Chapter 52
อสูรทะเลทราย 2
ธิดาสามรีบกระโจนหลบไวอย่างยิ่ง ฝุ่นทรายคละคลุ้งจนทำให้นางไออีกครั้ง “แค่กๆ”
นางหลบพ้นยังไม่ทันไรไส้เดือนยักษ์ตัวอื่นก็พุ่งเข้ามาแล้ว ทำให้นางต้องรีบหลบอย่างไวยิ่งอีกครา พวกมันเห็นนางเป็นเหยื่ออันโอชะที่นานๆ ครั้งจะเจอเสียที ดังนั้นพวกมันจึงไล่ตามไม่ลดละ ธิดาสามวิ่งหลบไปหลบมาทำให้เหล่าไส้เดือนยักษ์พลาดเป้าหลายคราจนพวกมันโมโหแล้ว ฮึ่ม!
ธิดาสามวิ่งหลบไปหลบมา มือก็ฟาดฟันดาบเขี้ยวสิงห์ใส่พวกมันไปด้วย แต่หนังพวกมันแข็งแกร่งยิ่ง เหมือนฟันใส่หินผาไม่มีผิด แต่ดาบเขี้ยวสิงห์นั้นแม้แต่หินผายังเฉือนขาดดั่งเต้าหู้มาแล้ว ย่อมแสดงว่าหนังเจ้าตัวอัปลักษณ์พวกนี้ย่อมแข็งแกร่งกว่าหินผาแน่แท้ เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีจึงจะฆ่าพวกมันได้? จะรอให้มันอ้าปากแล้วฟันใส่ปากพวกมันก็ฉลาดยิ่งนัก พอนางฟันดาบใส่พวกมันก็หุบปากฉับ! เอาหนังแข็งๆ เข้ารับคมดาบ
นางคิดจนหัวหมุนแล้ว แต่คิดอย่างไรก็ไม่อาจฆ่ามันได้เลย เห็นทีมีเพียงวิธีเดียวคือ ล่อให้พวกมันอ้าปาก!
เมื่อคิดๆ แล้วนางก็วางแผนหลอกล่อพวกมัน ทำทีว่าวิ่งจนหมดแรงแล้ว นางแกล้งหอบแฮ่กๆ
เหล่าไส้เดือนยักษ์เห็นเหยื่ออันโอชะเหนื่อยหอบ พวกมันเหล่มองกันชั่วแวบ แล้วรีบพุ่งเข้าไส่เหยื่อชนิดว่า ใครดีใครได้!
ธิดาสามอยากก่นด่ายิ่งนักเพราะแผนการของนางนั้นคือล่อให้พวกมันอ้าปาก แต่ถ้าพวกมันพุ่งมาพร้อมๆ กันเช่นนี้ต่อให้นางฆ่าได้ตัวหนึ่ง ยังไม่ทันฆ่าตัวต่อไปนางคงถูกตัวอื่นงับแล้วกลืนลงท้องไปในคำเดียวแน่แท้
บัดซบ!
ปกติแล้วนางไม่ค่อยด่าหรอกนะ แต่สถานการณ์เช่นนี้ทำนางเหลืออดจริงๆ
“เจ้าไส้เดือนพวกนี้ช่างทนทายาดเสียจริง!” นางบ่นแล้วก็วิ่งหลบไปอีกครั้ง
ทำให้ฝูงไส้เดือนที่พุ่งเข้าใส่ พลาดเป้าอีกครา พวกมันพุ่งชนกันเสียงดังโครมคราม
เสียงนี้ดังไปไกล ดังไปจนถึงค่ายทหารมาร
“หือ?” เหล่าทหารมารหูผึ่งขึ้นมาทันทีทันใด
“เกิดอะไรขึ้น?” ทหารมารคนหนึ่งถามลอยๆ ขึ้นมา ชะเง้อมองออกไปในความมืดมิดเบื้องนอก
ทหารอีกคนส่ายหน้า
“หรือว่าจะมีใครหลงอยู่ข้างนอก กลับมาไม่ทัน!” ทหารคนหนึ่งคาดเดา
ทำให้ทหารคนอื่นๆ เบิกตาโต ครู่ใหญ่พวกเขาก็ทำหน้าคล้ายจะไว้อาลัยให้คนโชคร้ายผู้นั้น
“เกิดอะไรขึ้น?” เสียงถามดังขึ้นเบื้องหลัง
พวกทหารหันไปมอง ก็เห็นจอมมารเดินมา
“ท่านจอมมาร”
“เกิดอะไรขึ้น?” จอมมารถามอีกครั้ง
ทหารยังไม่ทันตอบ ขุนพลเดินออกมาดูก็ตอบแทนพวกทหารว่า “คงมีใครกลับมาไม่ทันกระมังพะย่ะค่ะ”
จอมมารหันไปมองขุนพลครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองทิศทางที่ได้ยินเสียงแว่วมา
“ไม่ถูกซิ?” รองขุนพลพูดขึ้นมา
ทุกคนหันไปมองรองขุนพลเป็นตาเดียว
รองขุนพลจึงพูดว่า “ข้าตรวจแล้วเมื่อหัวค่ำ ทุกคนกลับมากันหมดแล้ว พวกเราล้วนอยู่กันครบ แล้วใครกันที่อยู่ด้านนอกนั่น?”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนคิดตาม เช่นนั้นเป็นใครที่อยู่ด้านนอก?
