Chapter 56
หลอกกินเต้าหู้
ธิดาสามพยุงจอมมารเดินไป ดาบเขี้ยวสิงห์ก็ลอยตามหลังไป
อสูรสุนัขมองแล้วเดินตามไป
ธิดาสามหันไปมองอสูรสุนัขทีหนึ่ง นางเห็นมันไม่มีท่าทางจะจู่โจมจึงไม่สนใจมัน แล้วนางก็สัมผัสกับเลือดบนอาภรณ์ของจอมมาร นางมองดูเลือดที่ยังคงไหลออกมา นางจึงบอกเขาว่า “เจ้านั่งลงก่อน ข้าจะทำแผลให้”
“ได้” จอมมารพยักหน้าแล้วยิ้มให้ “ขอบคุณเจ้ามาก”
ธิดาสามไม่พูดอะไร นางลงมือทำแผลให้เขา
จอมมารคิดถึงครั้งแรกที่ได้เจอกัน ไป๋เมาก็ช่วยทำแผลให้เขาเช่นนี้ ตอนนี้คล้ายช่วงเวลานั้นหวนคืนมาอีกครั้ง ใบหน้างดงามอยู่ใกล้แค่เอื้อม ใกล้จนเขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากคนตรงหน้า กลิ่นนี้เขาจำได้ไม่เคยลืม เป็นกลิ่นเดียวกับที่ติดอยู่บนเสื้อคลุมตัวนอกสีขาวที่เขายังเก็บไว้อย่างดี แม้แต่กลิ่นก็ยังเป็นกลิ่นเดียวกัน หน้าตาก็เหมือนกัน ท่าทางก็เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว อีกทั้งยังดาบประจำตัวเล่มนั้นอีก คนผู้นี้คือไป๋เมาจริงๆ
“ไป๋เมา ที่แท้แล้วเจ้าเป็นสตรีซินะ” จอมมารพูดลอยๆ
ธิดาสามเหลือบมอบจอมมารแล้วก้มมองตัวเอง ตอนนี้นางเป็นสตรีไม่ได้มีเวทมายาของเทพพฤกษาพรางรูปลักษณ์เอาไว้ ต่อให้มองอย่างไรก็ไม่อาจมองว่านางเป็นบุรุษได้หรอก นางเงยหน้าขึ้นไม่พูดอะไร จะปฏิเสธว่าไม่ใช่สตรีก็ยากยิ่งนัก จะปฏิเสธว่าไม่ใช่ไป๋เมาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ความทรงจำบางส่วนนั้นฟื้นคืนมาแล้ว นางรู้ว่าตัวเองก็คือไป๋เมา แต่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมนางต้องปลอมเป็นบุรุษ อีกทั้งยังเปลี่ยนชื่อแซ่ หากยังไม่รู้กระจ่างแจ้งก็ควรเงียบไว้ดีกว่า
“ไป๋เมา เจ้ารู้หรือไม่ข้าเสียใจยิ่งนัก ตอนนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจจะสู้กับเจ้าหรอกนะ ข้าเสียสติไปชั่วครู่เพราะเจ้าทำลายดวงจิตท่านพ่อของข้า ข้าโกรธเจ้า ข้าเกลียดเจ้า แต่จริงๆ แล้วข้าโกรธตัวเองมากกว่าที่ไม่อาจฆ่าท่านพ่อได้ ท่านพ่ออย่างไรก็คือท่านพ่อ ข้าผู้เป็นลูกจะลงมือเข่นฆ่าพ่อตัวเองได้อย่างไร ข้าเกลียดตัวเองที่ไม่อาจช่วยท่านพ่อได้” จอมมารพูดอย่างเศร้าเสียใจ
ธิดาสามทำแผลเสร็จแล้วก็ก้าวถอยไป นางเห็นอสูรสุนัขยืนมองอยู่ห่างๆ นางจึงหันไปพูดกับมันว่า “เจ้าจะไปไหนก็ไปเสีย หากยังคอยตามข้าเพื่อหาโอกาสลอบทำร้ายข้า ข้าก็จะไม่ละเว้นชีวิตเจ้าแล้ว”
อสูรสุนัขรีบหมอบลงกระดิกหางอย่างเป็นมิตรยิ่ง มันพยายามแสดงท่าทางว่ามันจะไม่ทำร้ายนางเด็ดขาด
ธิดาสามย่นจมูกใส่มัน แค่นเสียงเยาะหยัน “หึ! แผนการของเจ้าหลอกได้แต่เด็กน้อยเท่านั้นแหละ”
