Skip to content

สตรีน่าตาย 6

  • by

Chapter 6

ครั้งหน้าข้าจะไม่ใจดีแบบนี้แน่

“อั๊ก!” เขาร้องออกมา เจ็บจุกจนหายใจแทบไม่ได้ พอเขาจะขยับตัว เท้าข้างนั้นก็ยกขึ้นแล้วกระทืบซ้ำลงมาอีก กร๊อบ!

เสียงกระดูกซี่โครงหักดังออกมา ทำเขาร้องอย่างเจ็บปวด “โอย!”

เท้าเล็กๆ ข้างนั้นยกขึ้นอีก เขาเบิกตากว้างรีบร้องว่า “อย่า! ข้ายอมแล้ว!”

เท้าเล็กๆ จึงเบนไปแล้วเตะสีข้างเขาแทน ปึก!

“โอย!” เขาร้องอีกครั้ง แต่อย่างน้อยความเจ็บนี้ก็ไม่รุนแรงเท่าตอนถูกกระทืบจนกระดูกหัก

“พวกเจ้ามีทรัพย์สินเงินทองของมีค่าอะไรก็รีบเอาออกมาชดใช้ให้ข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะให้พวกเจ้าชดใช้ด้วยชีวิต” น้ำเสียงเนิบนาบดังขึ้น แต่ทำให้ชายสี่คนขนลุกชัน ทั้งสี่มองสีหน้าเด็กสาวผู้ดุร้ายคนนั้นอย่างหวาดผวา

“ยังไม่รีบเอาออกมาอีก!” หลินจื่อเซียนพูดเสียงต่ำเย็นเยียบ ชายธาตุน้ำรีบหยิบถุงเงินของตัวเองส่งให้ “ข้าให้แล้วๆ”

หลินจื่อเซียนคว้าถุงเงินหมับแล้วโยนกลับไปให้เซี่ยจินเย่ พร้อมกับสั่งว่า “เก็บไว้”

เซี่ยจินเย่รับถุงเงินที่ถูกโยนเข้ามาที่อกตัวเองอย่างงงๆ หลินจื่อเซียนก้มมองชายธาตุน้ำด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่งมาก ถามว่า “หมดแล้ว?”

เท้าเล็กๆ ก็ยกขึ้นเตรียมจะกระทืบลงไป ชายธาตุน้ำรีบร้องบอก “อย่าๆ”

เขารีบถอดแหวนหยกบนนิ้วส่งให้ แล้วพูดอย่างอดสูว่า “หมดแล้วๆ นี่คือทั้งหมดที่ข้ามีแล้ว”

“หึ!” หลินจื่อเซียนแค่นเสียงคำหนึ่ง รับแหวนหยกมาแล้วโยนไปให้เซี่ยจินเย่ “รับ”

เซี่ยจินเย่ยื่นมือตะครุบแหวนหยกอย่างงงๆ หลินจื่อเซียนก็ถอยไป พร้อมกับดึงดาบออกจากฝัก ชี้ปลายดาบไปที่ชายธาตุไม้ ซึ่งยืนอยู่ “เอาของเจ้ามาชดใช้ให้ข้า!”

ชายธาตุไม้กลืนน้ำลายเอือก พี่สองของเขายังถูกตีขนาดนั้น แล้วเขาจะสู้ได้อย่างไร!? ฮือๆ…นี่พวกเขาหาเรื่องผิดคนแล้วซินะ

เขามองดาบเล่มนั้นซึ่งยังมีคราบเลือดเปื้อนใบดาบอยู่ แล้วกลืนน้ำลายเอือก ดาบเล่มนี้ดื่มเลือดคนมาแล้ว เขายังไม่อยากเป็นคนต่อไปหรอกนะ ฮือๆ…

เขารีบเอาทรัพย์สินของตัวเองออกมาส่งให้แม่นางน้อยทันที “นี่…ขอรับ”

หลินจื่อเซียนรับของมาแล้วโยนไปให้เซี่ยจินเย่ เซี่ยจินเย่ก็รับมาแล้วซุกไว้ในอกเสื้อ ความรู้สึกหนึ่งเอ่อล้นขึ้นมาในจิตใจ ข้าอยากจะแข็งแกร่งเหมือนพี่จื่อเซียน!

