Skip to content

วุ่นรักแดนสวรรค์ 60

  • by

Chapter 60

เจ้าซิ ไสหัวไป!

จอมมารมองก้างขวางคอที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างไม่พอใจนัก

แค่อสูรสุนัขตัวเดียว มันก็เกาะติดนางจนเขาไม่มีช่วงเวลาได้อยู่กับนางตามลำพังเลย นี่ยังเพิ่มเจ้าภูตแมงมุมมาอีกตัว อีกทั้งเจ้าภูตแมงมุมนี้ก็เกาะติดนางยิ่งกว่ากอเอี๊ยะหนังสุนัขเสียอีก แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร ฮึ่ม! เขาอยากฆ่าพวกมันสองตัวหมกป่ายิ่งนัก ฮึ่ม!

ธิดาสามรู้สึกถึงไอสังหารจางๆ จากร่างจอมมาร นางมองเขาแล้วปรามว่า “เจ้าก็ทำตัวดีๆ หากเจ้ารังแกผู้อื่น ข้าเอาเรื่องเจ้าแน่”

จอมมารสะกดความไม่พอใจลงไป เขาหันไปยิ้มแย้มกับนาง “ข้าตามใจเจ้าทุกสิ่งอยู่แล้ว”

“อืม” ธิดาสามส่งเสียงคำหนึ่ง แล้วไม่สนใจเขาอีก นางเดินไปเรื่อยๆ

ทั้งสี่เดินทางร่วมกันไปอย่างสันติ มีบางคราวที่หนึ่งมาร หนึ่งภูต หนึ่งอสูร จะลอบส่งสายตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจ ธิดาสามก็ทำไม่รู้ไม่เห็น ตราบใดที่พวกเขาไม่ลงมือลงไม้กันนางก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย

จนกระทั่งวันหนึ่ง ธิดาสามรู้สึกว่าพลังกลับคืนมาเต็ม 10 ส่วนแล้ว นางจึงไม่ค่อยๆ เดินเท้าแล้ว แต่ใช้วิธีเก็บชวี่จูกับเฮ้อหงเซ่อเข้าไปในถุงผ้าแล้วเหาะเหินกลับแดนสิงห์อย่างไวที่สุด

จอมมารเหาะตามไปติดๆ เขาอยากจะแอบเอาโอสถให้นางกิน นางจะได้ไร้พลังเทพเช่นเดิม แต่หากทำเช่นนั้นนางคงโกรธเคืองเขาจนแม้แต่หน้าก็ไม่อยากมองแล้ว

ธิดาสามเหินลอยไป สลับกับหยุดพักเป็นระยะๆ ทุกวัน

วันคืนผ่านไป จนกระทั่งไปถึงชายแดนระหว่างแดนมนุษย์กับแดนเทพธิดาสามก็พุ่งผ่านเข้าแดนเทพไปอย่างคิดถึงบ้านเต็มแก่

จอมมารตามไปติดๆ

ธิดาสามลอยลงไปบนพื้นดินแห่งหนึ่ง

จอมมารลอยลงไปยืนเคียงข้างนาง

“เจ้าบุกแดนเทพ ไม่กลัวถูกฆ่าหรือไร?” ธิดาสามมองจอมมาร

“เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ?” จอมมารดีใจมาก

“อย่างไรเจ้าก็นับว่าเป็นสหาย ข้าย่อมไม่อยากเห็นสหายตกตายหรอกนะ แต่ข้าก็ไม่อาจตั้งตัวเป็นศัตรูกับเทพทั้งดินแดนเพื่อปกป้องเจ้าได้ ทางที่ดีเจ้ารีบกลับแดนมารไปเสียเถอะ” ธิดาสามไล่เขา

“เจ้าไล่ข้า?” จอมมารหน้างอ

“อืม” ธิดาสามพยักหน้า

“ข้าไม่กลับ ข้าจะติดตามเจ้าไปทุกหนแห่ง” จอมมารบอกอย่างดื้อดึง

“แต่หากเทพคนอื่นเห็นเจ้า ย่อมจับเจ้าไปเข่นฆ่า หรืออาจจะฆ่าเจ้าเลยไม่คิดจะจับกลับไปให้เสียเวลาก็ได้” ธิดาสามเตือน