ข้าไม่ได้หลอกนะ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าแล้ว จริงๆ นะ อสูรสุนัขส่งเสียงหงิงๆ กระดิกหางส่ายไปมาแสดงความเป็นมิตรออกไป
ธิดาสามมองมันพักหนึ่งแล้วขี้เกียจจะสนใจมันนางจึงหันไปพูดกับจอมมารว่า “เดินทางเถอะ ข้าอยากไปถึงแดนมนุษย์เร็วๆ”
“อืม” จอมมารพยักหน้าแล้วลุกขึ้น
ธิดาสามจึงเดินนำหน้าไป
จอมมารเดินตามไป เขาเดินช้าๆ อย่างเสแสร้งว่ายังเดินไม่ค่อยไหวเพื่อถ่วงเวลาให้ได้อยู่กับไป๋เมามากที่สุด
ธิดาสามหันไปมองแว๊บหนึ่ง หากพลังนางฟื้นคืนมาเต็มร้อยนางคงใช้พลังพาเขาเหินลอยไปแล้ว แต่ตอนนี้พลังยังไม่ฟื้นคืนมามากนัก อีกทั้งนางก็ไม่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ดังนั้นเก็บออมพลังเทพเอาไว้ใช้ยามจำเป็นดีกว่า อีกทั้งอสูรสุนัขตัวนั้นก็ตามหลังมาอีก ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะลอบจู่โจมตอนไหน ดังนั้นจึงต้องระวังตัวให้มากๆ หน่อย
“ไป๋เมา ตอนนั้นข้าเห็นเจ้าตายไปแล้ว เหตุใดเจ้าจึงยังมีชีวิตอยู่?” จอมมารชวนคุย
“หากตายไปแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?” ธิดาสามย้อนกลับ
“นั่นซิ ข้าก็ถามอะไรโง่เง่าเสียจริง” จอมมารพยักเพยิดหน้าแล้วถามอีก “เช่นนั้น ที่แท้แล้วเจ้าเป็นสตรีหรือบุรุษกันแน่?”
“รูปลักษณ์เช่นนี้ เจ้ามองว่าเป็นบุรุษหรือไร” ธิดาสามย้อน
“ก็ตอนนั้นเจ้าเป็นบุรุษ ตอนนี้เจ้าเป็นสตรี ข้าย่อมสับสนซิ” จอมมารพูดอย่างจริงใจมาก เขาสับสนจริงๆ นะ ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วไป๋เมาเป็นบุรุษหรือสตรี หากว่าบุรุษคือเพศที่แท้จริง เช่นนั้นตอนนี้รูปลักษณ์สตรีก็คือปลอม หากว่าสตรีคือเพศที่แท้จริง เช่นนั้นตอนนั้นรูปลักษณ์บุรุษก็คือปลอม อันไหนจริงอันไหนปลอมแน่นะ?
“ข้าเป็นสตรีตั้งแต่กำเนิด” ธิดาสามบอกเพราะเห็นแก่ที่เขาเป็นสหาย
จอมมารเบิกตาโต เขากวาดตามองนางขึ้นๆ ลงๆ ลงๆ ขึ้นๆ สองรอบ ความปิติยินดีบางอย่างพลุ้งพรั่งในหัวใจโดยไม่รู้ตัว รู้แต่ว่าหากไป๋เมาเป็นบุรุษ เขาก็อยากให้ไป๋เมาอยู่เคียงข้างเขา แต่บัดนี้เมื่อรู้ว่าที่แท้แล้วไป๋เมาคือสตรี เขายิ่งอยากให้นางอยู่ข้างกายเขาในฐานะฮูหยิน
ฮูหยิน! เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เขาตกใจมาก นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าตัวเองคิดอยากให้ไป๋เมาเป็นฮูหยินของเขา เขาหน้าแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ธิดาสามเหลือบมองเห็นเขาหน้าแดงก็หยุดเท้า นางหันตัวไปถามอย่างเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไร? มีไข้รึ?”