ทุกคนสงสัยใคร่รู้ แต่ถ้าจะให้พวกเขาออกไปดูให้หายสงสัยพวกเขาก็ไม่ไปหรอกนะ ก็อสูรทะเลทรายได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในทะเลทรายแห่งนี้ พวกมันมีมากนับล้านๆ ตัว กลางวันอาศัยอยู่ใต้ผืนทราย กลางคืนจึงจะออกล่าเหยื่อ หากไม่ใช่เพราะว่ารอบค่ายกางเขตเวทป้องกันพวกมันไว้ คงถูกพวกมันบุกเข้ามาจับกินไปแล้ว
ซึ่งเวทนี้ได้มาตอนที่จอมมารรุ่นก่อนๆ ได้ทำข้อตกลงกับเจ้าเผ่าอสูรทะเลทราย ทำให้ทหารสามารถตั้งค่ายในเขตทะเลทรายอันกว้างใหญ่แห่งนี้ได้ หากไม่ใช่เพราะเวทป้องกันนี้ลำพังแค่จุดคบเพลิงไหนเลยจะป้องกันอสูรทะเลทรายได้เล่า คบเพลิงก็เป็นแค่สิ่งที่เอาไว้ส่องแสงรอบค่ายเท่านั้น อีกทั้งทำให้พวกอสูรทะเลทรายรู้ว่าตรงจุดนี้มีค่ายทหารอยู่ พวกมันจะได้ไม่พุ่งเข้ามาชนเวทป้องกัน
“ถ้าพวกเราอยู่กันครบ แล้วเป็นผู้ใดที่อยู่ที่นั่น?” จอมมารถามขึ้นมา
รองขุนพลส่ายหน้าอย่างจนปัญญาจะตอบได้
คนอื่นๆ ก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาเช่นกัน
จอมมารจึงก้าวเท้าไป
รองขุนพลรีบห้าม “อย่าพะย่ะค่ะ”
จอมมารชะงักเท้า หันไปมองรองขุนพล
“พวกอสูรทะเลทรายมีมากนัก นับล้านได้กระมังพะย่ะค่ะ ท่านออกไปก็จะถูกพวกมันไล่ล่าจนแม้แต่เวลาจะหายใจหายคอยังไม่มี” ขุนพลกล่าวแทนรองขุนพล
รองขุนพลรีบพยักหน้า “ใช่ๆ พะย่ะค่ะ”
“ใช่พะย่ะค่ะ อย่าออกไปเลยพะย่ะค่ะ ข้าก็เคยเกือบจะถูกพวกมันกินไปแล้วครั้งหนึ่ง ดีที่วิ่งเข้าค่ายได้ทัน ไม่เช่นนั้นข้าก็คงถูกพวกมันกินไปแล้วพะย่ะค่ะ” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้นมา สีหน้าสยดสยองยิ่ง เขายังจำเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นได้ดี จำได้แม่นยำจนเรียกว่าจำฝังใจเลยทีเดียว
“รอให้แดดออกก่อนค่อยเสด็จไปดูเถอะพะย่ะค่ะ” ขุนพลบอก
จอมมารจึงยอมล้มเลิกความตั้งใจที่จะออกไปดูให้หายสงสัย
ธิดาสามวิ่งหลบไปหลบมา นางเริ่มจะเหนื่อยจริงๆ แล้ว
จังหวะหนึ่งที่กระโจนลอยตัวขึ้น นางมองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง เมื่อมองรอบแล้วนางยิ่งขนลุกชันอย่างขยะแขยงยิ่ง ก็พวกไส้เดือนยักษ์เหล่านี้ มันออกมายั้วเยี้ยเต็มไปหมด มองไปทางใดก็เห็นแต่พวกมันดำทะมึนเต็มพรึดไปหมด