“หากเจ้ากลัวข้าถูกจับ ข้ากลายเป็นเทพก็ได้” จอมมารบอกยิ้มๆ

“หือ?” ธิดาสามสงสัย

จอมมารเอาโอสถออกมา 1 เม็ดแล้วกินเข้าไป สักพักไอมารสีดำก็เปลี่ยนเป็นไอเทพขาวพราวพรั่ง

ธิดาสามเบิกตาโต มองไอเทพที่แผ่ออกมารอบๆ ตัวจอมมาร นางเพ่งดูไอเทพนั้น ดูอย่างไรก็ไม่แตกต่างจากไอเทพสักนิด “นั่นคือโอสถอะไร?”

จอมมารเทโอสถแล้วยื่นให้นาง 1 เม็ด “นี่คือโอสถมายาลวง”

ธิดาสามรับไปพิศดู แล้วดมกลิ่นแยกแยะสมุนไพร จากนั้นนางก็ยื่นโอสถคืนให้เขา

จอมมารรับคืนมาแล้วเก็บใส่ขวด เห็นนางสนใจโอสถมายาลวง เขาจึงอธิบายเพิ่มว่า “โอสถนี้ข้ากิน 1 เม็ดก็จะอำพรางไอมารไปได้ 10 วัน ดังนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะถูกจับถูกฆ่าแล้ว”

“เอาเถอะๆ แต่ถ้าเจ้าถูกจับจริงๆ ข้าก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้นะ เพราะเจ้ารนหาที่ตายเองนะ” ธิดาสามบอกอย่างเย็นชา

จอมมารยิ้ม ไม่สนใจท่าทางเย็นชาของนาง เพราะเขารู้ดีว่าหากเขาเกิดเรื่องขึ้นมา นางย่อมไม่ใจไม้ไส้ระกำทนใจดำเห็นเขาถูกฆ่าตายได้หรอก

เมื่ออำพรางไอมารได้แล้ว ธิดาสามจึงเหินลอยขึ้นฟ้า เดินทางต่อไป

จอมมารรีบตามไปติดๆ

ธิดาสามนึกอะไรขึ้นได้ นางหยุดอยู่กลางอากาศแล้วเอาบัวของเทพพฤกษาออกมา นางพูดกับบัวดอกนั้นว่า “ข้ากำลังจะกลับถ้ำสิงห์แล้ว ประมาณอีก 1 เดือนคงถึงถ้ำสิงห์ พวกท่านไม่ต้องตามหาข้าแล้ว”

เมื่อพูดจบ นางก็ปล่อยดอกบัวลอยไป ดอกบัวพุ่งลิ่วหายลับไปอย่างรวดเร็ว

จอมมารหยุดอยู่ข้างๆ มองดอกบัวดอกนั้นลอยหายไป ไม่ต้องคาดเดาเขาก็สามารถเดาได้ว่าบัวดอกนั้นย่อมเป็นของวิเศษของเทพพฤกษาแน่แท้

ธิดาสามเหินลอยต่อไป

จอมมารตามติดไม่ห่างราวกับกอเอี๊ยะหนังสุนัข

เมื่อเทพพฤกษาได้รับดอกบัว นางก็หยุดค้นหาธิดาสาม แล้วรีบส่งข่าวไปถึงเจียวเจี๋ยและเจียวซิ่นทันที จากนั้นนางก็รีบกลับไปรอธิดาสามที่แดนสิงห์

เมื่อคนอื่นๆ รู้ข่าว พวกเขาก็เลิกค้นหาธิดาสาม พวกเขาพากันกลับแดนสิงห์ไปรอคอยธิดาสาม

วันคืนผ่านไป จนกระทั่งธิดาสามและจอมมารเดินทางไปใกล้ๆ ตำหนักเก้าชั้นฟ้า ซึ่งกำลังจัดงานโคมไฟ ทำให้ทั่วทั้งตำหนักเก้าชั้นฟ้าสว่างไสวยิ่ง จอมมารมองแล้วชวนว่า “ไป๋เมา พวกเราหยุดที่นั่นสักครู่ได้หรือไม่?”