นางถามพลางเดินไปหาเขา ยื่นมือไปแตะหน้าผากเขา
จอมมารตกตะลึง หน้ายิ่งแดงก่ำจนรู้สึกได้เลยว่าร้อนหน้ายิ่งนัก
“เจ้ามีไข้แล้ว!” ธิดาสามลดมือลงแล้วเลื่อนมือไปจับชีพจรทันที
นางรู้สึกว่าชีพจรเขาเต้นเร็วมาก
หัวใจจอมมารยิ่งเต้นเร็วมากยิ่งขึ้น
“เจ้าเดินไหวหรือไม่?” ธิดาสามถาม
จอมมารได้ทีจึงแกล้งทำท่าฝืนเดิน “พอไหว”
พูดแล้วก็เดินก้าวไป ตัวเซเล็กน้อย
ธิดาสามพยุงแขนเขาไว้ “หากไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน”
นางหันไปมองหาสถานที่ที่พอจะหยุดพักได้อย่างปลอดภัย
จอมมารแอบยิ้มอยู่ในใจ สีหน้าก็แสร้งทำเป็นฝืนว่ายังไหว “ข้าเดินไหว พวกเราเดินต่อเถอะ”
“เจ้าอย่าทำอวดเก่งไป สภาพเจ้าตอนนี้ขนาดเดินยังเซแล้ว” ธิดาสามดุเขา
จอมมารแกล้งทำหน้าเจื่อนจ๋อย
ธิดาสามหันไปมองหาสถานที่ปลอดภัยต่อ นางมองไปเรื่อยๆ
จอมมารก็มองนางไม่ละสายตา
จนกระทั่งธิดาสามเห็นโพรงใต้ต้นไม้ใหญ่ นางจึงรีบเดินไปดูโพรงนั้นทันที
จอมมารมองตามนางไป
ธิดาสามสำรวจโพรงแล้วเห็นว่าพอจะใช้เป็นที่พักได้นางจึงหันไปบอกจอมมารว่า “พวกเราพักตรงนี้เถอะ รอจนกว่าอาการเจ้าจะดีขึ้นแล้วค่อยเดินทางเถอะ”
“อืม” จอมมารพยักหน้า เขาก้าวเดินเซไปเซมาเดินไปหานาง
ธิดาสามจึงรีบเดินไปพยุงแขนเขา “เจ้าค่อยๆ เดิน”
“ขอบคุณเจ้ามาก” จอมมารบอกแล้วแกล้งเซไปหานาง “โอ๊ะ!”
ธิดาสามช่วยพยุงเขา จอมมารก็ฉวยโอกาสนี้โอบเอวนาง
ธิดาสามไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมบุรุษจึงถูกเขาหลอกกินเต้าหู้อย่างแนบเนียน นางช่วยพยุงเขาเดินไปจนถึงโพรงใต้ต้นไม้ ประคองเขานั่งลงในโพรง “เจ้าค่อยๆ นั่ง”
“อืม” จอมมารนั่งลงไป ปล่อยมือจากนางอย่างเสียดายยิ่ง แต่หากยังโอบเอวนางอยู่นางก็จะรู้ทันทีว่าเขาจงใจกินเต้าหู้นางแล้ว
ธิดาสามถอยไป 2 ก้าว มองเขาอย่างหนักใจ “ข้ามีแต่โอสถเทพ ไม่มีโอสถมาร จะทำอย่างไรดี?”
“ข้านอนพักสักหน่อยคงดีขึ้นกระมัง” จอมมารบอกแล้วเอนตัวนอนลงไป
“อืม” ธิดาสามพยักหน้า นางถอยไปนั่งเฝ้า ทำให้ดาบเขี้ยวสิงห์หายวับไป นางมองออกไปนอกโพรงอย่างระมัดระวังตัว
อสูรสุนัขเดินตามมาถึงหน้าโพรง มันมองๆ แล้วนั่งลงเฝ้าอยู่หน้าโพรง หันหน้าออกไปคล้ายกับกำลังเฝ้ายามให้เทพแมวขาวผู้นั้น
ธิดาสามมองอสูรสุนัขอย่างไม่ไว้ใจ แต่นางก็คิดวิธีรับมือมันไว้แล้ว หากมันลอบฉวยโอกาสจู่โจมนางก็จะฆ่ามันเสียเลย
“ไป๋เมา ข้าขอจับมือเจ้าได้หรือไม่? ข้า ข้าคือ…ข้ากลัวว่าข้าจะหลับแล้วฝันร้ายอีก” จอมมารหาข้ออ้างขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ธิดาสามมองเขานิ่งเฉย
“คือข้ามักจะฝันร้ายเสมอ ฝันว่าถูกสนมรองตามฆ่าน่ะ” จอมมารโกหกคำโตออกไป ทำสีหน้าหวาดผวาปนเขินอายที่ต้องบอกความลับน่าอายเช่นนี้ออกมา