หลินจื่อเซียนผละจากชายธาตุไม้คนนี้แล้ว ขยับไปยืนตรงหน้าชายธาตุไม้ที่ยังนั่งมึนงงอยู่กับพื้น นางถือดาบไว้ในมือ ยื่นมือซ้ายออกไป “ของเจ้า”

ชายธาตุไม้ผวาเฮือก รีบเอาทรัพย์สินของตัวเองออกมายื่นให้นาง หลินจื่อเซียนรับมาแล้วก็โยนไป เซี่ยจินเย่รับหมับอย่างว่องไวขึ้น นางยิ้มอย่างชอบใจ หลินจื่อเซียนก็เดินไปหาพยัคฆ์คำราม พยัคฆ์คำรามกระถดตัวถอยหลัง เขายังเจ็บจุกจนไม่มีแรงจะลุก พริบตาเดียว เด็กคนนี้ก็จัดการพวกเขาได้หมดแล้ว นางย่อมไม่ใช่ขี้ไก่แน่นอน

หลินจื่อเซียนก้มลงมองเขา พูดว่า “ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่ถ้าเจ้ายังคิดหาเรื่องข้าอีก ครั้งหน้าข้าจะไม่ใจดีแบบนี้แน่”

นี่ใจดีแล้วหรือ? คำถามนี้เกิดขึ้นในใจทุกคน หลินจื่อเซียนยิ้มคล้ายหยอกเย้า สั่งว่า “เอามา”

พยัคฆ์คำรามถอดแหวนที่นิ้วยื่นให้อย่างอดสู หลินจื่อเซียนรับมากำไว้ แล้วพูดว่า “อ้อ ม้าของเจ้าสวยดี ข้าเอาไปสองตัวนะ”

พยัคฆ์คำรามพยักหน้าหงึกๆ ดั่งไก่จิกข้าว เอาไปเลยๆ เจ้ารีบเอาไปแล้วรีบไปเถิด ฮือๆ…

“อืม นับว่ายังรู้ประสา” หลินจื่อเซียนพูดเนิบนาบแล้ว หมุนตัวเก็บดาบเข้าฝัก เสียงดังชิ้ง!

ทำชายทั้ง 6 ในเพิงน้ำชาสะดุ้งเฮือก!

หลินจื่อเซียนเดินไปจูงมือเซี่ยจินเย่เดินไป เธอเลือกม้าตัวที่สวยที่สุดสองตัวจากทั้งสี่ตัว แล้วสั่งเซี่ยจินเย่ว่า “ขึ้นม้าซิ”

เซี่ยจินเย่รีบบอก “ข้าขี่ม้าไม่เป็น”

หลินจื่อเซียนชะงักไปครู่หนึ่ง แก้ปัญหาได้ฉับไว “ขี่กับข้า”

แล้วผลักไหล่เซี่ยจินเย่ให้ขึ้นม้าตัวที่ใหญ่ที่สุด เซี่ยจินเย่ขึ้นไปอย่างเก้ๆ กังๆ หลินจื่อเซียนก็ขึ้นซ้อนข้างหลัง แล้วจับบังเหียนบังคับม้าควบจากไป

เถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อร์มองตาม ปากอ้าค้างตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กสาวคนหนึ่งจะจัดการผู้ชายสี่คนได้ในพริบตาเดียว แล้วยังขู่เอาทรัพย์สินไปได้อีกด้วย! นี่!!!

พยัคฆ์คำรามพยายามยันตัวลุกขึ้น เจ็บจุกไม่น้อย เขาได้แต่หวังว่าพยัคฆ์น้อยจะยังคงใช้การได้นะ โดนเตะเข้าไปหนึ่งที เขาบอกได้เลยว่ารู้สึกเหมือนถูกม้าเตะ แม่นางน้อยผู้นั้นแข็งแกร่งยิ่ง เป็นคนที่เขาไม่อาจจะสู้ได้! ฮือๆ…

หลังจากนั้นคนทั้งสี่ก็เดินทุลักทุเลออกจากเพิงน้ำชาไป พากันขึ้นม้าจากไปอีกทางหนึ่ง

กว่าเสี่ยวเอ้อร์จะตั้งสติได้ก็ผ่านไปครู่ใหญ่ เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ โชคดีที่แม่นางน้อยไม่เอาความที่ถูกเขามองอย่างดูแคลน ต่อไปเขาจะไม่มองคนจากรูปลักษณ์ภายนอกอีกแล้ว!

