Skip to content

วุ่นรักแดนสวรรค์ 58

  • by

Chapter 58

ดาบข้าไม่รู้จักเจ้า

อสูรสุนัขมองจนหนึ่งเทพหนึ่งมารเดินลับตาไป มันยืนอยู่ตรงนั้น คิดหนักอย่างยิ่ง ตามต่อไปก็ไร้ศักดิ์ศรี แต่จะให้มันตัดใจจากดวงตาคู่งามนั้นมันก็ตัดใจไม่ลง ในที่สุดมันก็ละทิ้งศักดิ์ศรีรีบวิ่งตามไปทันที

ธิดาสามได้ยินเสียงฝีเท้าของอสูรสุนัขวิ่งมา นางหันไปมองแวบหนึ่ง เห็นมันวิ่งตามมาจริงๆ นางหยุดมองมัน

จอมมารหยุดเดิน หันไปมองเช่นกัน

อสูรสุนัขวิ่งไปหยุดใกล้ๆ กับคนทั้งสอง มันเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง

ธิดาสามเห็นมันไม่มีท่าทางจะจู่โจมนางจึงหันหน้าเดินต่อไป

จอมมารเดินตามไป เขาเก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้มิดชิด เจ้าก้างขวางคอนี่นะ! ฮึ่ม!

อสูรสุนัขเดินตามหลังไป แล้วมันก็รีบเดินพุ่งผ่านมารผู้นั้นไป จนมันเดินตามหลังเทพแมวขาวเป็นลำดับที่สองได้แล้ว มันหันไปมองมารผู้นั้นคล้ายจะเยาะหยัน

จอมมารมองอสูรสุนัขเขม็ง เขารู้สึกอยากเตะมันให้กระเด็นขึ้นมา แต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้ เพราะนิสัยไป๋เมานั้นเมตตาเอื้ออาทรต่อผู้อื่น หากเขาเตะเจ้าก้างขวางคอนี้นางย่อมคิดว่าเขาเป็นคนโหดร้ายและไร้เหตุผล ดังนั้นเขาจึงได้แต่ข่มใจเอาไว้ ฮึ่ม!

ธิดาสามเหลือบมองอสูรสุนัขที่เดินตามหลังมา นางไม่ไว้ใจมัน นางจึงคอยระวังมันอย่างเงียบเชียบอยู่ในใจ

จนกระทั่งเย็นย่ำใกล้ค่ำ ธิดาสามจึงมองหาที่พัก

อสูรสุนัขเห็นนางมองไปมองมา มันคาดเดาว่านางคงมองหาที่พัก ดังนั้นมันจึงช่วยมองหาอีกแรง

จอมมารก็มองหาที่พักเช่นกัน เขามองไปรอบๆ

ธิดาสามได้ยินเสียงน้ำไหล นางจึงเดินตามเสียงไป

อสูรสุนัขรีบเดินตามไป

จอมมารก็เดินตามหลังไป

จนกระทั่งไปถึงลำธารสายหนึ่ง น้ำใสจนเห็นพื้นทรายเบื้องล่าง ฝูงปลาแหวกว่ายไปมา

ธิดาสามมองๆ ทุกสิ่งดูแล้วไร้พิษภัย นางจึงเดินไปยอบตัวลงข้างลำธาร ยื่นมือไปวักน้ำล้างมือ ทันทีที่นางจุ่มมือลงในน้ำ ปลาฝูงนั้นก็พุ่งเข้าหามือขาวๆ ทันที พวกมันอ้าปากจนเห็นฟันซี่แหลมๆ คมกริบ ธิดาสามมองอย่างนิ่งเฉยยิ่ง จนกระทั่งพวกมันเกือบจะกัดมือนาง นางก็กางกรงเล็บออก ตวัดมือขวับ!

ปลาตัวหนึ่งถูกตวัดจนลอยขึ้นมาเหนือน้ำ ธิดาสามวาดอีกมือตบปลาตัวใหญ่ตัวนั้น ผั๊วะ! จนมันกระเด็นไปกระแทกพื้นบนฝั่ง โคร้ม!