ธิดาสามชะงักค้างกลางอากาศ มองตำหนักเก้าชั้นฟ้าที่ประดับประดาโคมไฟไปทั่วอย่างสวยงามตระการตา นางมองจอมมารแล้วคิดๆ เขาคงไม่เคยเห็นสิ่งสวยงามเช่นนี้กระมัง เช่นนั้นแวะเที่ยวสักวันก็ได้ นางพยักหน้า “อืม”

จอมมารยิ้มดีใจมาก ราวกับเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น

ธิดาสามเหินลอยลงไปบริเวณรอบนอกของตำหนักเก้าชั้นฟ้า ซึ่งเขตชั้นนอกนี้ใครจะไปจะมาก็ได้ เป็นที่อยู่อาศัยของเทพระดับต่ำ แต่หากเป็นเขตชั้นกลางและเขตชั้นในจำเป็นต้องแสดงป้ายฐานะจึงจะเข้าไปได้ ซึ่งนางก็ไม่คิดจะเข้าไปในเขตชั้นกลางอยู่แล้ว เดินเที่ยวเล่นอยู่เขตชั้นนอกก็พอแล้ว

จอมมารลอยลงยืนข้างๆ ธิดาสิงห์ เขามองเมืองซึ่งดูคึกคักสนุกสนานอย่างสนอกสนใจ

“ไปกันเถอะ” ธิดาสิงห์เดินนำหน้าไป

จอมมารเดินตามไป

ทั้งสองเดินชมเมืองและผู้คนไปเรื่อยๆ สองข้างทางมีร้านค้ามากมาย ขายสินค้าหลากหลายชนิด ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นสินค้าสำหรับสตรี ปิ่นปักผมเอย เครื่องประทินโฉมเอย อาภรณ์งดงาม แพรพรรณเนื้อดี ฯลฯ

เมื่อเดินนานๆ เข้า ธิดาสามก็เมื่อยขาแล้ว นางจึงชวนจอมมารไปนั่งพักดื่มน้ำชา “พวกเราแวะร้านน้ำชาร้านนั้นก่อนเถอะ”

“อืม” จอมมารพยักหน้า

ธิดาสามจึงเดินนำเข้าไปในร้านน้ำชา

“เชิญขอรับๆ” บ่าวรับใช้รีบผายมือต้อนรับลูกค้า

ธิดาสามเดินไปนั่งที่โต๊ะหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากคนอื่นๆ ในร้าน นางนั่งลงไป

จอมมารนั่งลงข้างนาง

“แม่นางกับคุณชายจะรับอะไรดีขอรับ? ร้านข้ามีทั้งน้ำชา สุรา อาหารเลิศรส หรือจะเป็นขนมก็มีขอรับ” บ่าวรีบพูดอย่างคล่องปาก

“เอาน้ำชา 3 กา เหล้ากานึง พวกเนื้อเจ้ามีกี่อย่างก็เอามาซัก 9 จาน แล้วก็ผัดผักจานนึง แกงจืดชามนึง หมั่นโถว 2 ลูก” ธิดาสามสั่ง

“ขอรับ” บ่าวรับคำสั่งแล้วรีบเดินไปบอกพ่อครัว

ธิดาสามเอาภูตแมงมุมกับอสูรสุนัขออกมาจากถุงผ้า

เมื่อออกมาจากถุงผ้าแล้วภูตแมงมุมก็กลายเป็นมนุษย์นั่งอยู่ข้างๆ นายท่าน

ส่วนอสูรสุนัขก็นั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มันมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ

“ที่นี่คือที่ไหนหรือขอรับ?” ชวี่จูถาม

“เขตชั้นนอกของตำหนักเก้าชั้นฟ้า” ธิดาสามตอบ

ชวี่จูมองไปรอบตัวอย่างตื่นเต้น แล้วมองจอมมาร เห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทางตื่นเต้นเหมือนเช่นเขา เขาจึงวางท่าวางทางสุขุมขึ้นมา ราวกับต้องการข่มจอมมาร