ธิดาสามเห็นท่าทางเขาน่าสงสารมากจึงลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆ เขาแล้วยื่นมือไปจับมือเขาไว้ “เจ้าหลับเถอะ หากเจ้าฝันร้าย ข้าจะตีฝันร้ายนั้นให้เจ้าเอง”
“ขอบคุณเจ้ามาก” จอมมารยิ้มแล้วจับมือน้อยกุมไว้แน่น เขาหลับตาลง
ธิดาสามมองๆ แล้วหันไปมองนอกโพรง
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจจะรู้ได้ มองไปมองมาสักพักดวงตาคู่งามก็ปรือลงๆ จนในที่สุดนางก็นั่งหลับสัปหงก
จอมมารลืมตาขึ้นมอง เขามองนางไม่ละสายตา ในใจเกิดความอิ่มเอมขึ้นมา เขาค่อยๆ ใช้พลังบางเบาอย่างยิ่งโอบนางให้นอนลงข้างกายเขา
ธิดาสามซึ่งเหนื่อยล้าเป็นทุนเดิม นางจึงไม่รู้ตัวว่าตัวเองเผลอหลับสนิทอย่างยิ่ง ตัวนางนอนลงไปนางก็ขยับตัวหาท่านอนที่สบายที่สุด
จอมมารมองนางนอนซุกอยู่ข้างกายเขาอย่างสุขใจยิ่ง เขาอยากจะกอดนางแต่ก็กลัวว่านางจะตื่นขึ้นมาจึงได้แต่มองนาง มือกุมมือนางเอาไว้ เขาปล่อยพลังมารออกไปสร้างเป็นกำแพงป้องกันภัย เมื่อมีกำแพงนี้แล้วเขาก็นอนได้อย่างสบายใจยิ่ง หากเขาเผลอหลับไปก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีอันตรายใดๆ พุ่งมาได้ หากมีก็ย่อมปะทะกำแพงก่อนทำให้เขารู้ตัวทันที
อสูรสุนัขนั่งเฝ้าไม่ยอมไปไหน
ธิดาสามลืมตาตื่น นางพบว่าตัวเองนอนลงไปเมื่อไหร่ไม่รู้ นางจึงรีบลุกขึ้นนั่ง มือข้างหนึ่งยังถูกจอมมารกุมไว้แน่น นางขยับๆ มือดึงออก แต่พอขยับนิ้ว มือก็ยิ่งถูกจับกุมแน่นขึ้น นางมองจอมมาร เห็นเขาหลับนิ่งเงียบจึงได้แต่ปล่อยให้มือถูกกุมเอาไว้อย่างนั้นก่อน นางมองออกไปนอกโพรงเห็นอสูรสุนัขยังคงนั่งอยู่หน้าโพรงเช่นเดิม นางจึงดึงสายตากลับมา
ขณะที่ธิดาสามลืมตาตื่น จอมมารก็ลอบสลายกำแพงป้องกันไปแล้ว จากนั้นเขาก็แสร้งนอนนิ่งเงียบอย่างยิ่ง งิ้วบทนี้เมื่อเล่นแล้วเขาก็ต้องเล่นให้ถึงที่สุดไม่อาจพลาดพลั้งให้นางจับได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นนางจะหนีเขาไปทันที
ธิดาสามนั่งมองไปเรื่อยๆ แล้วนางก็วกกลับมามองจอมมาร นางยื่นอีกมือไปจับชีพจร พบว่าชีพจรของเขาปกติดี หน้าก็ไม่แดงแล้ว เนื้อตัวก็อุ่นปกติ นางดึงมือกลับ แล้วขยับมืออีกข้างให้หลุดจากการเกาะกุม
จอมมารจึงลืมตาตื่น เขามองไปรอบๆ ก่อนแล้วค่อยวกไปมองนาง
“ปล่อยได้แล้วกระมัง” ธิดาสามมองเขาแล้วหลิ่วตามองมือที่ยังถูกกุมเอาไว้
จอมมารมองตามสายตานางแล้วยอมปล่อยมือ ถึงแม้ว่าในใจจะอยากจับเอาไว้ตลอดเวลาก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่อยากให้นางรำคาญแล้วหนีไปหรอกนะ แอบกินเต้าหู้นางทีละนิดทีละน้อยเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เขาเชื่อว่านางต้องใจอ่อนเข้าสักวันแน่ ฮี่ๆๆๆ