ปลาดิ้นปัดๆ อยู่บนฝั่ง ธิดาสามมองมันแวบหนึ่งแล้วตวัดกรงเล็บขวับๆๆๆๆ—

จากนั้นก็ตบ ผั๊วะ!ๆๆๆๆ—

โคร้ม!ๆๆๆๆๆ—

ปลาทั้งฝูงถูกตบไปกองรวมกัน พวกมันดิ้นปัดๆ พยายามกระเสือกกระสนจะกลับลงน้ำ

“เฮ้อหงเซ่อ (褐红色 สีน้ำตาลแดง) นี่คืออาหารของเจ้า อย่าให้พวกมันหนีไปได้เด็ดขาด” ธิดาสามเรียกอสูรสุนัขตามสีขนของมัน

อสูรสุนัขมองๆ แล้วมันก็รีบกระโจนไปจับปลาฝูงนั้นกิน

ธิดาสามมองเฮ้อหงเซ่อแล้วหันไปจุ่มมือล้างอย่างสบายอกสบายใจ นางไม่ได้อยากทำร้ายปลาฝูงนั้นหรอกนะ แต่พวกมันคิดจะกินนางก่อน แล้วจะให้นางปล่อยพวกมันไปรึ อีกทั้งนางก็ตั้งใจว่าจะอาบน้ำสักหน่อย จึงไม่อาจปล่อยให้พวกมันกลายเป็นภัยในภายหลังได้

อสูรสุนัขใช้ขาทั้งสี่เหยียบปลาไว้ใต้เท้าขาละตัว มันกัดกินปลาทีละตัว…ทีละตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดทั้งฝูง มันเรอเอิ๊กกกก— ออกมา

ธิดาสามมองมันแล้วส่ายหน้า มันช่างเป็นอสูรสุนัขที่ตะกละตะกลามยิ่งนัก

จอมมารมองธิดาสิงห์ ฝีมือนางนับว่ายอดเยี่ยมมาก สมแล้วที่เป็นศิษย์เทพสงคราม พริบตาเดียวก็จัดการอสูรปลาทั้งฝูงได้แล้ว

อสูรสุนัขเดินไปกินน้ำริมลำธาร มันเลียน้ำแผล๊บๆ แล้วเดินไปนอนตะแคงข้าง มันไม่อาจนอนหมอบได้เพราะมันกินอิ่มมากเกินไปจนอึดอัดท้องยิ่งนัก

จอมมารนั่งลงบนก้อนหินก้อนหนึ่ง

ธิดาสามเดินเลาะริมน้ำห่างออกไป

จอมมารขยับลุกเดินตาม

“เจ้าไม่ต้องตามข้ามา” ธิดาสามบอกเสียงเข้ม

จอมมารชะงักเท้า เขาไม่กลัวนางหนีแล้ว ต่อให้นางหนีไปเขาก็สามารถตามไปถึงแดนสิงห์ได้

ธิดาสามเดินเลาะริมน้ำไปทางปลายน้ำ จนกระทั่งเจอที่ๆ เหมาะแก่การลงอาบน้ำ นางจึงใช้เวทบุปผาล้อมรอบตัว ป้องกันไม่ให้ผู้ใดเห็นตัวนางได้ นางถอดอาภรณ์ออกแล้วเดินลงน้ำไป

จอมมารได้ยินเสียงจ๋อมๆ เขารู้ทันทีว่านางกำลังทำอะไร หน้าเขาแดงนิดๆ

อสูรสุนัขก็ได้ยินเสียงน้ำจ๋อมๆ มันชะเง้อศีรษะขึ้นดูนิดหนึ่งแล้วนอนลงไปดังเดิม

ธิดาสามรีบอาบน้ำไวอย่างยิ่ง จนกระทั่งอาบเสร็จแล้วนางก็รีบเดินขึ้นไปสวมอาภรณ์ชุดใหม่ ชุดเก่าก็เก็บใส่ถุงผ้าเอาไว้ก่อน รอให้เจอสถานที่เหมาะๆ ค่อยเอาออกมาซักตาก

เมื่อสวมอาภรณ์เรียบร้อยดีแล้วนางก็สลายเวทบุปผาแล้วเก็บกลีบบุปผาไป จากนั้นก็เดินกลับไป

จอมมารเห็นธิดาสิงห์เดินกลับมา เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

ธิดาสามเดินไปนั่งลงบนก้อนหินก้อนหนึ่งแล้วเอาผลไม้จากในถุงผ้าออกมากิน

จอมมารก็เอาเนื้อออกมากินเช่นกัน เขากินไปพลางมองดูนางไปพลาง พลัน! ภาพๆ หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในศีรษะ เป็นภาพนางยืนอยู่กลางธารน้ำใส ไร้อาภรณ์ปกคลุมกาย เขาพลันหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีทันใด เขารีบหันหน้าไปไม่มองนางอีก

ธิดาสามเห็นจอมมารจู่ๆ ก็หน้าแดงอีกแล้ว นางคิดว่าเขาคงมีไข้อีกแล้วกระมัง นางจึงกินผลไม้ลูกนั้นจนหมดแล้วลุกเดินไปหาเขา ยื่นมือไปจับชีพจร

จอมมารสะดุ้งเฮือก! “เจ้า!”