เมื่อขี่ม้าไปได้สักพัก เซี่ยจินเย่ก็หันหน้าไปถามพี่จื่อเซียนว่า “ท่านพี่ ท่านสอนข้าได้หรือไม่? ข้าอยากแข็งแกร่งเหมือนท่าน”

“สอนได้ แต่เจ้าต้องอดทนที่จะฝึก บอกไว้ก่อนนะ เรียนกับข้า ข้าฝึกโหดนะ” หลินจื่อเซียนพูด เซี่ยจินเย่ชะงักไป

นางเงียบไปพักใหญ่ แล้วก็พูดอย่างมุ่งมั่นว่า “ข้าจะอดทน ข้าอยากแข็งแกร่ง”

“ดี” หลินจื่อเซียนพยักหน้า

เมื่อมีม้า การเดินทางก็เร็วขึ้น ที่ได้ยินคนกลุ่มนั้นคุยกันว่า ถ้าใช้ม้า 3 วันก็จะถึงแคว้นเฟิง แต่เพราะเซี่ยจินเย่ไม่เคยขี่ม้า อีกทั้งม้าต้องแบกรับน้ำหนักคนสองคน การเดินทางจึงล่าช้ากลายเป็น 5 วัน เมื่อถึงเย็นวันที่ 5 พวกหลินจื่อเซียนก็มาถึงแคว้นเฟิง กำแพงเมืองสูงใหญ่ล้อมรอบเมืองทั้งสี่ทิศ ดูมั่นคงแข็งแรงดั่งป้อมปราการ

หลินจื่อเซียนกำลังจะชักม้าผ่านประตูเมืองเข้าไป ทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็ยื่นหอกมาขวางเอาไว้ ตะโกนว่า “ไม่อนุญาตให้ขี่ม้าเข้าเมือง!”

หลินจื่อเซียนชักม้าหยุดชะงัก แล้วหันไปมองคนอื่นๆ คนอื่นๆ ก็หันมามองเธอเป็นตาเดียว แล้วก็มีคนจูงม้าเดินผ่านเข้าประตูเมืองไป หลินจื่อเซียนจึงเข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติของเมืองนี้แล้ว เธอจึงพูดกับทหารคนนั้นว่า “ขออภัยด้วย”

แล้วเธอก็ตวัดตัวลงจากหลังม้า พูดกับเซี่ยจินเย่ว่า “ลงมา”

เซี่ยจินเย่ก็ลงจากหลังม้าอย่างเก้ๆ กังๆ หลินจื่อเซียนก็ช่วยประคองลงมา จากนั้นเธอก็จูงม้าเดินเข้าเมือง ทหารก็ดึงหอกกลับ

หลายวันมานี้หลินจื่อเซียนก็คุ้นเคยกับคำพูดคำจาของที่นี่แล้ว ตอนแรกที่เธอไม่สามารถอ่านอักขระของที่นี่ได้เป็นเพราะเธอไม่เคยเรียนภาษาของที่นี่ แต่หลังจากที่ดูดซับตำราของราชันย์โอสถไปแล้ว เธอก็กลายเป็นเข้าใจภาษาของที่นี่โดยอัตโนมัติ

5 วันที่ผ่านมา หลินจื่อเซียนก็ซักถามเรื่องราวของเซี่ยจินเย่มาตลอด จึงได้รู้ว่า เซี่ยจินเย่เป็นคุณหนูลำดับที่สามของจวนอ๋องเซี่ย แต่เพราะมารดาของนางถูกขับไล่ออกจากจวนจึงได้ระหกระเหินกลับไปอยู่บ้านเกิด จนกระทั่งมารดาตาย เซี่ยจินเย่ก็ถูกญาติฝั่งมารดาขับไล่อีก เซี่ยจินเย่จึงคิดจะไปตายเอาดาบหน้า คิดที่จะไปอาศัยบิดา หากบิดาทราบว่านางไร้ที่พึ่งแล้ว บิดาคงไม่ใจไม้ใส้ระกำทอดทิ้งนางกระมัง