ธิดาสามดึงมือกลับแล้วลุกขึ้นทันที นางเดินออกไปนอกโพรง
จอมมารรีบลุกตามไป
อสูรสุนัขเห็นเทพแมวขาวเดินผ่านมันไป มันจึงรีบลุกขึ้นเดินตามนางไปทันที
ธิดาสามมองหนึ่งอสูรหนึ่งมารที่เดินตามอยู่ด้านหลังแวบหนึ่งแล้วหันหน้ากลับไปมองทางเบื้องหน้า นางมองหาผลไม้ไปด้วย
ในถุงผ้ามีผลไม้เหลืออีกมาก แต่นางก็อยากจะเก็บไว้กินในยามจำเป็น อีกทั้งผืนป่าแห่งนี้ก็ดูชุ่มชื้นดี น่าจะมีไม้ผลอยู่บ้าง
เดินมองหาไปสักพัก นางก็เจอต้นท้อมีลูกสีส้มอมเหลืองเต็มต้น นางยื่นมือไปเด็ดลูกท้อมาลูกหนึ่ง ใช้เข็มเงินทดสอบพิษ นางดึงเข็มออกมา เข็มยังคงเป็นสีเงินปกติดี นางจึงล้างลูกท้อแล้วกัดไปคำหนึ่ง
“อี๋” นางหน้าเบ้เหยเกเมื่อรับรู้รสชาติขมปี๋ นางถ่มเนื้อท้อในปากออกทันที “ถุยๆ”
แล้วรีบยกขวดน้ำขึ้นดื่มล้างปาก
จอมมารเดินมายื่นผลไม้เชื่อมให้นางชิ้นหนึ่ง “กินนี่ซิ”
ธิดาสามมองผลไม้เชื่อมชิ้นนั้นแล้วยื่นมือไปรับมาดมๆ กลิ่นของผลไม้เชื่อมชิ้นนั้นปกติดีไร้สิ่งอื่นเจือปน นางจึงกินผลไม้เชื่อมชิ้นนั้น รสขมปี๋ในปากจางหายไปมากทันที
“นี่คือท้อมาร รสของมันขมอย่างยิ่ง เจ้ากินไม่ได้หรอก แต่สามารถเอาไปหลอมโอสถได้ ส่วนจะเอาไปหลอมเป็นโอสถชนิดใดข้าก็ไม่รู้หรอกนะ” จอมมารบอก
ธิดาสามมองท้อมารอย่างเข็ดขยาด นางจดจำมันไว้ให้แม่นยำ ครั้งหน้าจะได้ไม่เผลอกินเข้าไปอีก
“หากเจ้าอยากกินผลไม้ เดี๋ยวข้าไปหาให้นะ เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนเถอะ” จอมมารบอกแล้วเดินไปทันที
ธิดาสามมองตามแผ่นหลังเขาไปแล้วยืนรออยู่ตรงนั้น
อสูรสุนัขก็ยืนอยู่ห่างๆ
ธิดาสามมองอสูรสุนัขแล้วถามมัน “เจ้าตามข้ามาทำไม?”
อสูรสุนัขกระดิกหางไปมา ท่าทางเป็นมิตรมาก มันค่อยๆ ก้าวไปหานางทีละก้าว
ธิดาสามมองท่าทีของมันอย่างระวังตัว
อสูรสุนัขค่อยๆ ก้าวไปจนชิดตัวนาง มันยื่นศีรษะไปแตะชายกระโปรงของนาง
ธิดาสามมองมันอย่างระวังตัว
อสูรสุนัขทำใจกล้าอีกนิด ขยับเข้าไปเอาศีรษะถูขานาง
ธิดาสามมองมัน ถามว่า “เจ้าจะหลอกให้ข้าตายใจแล้วหาทางจับข้ากินซินะ”
อสูรสุนัขรีบส่ายหน้าครางหงิงๆ ไม่นะๆ ข้าไม่คิดจะกินเจ้าแล้วนะ ข้าแค่อยากเป็นสหายกับเจ้า
“หากเจ้าคิดไม่ซื่อกับข้าเมื่อไหร่ ข้าฆ่าเจ้าแน่” ธิดาสามขู่มัน นางเรียกดาบเขี้ยวสิงห์ออกมาจ่อคอมัน
อสูรสุนัขมองดาบคมกริบเล่มนั้นอย่างหวาดกลัว มันเอาศีรษะถูไถนางไปมา คล้ายจะบอกว่า มันนั้นเป็นมิตรต่อนางอย่างยิ่ง
ธิดาสามมองท่าทางของมันแล้วเก็บดาบเขี้ยวสิงห์ไป นางถอยไปหาที่นั่งแล้วสั่งอสูรสุนัขว่า “เจ้าอยู่ห่างๆ ข้าหน่อย”