ธิดาสามแตะจุดชีพจร พบว่าชีพจรเขาเต้นเร็วมาก ทั้งหน้าเขาก็แดงยิ่งนัก นางยื่นอีกมือไปแตะหน้าผากเขา “เจ้าตัวร้อนอีกแล้ว”

“ข้า…ข้า…” จอมมารอึกอักพูดตะกุกตะกัก เขาสูดลมหายใจพยายามตั้งสติ “ข้า…ข้าไม่เป็นอะไรมาก นอนสักหน่อยก็คงหายแล้ว”

“อืม เช่นนั้นเจ้ากินอิ่มแล้วก็นอนเถอะ ข้าจะเฝ้ายามให้เอง” ธิดาสามบอกอย่างเอื้ออาทร

“อืมๆ” จอมมารพยักหน้าหงึกๆ ดั่งไก่จิกข้าว เขารีบกินเนื้อชิ้นนั้นจนหมดแล้วก็ลุกไปล้างมือที่ธารน้ำ แล้วเขาก็หาที่เหมาะๆ นอนลงไป พลัน! เขาก็ผุดลุกขึ้นมานั่ง มองธิดาสิงห์แล้วพูดเสียงแผ่วอย่างเขินอายว่า “ขอข้าจับมือเจ้าอีกได้หรือไม่?”

“ได้” ธิดาสามพยักหน้า นางเดินไปนั่งข้างๆ จอมมารยื่นมือไปให้เขาจับ

จอมมารจับมือหมับ แล้วล้มตัวลงนอน

ธิดาสามมองจอมมารอย่างพิจารณา เท่าที่นางได้ยินข่าวเกี่ยวกับเขา เขานั้นไม่ได้มักใหญ่ไฝ่สูงเลย เขาเพียงแต่ปกครองคุ้มครองเผ่ามารของเขาเท่านั้น เขาต่างจากจอมมารผู้พ่อซึ่งมักใหญ่ไฝ่สูงจนแม้ตายไปแล้วเหลือแต่เศษเสี้ยวจิตวิญญาณก็ยังคงอยากเป็นใหญ่เหนือหกภพ คิดๆ แล้วห่าวหรานผู้นี้ก็มีนิสัยใจคอนับว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง ถึงแม้เขาจะสร้างความลำบากให้นางไปบ้างแต่ก็พอให้อภัยได้

นางคิดไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ตัวว่าหลับไปตอนไหน นางนั่งสัปหงกหลับตัวเอนไปเอนมา

จอมมารลืมตาขึ้น เขาค่อยๆ ใช้พลังบางเบาโอบนางให้นอนลงข้างกายเขา แล้วเขาก็กางกำแพงป้องกันออกไปรอบตัว ป้องกันไม่ให้ถูกสัตว์ร้ายจู่โจม

อสูรสุนัขมองพลังมารที่แผ่ออกมารอบๆ คนทั้งสอง มันแอบขยับๆ เข้าไปใกล้ๆ ก่อนที่พลังนั้นจะกางป้องกันจรดพื้นดิน เมื่อพลังกางป้องกันจรดพื้น มันก็อยู่ในวงล้อมของพลังมารแล้ว คืนนี้มันสามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจแล้ว ฮี่ๆๆๆ

จอมมารเหลือบมองอสูรสุนัขแวบหนึ่ง เขาอยากโยนมันออกไปเสียจริง แต่ก็กลัวว่ามันจะส่งเสียงดังจนนางตื่น ดังนั้นเขาจึงปล่อยมันไว้เช่นนั้น ฮึ่ม!