ธิดาสามคิดจนหัวหมุนแล้ว จะทำอย่างไรดี? ขืนยังเป็นเช่นนี้ต่อไปนางได้ถูกพวกมันกลืนลงท้องแน่
นี่เรียกว่า ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ ใช่ไหม? นางกลัวนางเกลียดกิ้งกือ เจ้าตัวพวกนี้ก็มีรูปร่างคล้ายกิ้งกือยิ่งนัก ขนนางลุกชันแล้วลุกชันอีก
แต่ไม่ว่าจะวิ่งหลบไปทางใดก็เจอพวกมันล้อมรอบไปหมด ล้อมจนแทบไม่เหลือที่ว่างให้นางยืนแล้ว
เมื่อนางกระโดดหลบพวกมันอีกครั้ง ที่ว่างน้อยนิดที่เดียวที่เหลืออยู่ก็ถูกลำตัวใหญ่โตของพวกมันยึดครองไปแล้ว
เมื่อไร้ที่ให้ยืน นางจึงลอยลงไปยืนบนลำตัวของพวกมันตัวหนึ่ง
“อี๊—”
ความรู้สึกใต้ฝ่าเท่าที่สัมผัสผิวหนังของมันช่างน่าขยะแขยงเป็นที่สุด ทำนางขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
ยังไม่ทันจะคิดอะไร พวกมันก็พุ่งเข้ามาแล้ว นางจึงต้องกระโดดหลบอีกครั้ง
โคร้ม!
เมื่อนางหลบ พวกไส้เดือนจึงชนกันเองอีกครา
พวกไส้เดือนชนกันเอง ทำให้พวกมันโมโหแล้วกัดกันเอง พวกมันส่งเสียงกี๊ดๆ ใส่กันแล้วพุ่งกัดกันไปกัดกันมา
ธิดาสามไม่ทันมองพวกมันดีๆ ก็ต้องรีบกระโจนหลบอีกครั้งเมื่อไส้เดือนตัวอื่นๆ พุ่งมาหานาง นางฟันดาบใส่พวกมันทีหนึ่ง ฟิ้ว—
เคร้ง! ปราณดาบกระทบผิวหนังแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อาจฟันให้ขาดได้
นางกระโจนหลบไปเหยียบบนศีรษะไส้เดือนอีกตัว
ไส้เดือนตัวนั้นเหลือบมองขึ้นแล้วสะบัดศีรษะขึ้นหมายจะให้เหยื่อตัวจ้อยกระเด็นลอยขึ้นแล้วตกลงใส่ปากมัน
ธิดาสามจึงกระโจนขึ้นไป พุ่งไปหาไส้เดือนอีกตัว
ไส้เดือนตัวนั้นเห็นเหยื่อตัวจ้อยพุ่งมา มันจึงยืดคอรอท่า แต่พอเห็นเหยื่อตัวจ้อยสะบัดดาบฟันมา ฟิ้ว—
มันจึงรีบหุบปาก ก้มศีรษะลงนิดใช้ศีรษะรับปราณดาบ เคร้ง!
ธิดาสามกระโจนเลยศีรษะมันไป ลอยลงบนลำตัวมัน นางยังไม่ทันได้หยุดพักหายใจก็ต้องกระโจนหนีอีกแล้ว
ไส้เดือนยักษ์ตัวอื่นๆ พุ่งเข้าใส่อย่างไวยิ่ง พวกมันมีมากมายนับไม่ถ้วน ทำให้พวกมันพุ่งชนกันเองเมื่อเหยื่อตัวจ้อยกระโจนหลบไป
พวกมันโมโหยิ่งที่เหยื่อคราวนี้ช่างว่องไวนัก! ทำให้พวกมันชูส่วนหัวขึ้นมองหน้ามองตากันเอง พวกมันส่งเสียงกี๊ดๆ คล้ายจะพูดคุยกัน เสียงของพวกมันดังกังวานก้องออกไป ดังลอยไปจนถึงค่ายทหารมาร
ทำให้ทหารมารหูผึ่ง “หือ?”