อสูรสุนัขเห็นจอมมารกับภูตแมงมุมทำท่าสุขุม มันจึงวางท่าทางเช่นกัน

ธิดาสามยิ้มบางๆ ที่ทั้งสามวางท่าแข่งกัน ทั้งๆ ที่นัยน์ตาพวกเขาล้วนเหล่มองไปรอบทิศแล้ว

บ่าวยกน้ำชากับสุรามาวางแล้วถอยไป

ธิดาสามเลื่อนกาสุราไปตรงหน้าจอมมาร ส่วนกาน้ำชาอีก 2 กาก็เลื่อนไปให้ชวี่จูกับอสูรสุนัข เหลืออยู่ตรงหน้านางกาเดียว

ชวี่จูรีบยื่นมือไปรินชาให้นายท่าน “น้ำชาขอรับ”

“อืม” ธิดาสามพยักหน้าแล้วยกชาขึ้นจิบ ชานี้แม้จะไม่เลิศรสเหมือนชาที่ถ้ำสิงห์แต่ก็ดีกว่าชาในแดนมนุษย์มาก

ชวี่จูรินชาให้ตัวเองแล้วยื่นมือไปรินให้อสูรสุนัขด้วย ก็มันยังไม่อาจกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ย่อมไม่สามารถจับการินน้ำชาได้

อสูรสุนัขแยกเขี้ยวให้ภูตแมงมุมทีหนึ่ง มันรอให้ชาหายร้อนแล้วค่อยเลียน้ำชากิน

จอมมารรินเหล้าใส่จอกแล้วยกขึ้นจิบ

บ่าวยกอาหารมาวางแล้วถอยไป

ธิดาสามเลื่อนจานเนื้อไปตรงหน้าจอมมารจานหนึ่ง อีก 8 จานที่เหลือนางก็แบ่งให้ชวี่จูกับเฮ้อหงเซ่อคนละ 4 จาน

“ขอบคุณขอรับ” ชวี่จูกุมมือคารวะนายท่านแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมารอท่า

ธิดาสามหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบกับกิน

จอมมารก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อกิน

ชวี่จูจึงคีบเนื้อกินเช่นกัน

อสูรสุนัขก็กินเนื้ออย่างสำรวมยิ่ง เพราะเทพแมวขาวไม่ชอบผู้มีกริยาไม่งาม มันติดตามนางมานานจึงถูกอบรมสั่งสอนไม่น้อย

ขณะที่ทั้งสี่กำลังกินอาหารอยู่ ก็มีสตรีกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน

สตรีนางหนึ่งตะโกนสั่งว่า “เถ้าแก่ นายข้าต้องการเหมาร้านเจ้า เจ้ารีบไล่คนอื่นออกไปให้หมด”

“เอ่อ…” เถ้าแก่ชะงักไปครู่หนึ่ง เขามองสตรีกลุ่มนั้นแล้วสั่งบ่าวว่า “เจ้า ไปเชิญ(ไล่)แขกออกไปให้หมด”

“ขอรับ” บ่าวรับคำสั่งแล้วรีบเดินไปเชิญ(ไล่)แขกทันที

เขาเดินไปบอกแขกทุกโต๊ะอย่างจนใจว่า “เชิญทุกท่านกลับไปก่อนเถอะขอรับ”

แขกมองบ่าวอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อมองสตรีกลุ่มนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่อยากมีเรื่องมีราวด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงลุกออกไป สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปอย่างไม่พอใจ

“ต้องขออภัยด้วยขอรับ ขออภัยด้วยขอรับ” บ่าวกุมมือคารวะโค้งตัวจนศีรษะแทบโขกพื้นแล้ว จากนั้นเขาก็ไปเชิญ(ไล่)แขกโต๊ะอื่นต่อไป