ธิดาสามหลับใหลอยู่ข้างกายจอมมาร นางขยับตัวให้ตัวเองนอนสบายที่สุด แขนข้างหนึ่งเหยียดออกไปพาดบนตัวจอมมาร

จอมมารสะดุ้ง! ก็มือนางข้างนั้นวางอยู่ตรงกลางกายเขาพอดี เขาตัวแข็งเกร็ง พยายามสงบสติอารมณ์อย่างยิ่ง

กลางกายเขาค่อยๆ ขยายขึ้นมา เขาหน้าแดงอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพราะอาย แต่เพราะเขาต้องข่มอารมณ์เอาไว้จนหน้าแดงต่างหาก

เขาอยากกอดนาง อยากร่วมอภิรมย์กับนาง แต่เขาก็อดทนอดกลั้นเอาไว้ เขาไม่อยากให้นางโกรธจนมองหน้ากันไม่ติด เรื่องเช่นนี้เขาอยากให้นางเต็มใจ ไม่ใช่ฉวยโอกาส หรือเกิดขึ้นเพราะข่มเหงย่ำยีนาง เขาได้แต่นอนตัวแข็งเกร็งอยู่อย่างนั้น

ธิดาสามพลิกกายตะแคงอีกข้าง

จอมมารหายใจทั่วท้องขึ้นมานิดหนึ่ง เขาตะแคงตัว นอนมองนาง ยิ้มบางๆ เขาหมายใจแล้วว่าจะต้องแต่งนางเป็นฮูหยินของเขาให้ได้!

เขายื่นแขนไปวางตรงเอวนาง นางยังคงหลับเขาจึงค่อยๆ ทิ้งน้ำหนักลงไปจนแขนเขาโอบเอวนางได้ ใจเขาเต้นตึกๆ เขาสุขใจยิ่งนักที่ได้กอดนางเช่นนี้

ธิดาสามรู้สึกตัวลืมตาตื่น นางรู้สึกว่าตรงเอวหนักๆ เหมือนถูกทับ นางจึงเหลือบมองพบว่าเป็นแขนข้างหนึ่ง นางพลิกตัวหันหลังไปมอง จึงเห็นว่าจอมมารนอนอยู่ข้างๆ ห่างแค่คืบเดียว นางมองเขาตาปริบๆ สีหน้าเฉยมาก หน้าไม่แดง หัวใจไม่เต้นแรงสักนิด สำหรับนางแล้วเขาก็เหมือนสหายคนหนึ่งเท่านั้น นางไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับเขาเลย นางค่อยๆ จับแขนเขายกขึ้นแล้วค่อยๆ ลุกออกไปอย่างเงียบเชียบ

จอมมารนั้นตื่นตั้งแต่นางขยับตัวลืมตาแล้ว เขาสลายพลังมารออกแล้วแกล้งหลับอยู่ เมื่อนางลุกไปเขาไม่ได้ยินเสียงนางเคลื่อนไหวเลยสักนิด แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ไม่ได้ยิน เขาเผยอดวงตาข้างหนึ่งขึ้นแอบมอง เห็นนางลุกเดินไป เขาแกล้งละเมอมือปัดป่ายไปมา “อย่า…อย่า…”

ธิดาสามหันไปมอง เห็นจอมมารนอนกระสับกระส่าย นางจึงเดินกลับไปดู นางยอบตัวลงนั่งข้างๆ เขา ยื่นมือไปปลุกเขา “ห่าวหราน”

จอมมารคว้ามือจับหมับ ปากก็แกล้งละเมอ “อย่า…อย่า…”

เขาโอบนางแล้วพลิกนางลงกับพื้น ปากก็แกล้งละเมอว่า “ท่านแม่…ท่านแม่ช่วยข้าด้วย”

เขากำลังจะซุกหน้ากับอกนาง พลัน! เขารู้สึกเจ็บคอแปล๊บ! “โอ๊ย!”