ขุนพลกับรองขุนพลมองหน้ากันเอง
“ข้าไม่เคยได้ยินเสียงพวกมันร้องเช่นนี้เลยสักครั้ง” ขุนพลพูดอย่างสงสัย
“นั่นซิ ข้าก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน” รองขุนพลพยักเพยิด
“เหตุใดพวกมันจึงส่งเสียงเช่นนั้น?” จอมมารถามขึ้นมา เขาหันไปมองขุนพล
ขุนพลส่ายหน้า “ไม่ทราบพะย่ะค่ะ”
“ข้าก็ไม่ทราบพะย่ะค่ะ” รองขุนพลส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“นับตั้งแต่ข้ามาอยู่ที่นี่เป็นร้อยปีแล้วก็ยังไม่เคยได้ยินเสียงพวกมันร้องเช่นนี้เลยพะย่ะค่ะ” ขุนพลพูดขึ้นมา
จอมมารมองทั้งสองแล้วหันไปมองความมืดมิดเบื้องนอก เขาอยากออกไปดูให้หายสงสัยนัก แต่ติดขัดที่ว่าอสูรทะเลทรายมีมากเกินไป หากออกไป เขาคงถูกพวกมันไล่ล่าจนได้เหนื่อยตายก่อน พวกมันหนังหนา แข็งแกร่งยิ่ง ฟังแทงไม่เข้า อีกทั้งพวกมันก็ว่องไวยิ่ง เจอพวกมันตัวสองตัวยังพอหลบหลีกได้ทัน แต่ถ้าเจอพวกมันเป็นฝูงๆ ก็ยากที่จะหลบหลีกพ้น ได้ถูกพวกมันไล่ล่าจนเหนื่อยตาย สุดท้ายก็จะตกเป็นอาหารของพวกมันจนได้
เขาไม่รู้ว่าเป็นทหารคนไหนที่ยังหลงอยู่ที่นั่น แต่รองแม่ทัพก็บอกแล้วว่าคนอยู่ครบ ในเมื่อเป็นความโชคร้ายของคนๆ นั้นเขาก็ไม่อาจช่วยได้จริงๆ
เขาเคยเจอฝูงอสูรทะเลทรายครั้งหนึ่งเมื่อตอนยังเด็ก เขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้วดีที่เสด็จพ่อตามมาช่วยไว้ได้ทัน ทำให้เขารอดชีวิตมาได้
ตอนนั้นเป็นเขาถูกหลอกมากลางทะเลทรายแห่งนี้ ซึ่งครั้งนั้นเป็นแผนการของพระสนม มารดาของน้องรอง ครั้นเสด็จพ่อสืบสาวเรื่องราวก็ไม่อาจสืบไปถึงตัวพระสนมได้เพราะนางกำนัลกับทหารที่หลอกเขามาก็ถูกฆ่าปิดปากไปเสียก่อน อีกทั้งสองคนนั้นก็เป็นแค่นางกำนัลกับทหารปลายแถว หาได้มีความใกล้ชิดกับพระสนมไม่ เรื่องราวคราวนั้นจึงไม่อาจหาตัวผู้บงการออกมาได้
เมื่อคิดถึงเรื่องในคราวนั้น จอมมารก็กำมือแน่น เป็นเพราะเรื่องราวในคราวนั้นทำให้เขากลัวไส้เดือนจนฝังใจ แต่เขาก็ปิดบังเอาไว้ ยามเห็นไส้เดือนทีไรก็มักจะทำให้เขาระลึกถึงเหตุการณ์น่ากลัวคราวนั้นอยู่ร่ำไป
“เหมือนพวกมันกำลังโกรธ” ขุนพลคาดเดาจากเสียงที่ได้ยิน
“เป็นใครกัน? กล้ายุแหย่พวกมัน” รองขุนพลพูดอย่างอยากรู้ยิ่ง แต่ถ้าจะให้เขาออกไปดู เขาก็ไม่กล้าออกไปหรอกนะ บรื๊อ!
พวกเขาได้แต่ยืนฟังเสียงอยู่อย่างนั้น
อสูรทะเลทรายส่งเสียงร้องแล้วหันไปมองเหยื่อตัวจ้อยเป็นตาเดียวทำให้ธิดาสามยิ่งรู้สึกขนลุกเกรียวยิ่งกว่าเดิม
แล้วพวกมันก็พุ่งโจมตีพร้อมกัน ธิดาสามอยากจะกระโจนหลบแต่มองทางใดก็ไม่เห็นช่องทางพอให้หนีได้เลย
หรือว่าข้าจะต้องมาตายอยู่ตรงนี้?