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวแล้ว หลินจื่อเซียนก็ส่ายหน้ากับความคิดแบบเด็กๆ ของเซี่ยจินเย่ หึ! หากคนเป็นพ่อไม่ใจดำ จะขับไล่สองแม่ลูกออกมาได้ยังไง นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าชายเลวคนนั้นทอดทิ้งลูกเมียได้ลงคอ

เมื่อเข้าเมืองไปแล้ว เซี่ยจินเย่ก็มองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตาตื่นใจเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงอย่างไรอย่างนั้น ขยับไปจับมือพี่จื่อเซียนกระตุกให้ดูทางนั้นทางนี้ตลอดเวลา “พี่จื่อเซียน ท่านดูร้านนั้นซิ งามนัก” / “พี่จื่อเซียน ท่านดูเครื่องประดับผมนั่นซิ งดงามเหลือเกิน” / “พี่จื่อเซียน ท่านดูอาภรณ์ร้านนู้นซิ งามยิ่งนัก” / “พี่จื่อ…”

“หยุด!” หลินจื่อเซียนดุคำหนึ่ง เซี่ยจินเย่จึงชะงัก หลินจื่อเซียนจึงดุว่า “เดินดีๆ อย่าลุกลี้ลุกลนเยอะ คนเขาจะดูถูกเอาได้ว่าเป็นบ้านนอกเข้ากรุง”

“…เจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่หน้าจ๋อย เก็บความตื่นตาตื่นใจลงไป แล้วก็พูดว่า “ข้าจะไปถามคนนะเจ้าคะว่าจวนอ๋องเซี่ยอยู่ทางใด”

“ไม่ต้อง” หลินจื่อเซียนรีบจับมือไว้ เซี่ยจินเย่ขมวดคิ้ว หลินจื่อเซียนจึงบอกว่า “ตอนนี้พวกเราหาที่พักกันก่อน ข้าอยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”

เซี่ยจินเย่มองพี่จื่อเซียนแล้วก็ก้มลงมองตัวเอง สภาพตัวเองสกปรกไม่น้อย สมควรอาบน้ำก่อนจริงๆ นั่นแหละ

หลินจื่อเซียนจูงม้าไปยืนหลบข้างทาง แล้วมองไปรอบๆ จากนั้นก็หันมาถามเซี่ยจินเย่ว่า “เจ้าพอจะรู้ไหมว่า ที่ไหนมีบ้านให้เช่าบ้าง?”

“บ้านให้เช่า?” เซี่ยจินเย่ขมวดคิ้ว แล้วก็ส่ายหน้า หลินจื่อเซียนมองแล้วก็ถอนหายใจ เด็กคนนี้ถูกเลี้ยงมาเหมือนกบในกะลาจริงๆ ไม่เคยได้พบเห็นโลกภายนอกเลย มีชีวิตอยู่แค่ในหมู่บ้านเล็กๆ ยิ่งถูกญาติข้างแม่คอยกลั่นแกล้งก็ยิ่งเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในบ้าน ประตูใหญ่ไม่ออก ประตูรองไม่ก้าวข้ามจริงๆ

หลังถอนหายใจทีหนึ่งแล้ว หลินจื่อเซียนจึงจูงม้าไปถามพ่อค้าที่ตั้งแผงขายของอยู่ใกล้ๆ “พี่ชาย ท่านพอจะรู้ไหมว่า ที่ไหนมีบ้านให้เช่าบ้าง?”

“บ้านให้เช่าหรือ? เจ้าต้องการหลังใหญ่ขนาดไหนล่ะ?” พ่อค้าขายกลองป๋องแป๋งถาม หลินจื่อเซียนจึงตอบว่า “ข้าต้องการบ้านที่มี 2 ห้องนอน 1 ห้องครัว 1 ห้องโถง ถ้ามีบริเวณบ้านสักหน่อยจะดีมาก ที่สำคัญคือเงียบสงบ”

เธอบอกความต้องการอย่างกระชับได้ใจความครบถ้วน พ่อค้าคิดๆ อยู่ครู่ใหญ่ “อืม…”

“มีสองสามแห่ง แห่งนึงอยู่ติดเหลาสุรา…”

“ราคา?” หลินจื่อเซียนถามแทรก พ่อค้าก็บอกว่า “ประมาณ 300 ถึง 400 เหรียญเงิน”

“แพงไป” หลินจื่อเซียนส่ายหน้า พ่อค้ามองดูเด็กสาวตรงหน้าแล้วถามว่า “เจ้ามีเงินเท่าไหร่?”

