นเต้นดีใจ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ไป๋เมาก็เริ่มเดินสำรวจไปทั่วทั้งตำหนัก
เสียงขลุ่ยแว่วมา ร่างเล็กเดินตามเสียงไปจนถึงตำหนักเทพสงคราม
เทพสงครามกำลังเป่าขลุ่ยอยู่หน้าตำหนัก
ไป๋เมาเดินไปหยุดดูอยู่ห่างๆ
เทพสงครามรับรู้ถึงเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาก็หยุดเป่า “เข้ามาซิ”
ไป๋เมาเดินเข้าไปกุมมือคารวะอาจารย์
“นั่งซิ” เทพสงครามชี้ไปที่เบาะรองนั่งข้างโต๊ะเตี้ย
ไป๋เมาเดินเข้าไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยอย่างเคยชิน
“ทำไมยังไม่นอน” เทพสงครามถามพลางมองศิษย์คนใหม่
“นอนไม่หลับ” ไป๋เมาตอบเสียงเบา
เทพสงครามมองแล้วก็เริ่มเป่าขลุ่ย
ไป๋เมานั่งฟังอย่างเพลิดเพลิน ชวนให้คิดถึงพี่รองที่ชอบบรรเลงพิณให้น้องเล็กฟังทุกค่ำคืน เสียงขลุ่ยชวนให้ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ปรือลง
เมื่อเป่าขลุ่ยจบศิษย์คนใหม่ก็ฟุบหลับกับโต๊ะเตี้ย
เทพสงครามมองอย่างเอ็นดู
ครั้นจะปลุกให้ลุกกลับไปนอนที่ห้องก็กลัวว่าจะตื่นจนนอนไม่หลับ
เขาจึงตัดสินใจอุ้มร่างเล็กเข้าไปนอนในตำหนักแทน เขาค่อยๆ วางร่างเล็กลงบนพรมขนหมีผืนใหญ่ที่ใช้รองนั่งอ่านหนังสือ ความรู้สึกบอกชัดเมื่อได้โอบอุ้มร่างเล็กไว้ในอ้อมแขน…นางเป็นสตรี!
คงเป็นเพราะเวทมายาของญาติผู้น้องที่บิดเบือนสายตาให้เห็นว่าเป็นบุรุษ ดวงตาคมฉายแววดุดัน นางช่างกล้าส่งสตรีมาเป็นศิษย์ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าข้าไม่มีทางรับสตรีเข้าตำหนักเด็ดขาด หนิงเฟิ่งหนอ…หนิงเฟิ่ง เจ้าช่างทำกับข้าได้!
ครั้นจะส่งนางกลับก็ไม่ได้แล้วเพราะเขาประกาศรับนางเป็นศิษย์ไปแล้ว ก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย เฮ้อ…
ดวงตาคมมองร่างเล็กอย่างเอ็นดู ลุกขึ้นไปหยิบผ้าห่มมาห่มให้นาง
ย่ำรุ่ง ไป๋เมาลืมตาตื่น…ที่นี่ที่ไหน?
ดวงตางามค่อยๆ กรอกมองไปรอบๆ อย่างงงๆ แล้วสายตาก็สะดุดกับร่างหนึ่งบนเตียงด้านหนึ่งของห้อง นางค่อยๆขยับลุกขึ้นมอง…อาจารย์!
สมองนิ่งคิด…จริงซิเมื่อคืนข้านั่งฟังอาจารย์เป่าขลุ่ย นี่ข้าเผลอหลับไปหรือ!
ร่างเล็กค่อยๆลุกขึ้นก้าวย่องออกจากตำหนักอย่างแผ่วเบา
เสียงประตูปิดลง ดวงตาคมลืมตาขึ้น เขาตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงนางขยับตัวลืมตาแล้ว แต่ยังแกล้งหลับเพื่อไม่ให้นางรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
พอออกห่างจากตำหนักพอสมควร ไป๋เมาก็รีบวิ่งกลับห้องทันที พอเข้าห้องได้นางก็นั่งตำหนิตัวเอง…ข้านี้ช่างแย่จริงต้องให้อาจารย์คอยดูแล
นั่งตำหนิตัวเองไปมาแล้วก็คิดได้ว่าควรจะตอบแทนอาจารย์บ้าง…แต่เอ ข้าจะทำอะไรตอบแทนอาจารย์ดีล่ะ?
แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นวาบ! ทำอาหารให้อาจารย์กินอย่างไรล่ะ
พอคิดได้แล้วนางก็ลุกขึ้นออกจากห้องตรงไปยังห้องครัว
ยังไม่มีใครตื่น ห้องครัวจึงเงียบเชียบ นางเริ่มลงมือหุงข้าวทำกับข้าวจนแสงตะวันเริ่มจับขอบฟ้านางก็ทำกับข้าวเสร็จ จากนั้นนางก็ตักแบ่งแล้วยกไปให้อาจารย์ที่ตำหนัก
เทพสงครามยืนนิ่งอยู่หน้าตำหนัก ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาก็หันไปมอง
ไป๋เมาถือถาดอาหารเดินเข้าไป แล้วก็หยุดมองอยู่ห่างๆ
เทพสงครามกวักมือ “เข้ามาซิ”
ไป๋เมาเดินเข้าไปหา “อาจารย์ข้าทำอาหารมาให้ท่าน”
เทพสงครามพยักหน้า “อืม” แล้วก็เดินไปนั่งตรงระเบียงหน้าตำหนัก
ไป๋เมาถือถาดเข้าไปวางบนโต๊ะสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วก็ถอยห่างไปนิดหนึ่ง
“ถ้าท่านชอบก็บอกข้าได้ หรือถ้าไม่ชอบก็บอกข้าได้” นางพูดอย่างคาดหวังคำติชม
เทพสงครามตักอาหารลองชิม ไป๋เมารอลุ้นอยู่ไม่ห่าง
“อร่อย” เทพสงครามบอกสั้นๆแล้วก็กินต่อจนหมด
ไป๋เมายิ้มหน้าบาน
พออาจารย์กินเสร็จแล้วลุกออกไปนางก็รีบเก็บถาดกลับไปที่ห้องครัว
บ่าวไพร่กำลังซักถามกันให้วุ่นว่าใครมาทำอาหารเอาไว้?
“ข้าทำเองแหละ” ไป๋เมารีบบอก
บรรดาบ่าวไพร่มองตาแทบถลน “ท่านเนี่ยนะทำอาหาร?”
“อื้ม ก็ข้าน่ะซิ” ไป๋เมาพยักหน้ารับ “ข้าเอาไปให้อาจารย์กินแล้วด้วย อาจารย์บอกว่าอร่อยด้วยล่ะ”
“ข้าไม่เคยเห็นศิษย์คนไหนทำกับข้าวเลยสักครั้ง มีท่านคนแรกนี่แหละที่เข้าครัวทำกับข้าว” บ่าวมองอย่างงงๆ
“ทำไมล่ะ? ข้าไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหนเลย อยู่ที่บ้านข้าก็ทำกับข้าวบ่อยไป” ไป๋เมาบอกพลางวางถาดไว้แล้วก็เดินออกไป
หลังจากอยู่ที่ตำหนักซีฮัน ผ่านไปได้ 7 วัน บรรดาศิษย์พี่ก็เริ่มสงสัยว่าทำไมศิษย์น้องเล็กถึงไม่ยอมอาบน้ำร่วมกับพวกเขาเลยสักครั้ง
“ศิษย์พี่ใหญ่ไม่สงสัยบ้างเหรอ? เจ้าห้าไม่เคยอาบน้ำกับพวกเราเลยสักครั้ง ท่านไม่คิดว่ามันแปลกบ้างรึไง?” ศิษย์สามถาม
“ช่างเถอะๆ บางทีเจ้าห้าอาจจะอายรูปร่างตัวเองก็ได้ที่ตัวเล็กกว่าพวกเรามากนัก” ศิษย์พี่ใหญ่บอก
“คงงั้นแหละ ตัวเล็กขนาดนั้นก็คงจะอายที่อะไรๆ ก็เล็กไปหมดน่ะซิ” ศิษย์รองเสริม
“งั้นต้องพิสูจน์” ศิษย์สี่เสนอ
“ใช่ๆ ต้องพิสูจน์” ศิษย์สามเห็นด้วย
“พวกเจ้าจะทำอะไรก็ทำเถอะ ไร้สาระจริงเชียว” ศิษย์พี่ใหญ่บอกแล้วก็เดินจากไป ศิษย์รองก็รีบตามไป
ศิษย์สามกับศิษย์สี่มองหน้ากัน “ต้องพิสูจน์”
ศิษย์น้องห้าเดินมาพอดี “ต้องพิสูจน์อะไรเหรอศิษย์พี่?”