นางมองไปรอบๆ หาทางหนี แต่พวกมันร่วมมือกันพุ่งเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงยิ่ง ราวกับทหารที่ถูกฝึกมาให้ล้อมศัตรูอย่างไรอย่างนั้น ไร้ช่องโหว่ให้นางหนีไปได้แล้ว ต่อให้แมลงวันสักตัวยังยากที่จะบินหนีได้เลย
ขณะที่นางกำลังสิ้นหวัง นางขยับตัว พลัน! ขวดหยกก็หลุดออกมาจากกระเป๋ากระโปรง ขวดหยกตกลงกระแทกบนลำตัวอสูรทะเลทรายที่อยู่ใต้เท้า
เพล้ง! ขวดหยกแตก ทำให้น้ำที่อยู่ในขวดกระจายออกมา ทันใดนั้นเองอสูรทะเลทรายที่อยู่ใต้เท้าพลันกรีดร้องลั่น “กี๊ดดดดดด—”
ร่างใหญ่โตพลิกม้วนทันใด
ธิดาสามกระโดดสูงเพียงนิด ไม่อาจกระโดดสูงได้มากกว่านี้ไม่เช่นนั้นนางจะถูกอสูรทะเลทรายตัวอื่นงับเข้าปากไป นางกระโดดอยู่บนตัวอสูรทะเลทรายตัวนั้น กระโดดไปกระโดดมาราวกับเป็นหมัดตัวหนึ่งบนตัวมัน
อสูรทะเลทรายตัวนั้นกรีดร้องดิ้นปัดๆ ไปมาแล้วรีบมุดทรายลงไปทันที
ธิดาสามเกือบจะถูกมันลากลงไปในผืนทรายด้วยแล้ว โชคดีที่นางหลบได้ทัน อาศัยจังหวะที่มันกำลังมุดตัวลงไปจนฝุ่นทรายคละคลุ้งทำให้อสูรทะเลทรายตัวอื่นๆ ถูกฝุ่นทรายบังตา
ธิดาสามจึงฉวยจังหวะนั้นกระโจนพุ่งสูงขึ้นไปยืนบนศีรษะอสูรทะเลทรายตัวหนึ่งที่ชูคอทึ่มทื่ออยู่อย่างมึนงง
ดูเหมือนเจ้าไส้เดือนยักษ์นี่จะกลัวน้ำ? ธิดาสามคิดๆ แล้วเอาขวดหยกอีกใบออกมาจากถุงผ้า
นางลองเอาน้ำเทลงใส่ศีรษะใหญ่โตใต้ฝ่าเท้า ซ่า!
เมื่อน้ำถูกศีรษะใหญ่โต อสูรทะเลทรายใต้ฝ่าเท้าก็กรีดร้องลั่น “กี๊ดดดดดด—”
อสูรทะเลทรายกรีดร้องแล้วดิ้นปัดๆ จากนั้นก็รีบมุดลงใต้ทรายทันที
ธิดาสามรีบกระโจนไปหาอสูรทะเลทรายตัวอื่นก่อนที่ตัวนางจะถูกเจ้าอสูรทะเลทรายตัวนั้นลากลงไปในผืนทรายด้วย
“อ่อ ที่แท้มันก็กลัวน้ำนี่เอง” ธิดาสามมองพวกมัน
อสูรทะเลทรายที่ถูกเหยื่อตัวจ้อยเหยียบอยู่บนศีรษะ มันเหลือบมองเหยื่อ
ธิดาสามก้มลงมองมัน ทำท่าจะเทน้ำใส่ศีรษะมัน ทำให้อสูรทะเลทรายตัวนั้นตาเหลือกหวาดผวา มันรีบมุดทรายหนีทันที
ก่อนหนีมันส่งเสียงร้องกี๊ดๆ คล้ายกับจะบอกพวกพ้องว่าเหยื่อตัวจ้อยมีน้ำที่พวกมันหวาดกลัว รีบหนีเร็ว!
ธิดาสามรีบลอยตัวสูงขึ้น คราวนี้นางเห็นเหล่าอสูรทะเลทรายมุดทรายลงไปจนฝุ่นทรายคละคลุ้ง ฝุ่นตลบจนทำให้นางไอแคกๆ
หลายอึดใจต่อมา ผืนทรายที่เคยมีอสูรทะเลทรายยั้วเยี้ยก็ไม่เหลืออสูรทะเลทรายให้เห็นสักตัว ฝุ่นทรายยังคงคละคลุ้งไปทั่ว