“ข้ามีเงินไม่มาก พี่ชายพอจะหาบ้านที่ราคาถูกๆให้ข้าได้ไหม?” หลินจื่อเซียนบอกอย่างกำกวม

พ่อค้าคิดๆ แล้วก็พูดว่า “มีที่นึง ถูกมาก แล้วก็เงียบสงบมาก แต่พวกเจ้าจะกล้าอยู่หรือ?”

“ที่ไหน?” หลินจื่อเซียนถาม พ่อค้ามองๆ แล้วตอบว่า “ข้างสุสาน”

“ข้าไม่กลัว” หลินจื่อเซียนตอบ พ่อค้าจึงพยักหน้า “เจ้าไม่กลัว ถ้างั้นเจ้าก็เดินไปทางนั้นเลย สุสานอยู่สุดถนนนี้แหละ บ้านหลังที่ว่าก็อยู่ตรงข้างสุสาน ก่อนถึงสุสาน เจ้าจะมองเห็นบ้านที่มีสิงโตหินตั้งอยู่หน้าประตู เจ้าไปตกลงราคากันเองเถอะ บางทีป้าฉีเห็นเจ้าสองคนเป็นเด็กอาจจะใจดีให้พวกเจ้าอยู่เปล่าๆก็ได้ อันที่จริงป้าฉีมีลูกสาว แต่ลูกสาวนางตายไปหลายปีแล้ว”

“อ่อ ขอบคุณพี่ชายมาก” หลินจื่อเซียนกุมหมัดคารวะ แล้วก็จูงม้าเดินจากไป พ่อค้ามองตามแล้วก็หันไปสนใจค้าขายต่อ

เซี่ยจินเย่รีบไปจับมือพี่จื่อเซียน “พี่จื่อเซียน ท่านจะเช่าบ้านข้างสุสานจริงหรือ?”

หลินจื่อเซียนหันไปพูดว่า “ผีไม่น่ากลัวหรอก คนน่ากลัวกว่าเยอะ คนเลวๆ เจ้าก็เจอมาแล้วนี่”

เซี่ยจินเย่สะอึก พูดไม่ออก ใช่ ถูกของพี่จื่อเซียน คนเลวๆ น่ากลัวกว่าผียิ่งนัก

เมื่อเดินไปถึงบ้านที่มีสิงโตหิน หลินจื่อเซียนก็เดินไปเคาะห่วงบนบานประตู

รออยู่สักพัก ประตูก็เปิดออก แอ๊ดดดดด…

เสียงเปิดประตู ทำเซี่ยจินเย่สะดุ้งโหยง หลินจื่อเซียนกระตุกมุมปาก แหม เหมือนฉากหนังสยองขวัญเลยแฮะ

แล้วก็มีหญิงสูงอายุคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาจากหลังบานประตู โผล่มาแค่หน้าเท่านั้น ทำหลินจื่อเซียนยิ่งนึกขำ เหอๆๆ เอาซิ ฉากออกมายังเหมือนในหนังสยองขวัญเดะ!

“ใคร?” หญิงสูงอายุเปิดปากถาม หลินจื่อเซียนจึงบอกจุดประสงค์ว่า “ท่านป้า พวกข้ากำลังหาบ้านเช่า”

“มี” หญิงสูงวัยตอบคำเดียว แล้วก็เดินออกมาจากหลังบ้านประตู พูดว่า “ตามมา”

เซี่ยจินเย่ขยับเข้าไปจับมือหลินจื่อเซียนทันควัน หลินจื่อเซียนจึงกุมมือไว้ แล้วจูงม้าเดินตามหญิงสูงวัยไป