ศิษย์พี่สามกับศิษย์พี่สี่จับแขนศิษย์น้องห้าไว้คนละข้าง
“ก็พิสูจน์ว่าเจ้าเป็นอะไรถึงไม่ยอมอาบน้ำร่วมกับพวกเราเลยสักครั้งน่ะซิ” ศิษย์พี่สี่บอก
“ไปอาบน้ำด้วยกันดีกว่าเจ้าห้า” ศิษย์พี่สามพยักหน้า
ศิษย์น้องส่ายหน้าเดี๊ยะ “ไม่เอานะศิษย์พี่ อย่าแกล้งข้าแบบนี้ซิ”
“มาเร็วเจ้าห้า” ศิษย์พี่ทั้งสองรั้งแขนสุดแรง
“ไม่เอา! ข้าไม่ไป! ปล่อยข้านะศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่สี่” ศิษย์น้องร้องโวยวายลั่นตำหนักขืนตัวสุดฤทธิ์
“มาเถอะน่า แค่อาบน้ำด้วยกันแค่นี้ทำไมต้องทำท่าจะเป็นจะตายเสียให้ได้” ศิษย์พี่สามออกแรงดึงเต็มที่
ศิษย์น้องยิ่งดิ้นสะบัดสุดแรง “ไม่เอา! ข้าไม่ไป! ปล่อยข้า!”
“ทำอะไรกัน?” เสียงถามดังขึ้น
ทุกคนชะงักหันไปมอง “อาจารย์!”
“ข้าก็แค่กำลังจะไปอาบน้ำกับเจ้าห้าเท่านั้นเองขอรับ” ศิษย์สามบอก
“พวกข้าก็แค่สงสัยว่าเจ้าห้าเป็นอะไรถึงไม่ยอมอาบน้ำพร้อมพวกเราเลยสักครั้งเท่านั้นเอง” ศิษย์สี่เสริม
เทพสงครามตาดุวาว ถลันเข้าไปคว้าตัวศิษย์คนเล็กแยกออกมา พร้อมกับดันร่างเล็กไปไว้ข้างหลัง
สายตาดุดันมองศิษย์สามและสี่เขม็ง
จนคนถูกจ้องรู้สึกเหมือนกำลังถูกดาบจ่อลำคออย่างไรอย่างนั้น
“อย่าได้ทำเช่นนี้อีกเป็นอันขาด!” เสียงดุต่ำทรงอำนาจพูดออกมาเหมือนคมดาบเสียบทะลุคอผู้ฟัง
จนศิษย์ทั้งสองไม่กล้าแม้แต่จะกลืนน้ำลาย
แล้วเทพสงครามก็คว้าข้อมือศิษย์คนเล็กเดินจากไป
ศิษย์สามและสี่ยืนตัวแข็งอยู่อย่างนั้น ไม่เคยเห็นอาจารย์จะโมโหมากเช่นนี้เลยสักครั้ง
ทั้งสองมองหน้ากันพลางค่อยๆ กลืนน้ำลายลงคอ
เทพสงครามพาศิษย์คนเล็กเดินไปที่สวนซึ่งไร้ผู้คน เขาหันกลับไปมองอย่างเป็นห่วง “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าห้า?”
ไป๋เมาเงยหน้ามองอาจารย์น้ำตาคลอ “อาจารย์…อึก”
นางพยายามกลั้นน้ำตาสุดฤทธิ์
เทพสงครามตบบ่าเบาๆ ปลอบใจ “ไม่เป็นไรแล้วนะๆ”
“อึก…อึก อาจารย์…ฮือๆๆๆๆๆ” ไป๋เมาร้องไห้น้ำตาไหลพรากโผเข้ากอดอาจารย์ไว้แน่น
“ไม่เป็นไรแล้วๆ” เทพสงครามกอดพลางลูบหลังปลอบโยน
“ฮือๆๆๆๆๆ อาจารย์ๆ ฮือๆๆๆๆ”
ครู่ใหญ่กว่าศิษย์คนเล็กจะหยุดร้องไห้ อาภรณ์ชุ่มไปด้วยน้ำตา เสียงสะอื้นค่อยๆเงียบลง ไป๋เมาค่อยๆดันตัวออกจากอ้อมอก พอมองเห็นคราบน้ำตาบนอาภรณ์ของอาจารย์ก็รู้สึกผิดที่ทำให้อาภรณ์ของอาจารย์ต้องเปรอะเปื้อน “ข้าขออภัย ข้าทำให้เสื้อท่านเปื้อนหมดแล้ว”
“ไม่เป็นไร” มือใหญ่ลูบศีรษะปลอบใจ “เจ้ากลับไปพักซะเถอะ”