เขาเจ็บจนต้องลืมตาขึ้น เขาเห็นมือนางกำรอบคอเขา เล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนเลือดซึม เขาเห็นดวงตาคู่งามดุดันเกรี้ยวกราดกำลังมองจ้องเขาเขม็ง

“ตื่นได้แล้วซินะ” ธิดาสามพูดน้ำเสียงเย็นเยียบ

“ข้า…” จอมมารถูกดวงตาดุดันคู่นั้นทำให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมาอย่างประหลาด เขากลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง แล้วเสแสร้งว่า “นี่เกิดอะไรขึ้น? ไยเจ้าจึง…”

“เจ้าเป็นสหายข้าก็จริง แต่กรงเล็บข้าไม่รู้จักเจ้า” ธิดาสามพูดน้ำเสียงเย็นเยียบ

จอมมารกลืนน้ำลายลงคออีกอึก

“ถอยไป” ธิดาสามสั่งน้ำเสียงเย็นชา

จอมมารขยับลุกทันที แล้วรีบถอยห่างจากนางอย่าง(แกล้ง)รู้สึกผิด “ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ”

“ไม่ได้ตั้งใจก็แล้วไป” ธิดาสามขยับตัวลุกขึ้น หดกรงเล็บกลับไป

“ไป๋เมา ข้า…” จอมมารแกล้งทำท่าอึกอักขัดเขิน

“จำไว้ กรงเล็บข้าไม่รู้จักเจ้า ดาบข้าก็ไม่รู้จักเจ้าเช่นกัน เจ้าก็ระวังตัวหน่อยเถอะ” ธิดาสามพูดเย็นชาแล้วลุกขึ้นเดินไป

จอมมารยกมือลูบลำคอ เลือดยังซึมๆ ตรงรอยเล็บ เขาแอบยิ้มในใจ ว่าที่ฮูหยินข้าช่างดุดันจริง อา…ข้ารักนางยิ่งนัก หึๆๆๆ

อสูรสุนัขลืมตาข้างหนึ่งมองหนึ่งเทพหนึ่งมาร มันเป็นบุรุษย่อมดูเล่ห์กลของมารผู้นั้นออก แต่มันก็ไม่คิดจะเปิดเผยเล่ห์กลของมารผู้นั้นให้เทพแมวขาวรับรู้หรอกนะ เพราะหากมารผู้นั้นรู้ว่ามันเอาเล่ห์กลนี้เปิดเผยต่อเทพแมวขาว มันคงถูกมารผู้นั้นไล่ฆ่าแน่นอน เรื่องอะไรมันจะหาเหาใส่หัวเล่า

ธิดาสามออกเดินทางทั้งๆ ที่ตะวันยังไม่ฉายแสง

จอมมารรีบเดินตามไป

อสูรสุนัขรีบลุกตามไปทันที

ธิดาสามเดินทางมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ

จอมมารก็ติดตามนางไป

อสูรสุนัขก็ตามนางไปเช่นกัน

ทั้งสามเดินทางร่วมกันไปเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งถึงชายแดนระหว่างแดนมารและแดนมนุษย์

ธิดาสามไม่รีรอสักนิด นางรีบเดินข้ามแดนไปอย่างไวยิ่ง

จอมมารตามไปติดๆ

อสูรสุนัขรีบวิ่งตามไป

ธิดาสามหันไปมองอสูรสุนัขแล้วสั่งมันว่า “เฮ้อหงเซ่อ เจ้าหดตัวลงหน่อย ขืนเจ้าเดินไปเช่นนี้พวกมนุษย์ได้แตกตื่นแน่”

อสูรสุนัขมองตัวเองแล้วยอมหดตัวลงจนมีขนาดเท่าสุนัขในแดนมนุษย์

ธิดาสามมองมันอย่างพอใจแล้วเดินนำหน้าไป

จอมมารเดินตามไป เขาตามติดนางไปทุกหนทุกแห่งราวกับกอเอี๊ยะหนังสุนัข

อสูรสุนัขรีบตามไป มันติดตามเทพแมวขาวจนกลายเป็นความเคยชินแล้ว มันยินดีติดตามนางเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะตายนั่นแหละ ใครใช้ให้มันหลงใหลนางเล่า

ธิดาสามเดินทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอหมู่บ้านแห่งหนึ่ง

แต่หมู่บ้านนี้เงียบมาก เงียบจนผิดปกติเลยทีเดียว นางชะงักอยู่นอกหมู่บ้าน

จอมมารยืนอยู่ข้างขวาของนาง เขาชะเง้อมองหมู่บ้านข้างหน้าอย่างครุ่นคิด

อสูรสุนัขยืนอยู่ข้างซ้ายของนาง มันชะเง้อมองหมู่บ้านนั้น แล้วยกขาหน้าสะกิดชายกระโปรงเทพแมวขาว คล้ายกับจะเตือนว่า ที่นี่ผิดปกติ ให้นางระวังตัว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!