หญิงสูงวัยเดินเลาะไปด้านข้างสุสานจนกระทั่งถึงบ้านหลังหนึ่ง สภาพรกร้างดูน่ากลัวไม่น้อย หากเป็นคนขวัญอ่อน คงรีบเผ่นไปนานแล้ว เซี่ยจินเย่ยิ่งเบียดหลินจื่อเซียนอย่างกลัวๆ หญิงสูงวัยผลักประตูรั้วเปิดออก หันมาพูดว่า “ที่นี่แหละ”

“เท่าไหร่?” หลินจื่อเซียนถาม หญิงสูงวัยตอบว่า “พวกเจ้าอยู่เถอะ ข้าไม่เอาเงินหรอก”

“ขอบคุณท่านป้า” หลินจื่อเซียนกุมมือคารวะ เซี่ยจินเย่ก็กุมมือคารวะตาม ใจอยากจะไปอยู่ที่อื่น แต่จนใจที่ไม่มีเงิน “…”

“เรียกข้าว่าป้าฉีเถอะ” ป้าฉีบอก หลินจื่อเซียนจึงเรียก “ป้าฉี”

ป้าฉีก็ก้าวเท้านำเข้าไปในบ้าน พูดว่า “เมื่อก่อน ลูกสาวข้ากับลูกเขยอยู่กันที่นี่แหละ พอพวกเขาตายไป ก็ไม่มีใครอยู่”

“อ่อ” หลินจื่อเซียนพยักหน้ารับรู้ ป้าฉีก็เดินไปผลักประตูบ้านเปิดออก หลินจื่อเซียนจูงม้าไปผูกไว้ตรงคอกม้าเก่าที่มีสภาพรกร้าง แล้วก็เดินจูงมือเซี่ยจินเย่ให้ไปดูสภาพภายในบ้านด้วยกัน เซี่ยจินเย่ก็เกาะติดพี่จื่อเซียนตลอดเวลา

“บ่อน้ำอยู่นั่น นู้นห้องนอน นั่นห้องครัว” ป้าฉีแนะนำสถานที่อย่างง่ายๆ แล้วก็บอกว่า “พวกเจ้าถูเรือนเอาเองเถอะ ข้าไปล่ะ”

“ขอบคุณป้าฉี” หลินจื่อเซียนกุมมือคารวะ ป้าฉียิ้มรับแล้วก็เดินจากไป เซี่ยจินเย่มองตามแล้วหันไปมองพี่จื่อเซียน “พวกเราจะอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ?”

“จริง” หลินจื่อเซียนพยักหน้า แล้วพูดว่า “ทั้งเงียบสงบ ทั้งมีบริเวณกว้างขวาง พอที่จะให้เจ้าฝึกวิชาได้ ทำไมจะไม่อยู่ล่ะ?”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ฝึกวิชา’ เซี่ยจินเย่ก็ถามว่า “แล้วท่านจะสอนข้าอย่างไรหรือ?”

“ถูบ้าน ปัดฝุ่นก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเริ่มฝึกก็ยังไม่สาย” หลินจื่อเซียนบอก แล้วเดินเข้าไปภายในบ้าน เซี่ยจินเย่ก็เดินตามไปติดๆ

หลังจากนั้นสองสาวก็ช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูจนบ้านสะอาดทั้งหลัง

ความมืดโรยตัว หลินจื่อเซียนก็จุดตะเกียงดวงหนึ่ง แล้วหันไปพูดกับเซี่ยจินเย่ว่า “ข้าจะไปอาบน้ำ เจ้ารออยู่นี่แหละ”

“ข้าก็อยากอาบน้ำ ให้ข้าไปอาบด้วยนะเจ้าคะ” เซี่ยจินเย่รีบพูด หลายวันแล้วที่นางไม่ได้อาบน้ำ ได้แต่เช็ดตัว เมื่อมีบ้านมีห้องหับมิดชิดแล้ว นางก็อยากจะอาบน้ำล้างคราบใคลทั้งหลาย อีกทั้งก่อนฟ้ามืด นางยังตักน้ำจากบ่อมาใส่ไว้จนเต็มตุ่มแล้ว

“ก็ได้” หลินจื่อเซียนพยักหน้า เพราะเป็นผู้หญิงเหมือนกันจึงไม่ต้องอายอะไรกัน เซี่ยจินเย่จึงรีบตามไปติดๆ