แขกโต๊ะอื่นๆ มองสตรีกลุ่มนั้นแล้วก็พากันทยอยลุกออกไปทีละโต๊ะสองโต๊ะ

จนกระทั่งเหลือแต่โต๊ะของธิดาสาม ซึ่งธิดาสามกับจอมมารยังนั่งกินดั่งทองไม่รู้ร้อน

ชวี่จูกับอสูรสุนัขเหลือบมองนายท่าน เห็นนายท่านยังคงนั่งเฉยพวกเขาจึงกินเนื้อกันต่อไป

บ่าวเดินไปกุมมือคารวะ “เชิญทุกท่านกลับไปก่อนเถิดขอรับ”

ธิดาสามมองบ่าวคนนั้น สีหน้านิ่งเฉยมาก นางยังคงคีบกับกินไปเรื่อยๆ

บ่าวมองแล้วพูดเสียงดังขึ้นว่า “เชิญทุกท่านกลับไปก่อนเถิดขอรับ”

ธิดาสามมองบ่าวอย่างไม่สนใจแล้วกินต่อ

บ่าวหันไปมองเถ้าแก่อย่างลำบากใจ

เถ้าแก่รีบเดินไปกุมมือคารวะแขกโต๊ะสุดท้ายในร้าน “คุณชาย ได้โปรดกลับไปก่อนเถิดขอรับ ส่วนเงินค่าอาหารข้าไม่คิดเงินขอรับ”

จอมมารมองเถ้าแก่แล้วหันไปมองธิดาสิงห์ เห็นนางยังคงนั่งกินต่อไป เขาจึงไม่สนใจเถ้าแก่ อีกทั้งเขาก็ไม่ชอบใจอยู่แล้วที่จู่ๆ ก็ถูกไล่เช่นนี้ เขาเป็นถึงจอมมารนะ มีใครหน้าไหนกล้าไล่เขาบ้าง

“คุณชายขอรับ ได้โปรดเถอะขอรับ” เถ้าแก่อ้อนวอน

สตรีกลุ่มนั้นเห็นลูกค้าโต๊ะนั้นไม่ยอมลุกไปเสียที สตรีนางหนึ่งจึงเดินอาดๆ ไปชี้นิ้วสั่ง “พวกเจ้ารีบไสหัวไปได้แล้ว”

ธิดาสามหน้าตึงขึ้นมา นางมองสตรีนางนั้นแล้วพูด 1 ประโยค “เจ้าซิ ไสหัวไป!”

“ใช่ๆ ควรเป็นเจ้าที่ต้องไสหัวไป” ชวี่จูพูดขึ้นมาทั้งยังโบกตะเกียบไล่สตรีนางนั้นอย่างไม่ไว้หน้า

สตรีนางนั้นโกรธจนโทสะท่วมฟ้าแล้ว “หนอย! เป็นแค่ภูตตัวหนึ่ง กล้าไร้มารยาทกับข้านางกำนัลขององค์หญิงเยี่ยนฟางรึ?”

“หึ! องค์หญิงเยี่ยนฟางอะไรข้าไม่รู้จัก” ชวี่จูพูดเยาะหยันแล้วคีบเนื้อกินอย่างไม่สนใจนางกำนัลผู้นั้น

“เจ้า!” นางกำนัลนางนั้นโกรธจนหน้าแดงหน้าเขียว นางสะบัดมือใส่ภูตตัวนั้นทันที ฟิ้ว!

ธิดาสามสะบัดตะเกียบต้านพลังเทพน้อยนิดสายนั้น ตะเกียบกระแทกกับพลังสายนั้นจนหักดังเปรี๊ยะ! แล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เศษตะเกียบชิ้นเล็กๆ กระเด็นไปถูกนางกำนัลนางนั้น ฉึกๆๆๆ…

“โอ๊ย!” นางกำนัลร้องลั่น นางถูกเศษตะเกียบทิ่มเนื้อตัวจนคล้ายเม่นแล้ว

“อ้า!” นางกำนัลนางอื่นๆ ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

เมื่อพวกนางตั้งสติได้แล้ว พวกนางก็กรูกันเข้าไปล้อมแขกโต๊ะนั้นทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!