เมื่อเข้าไปในห้องอาบน้ำที่มีเพียงฝาผนังกั้นไม่มีหลังคา หลินจื่อเซียนก็เงยหน้ามองฟ้าที่มีดาวเต็มฟ้า มองอยู่พักหนึ่งก็ก้มหน้าลงถอดเสื้อผ้าออก เซี่ยจินเย่ก็ถอดเสื้อผ้าออกเช่นกัน นางไม่รู้สึกเขินอายที่ต้องอาบน้ำร่วมกับคนอื่น เพราะเมื่อก่อนนางก็อาบน้ำร่วมกับท่านแม่เป็นประจำ

ที่นี่ไม่มีอ่างอาบน้ำ มีแต่ตุ่มดินเผาใส่น้ำ ดังนั้นการอาบน้ำจึงต้องตักอาบ หลินจื่อเซียนกลั้นใจตักน้ำราดตัว ซ่าๆ แล้วก็เอาผ้าผืนเล็กๆ ผืนหนึ่งมาถูตัว เพราะไม่มีสบู่ ไม่มีครีมอาบน้ำ จึงต้องใช้ผ้าถูๆ ตัวเอา เฮ้อ…คิดถึงของใช้ที่บ้านจัง

เซี่ยจินเย่ก็ขยับไปตักน้ำราดตัว “ฮู้ หนาว!”

หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ใส่เสื้อผ้าชุดเดิม สองสาวก็กลับไปที่ห้องนอน หลินจื่อเซียนก็บอกว่า “พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปซื้ออาภรณ์”

“เจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่ยิ้มดีใจ หลินจื่อเซียนจึงบอกว่า “เจ้านอนก่อนเถอะ ข้าจะนั่งสมาธิ”

“นั่งสมาธิ?” เซี่ยจินเย่ทำหน้างง หลินจื่อเซียนจึงอธิบายว่า “คือการฝึกจิตน่ะ”

“ฝึกจิต?” เซี่ยจินเย่ยิ่งขมวดคิ้วไม่เข้าใจ หลินจื่อเซียนก็หมดปัญญาที่จะอธิบายแล้ว จึงบอกว่า “เจ้านอนเถอะ ข้าจะนั่งฝึกฝนวิชาของข้า”

พอได้ยินคำว่า ‘ฝึกฝนวิชา’ เซี่ยจินเย่ก็พยักหน้าเข้าใจ “อ่อ เจ้าค่ะ”

หลินจื่อเซียนเดินไปนั่งที่พื้น หันหน้าออกไปทางประตูห้อง หันหลังให้เตียงนอน เซี่ยจินเย่มองตาปริบๆ มองไปมองมาก็ล้มตัวลงนอนมองแทน จนเคลิ้มหลับไป

หลินจื่อเซียนเริ่มเข้าสู่สภาวะฝึกจิต พลัน! ในห้วงสติก็ปรากฏเงาของราชันย์โอสถขึ้น หลินจื่อเซียนมองเงาราชันย์โอสถแล้วขมวดคิ้ว “อ้าว ยังอยู่เหรอ?”

“ชิๆ เจ้าเด็กนี่นี่!” ราชันย์โอสถจุ๊ปากอย่างขัดใจ หลินจื่อเซียนจึงมองราชันย์โอสถนิ่งๆ ไม่พูดอะไร จนในที่สุดราชันย์โอสถก็อดใจไม่ไหว เปิดปากขึ้นพูดว่า “ครั้งแรกที่เจ้าหลอมโอสถก็สามารถหลอมได้สำเร็จ ทำข้าตกใจจริงๆ”

หลินจื่อเซียนหรี่ตามอง แล้วคิดถึงรอยแยกเล็กๆ ที่มีสมุนไพรออกมา ของนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับอาจารย์ท่านนี้แน่นอน “ต้นหาวนั่น เป็นท่านให้ข้า?”

ราชันย์โอสถยืดอก “ย่อมเป็นข้าซิ”

“รอยแยกนั้นคืออะไร?” หลินจื่อเซียนถามอย่างตรงประเด็น ราชันย์โอสถยืดอกบอกอย่างภาคภูมิใจว่า “เป็นโลกใบเล็กของข้า ที่นั่นข้าปลูกสมุนไพรเอาไว้มากมายเชียวล่ะ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!