Skip to content

สตรีอ่วนป่วนสวรรค์ 10

  • by

Chapter 10

พยายามรักษาชีวิต

จนกระทั่งเจอเจ้าสำนักโอสถ เหนืออาคารหลังหนึ่ง จางอี้ปินรีบพุ่งไปหาเจ้าสำนักโอสถทันที “เจ้าสำนักโอสถ—”

เจ้าสำนักโอสถมองดู เขาเห็นจางอี้ปินพุ่งมาไวอย่างยิ่งจึงหยุดรอ

เมื่อจางอี้ปินไปถึงตรงหน้าเจ้าสำนักโอสถ เขารีบพูดอย่างร้อนใจว่า “ท่านต้องช่วยนางให้ได้นะ!”

เจ้าสำนักโอสถมองก้อนเนื้ออาบเลือดข้างๆ จางอี้ปิน เขาเบิกตาโตอย่างตกใจ “นี่!”

เขารีบผายมือนำทาง “เชิญที่เรือนข้า”

เขาพูดแล้วก็รีบพุ่งนำไปที่เรือนตัวเองทันที

จางอี้ปินพุ่งตามไปพร้อมกับร่างของจ้าวเป่าฉิน

เมื่อถึงเรือน เจ้าสำนักโอสถก็ชี้ไปที่ตั้งยาวตัวใหญ่ “วางนางตรงนั้น”

จางอี้ปินรีบวางจ้าวเป่าฉินลงบนตั่ง

เจ้าสำนักโอสถรีบตรวจอาการทันที เขาแตะนิ้วที่จุดชีพจร

จางอี้ปินยืนอยู่ข้างตั่งอย่างร้อนใจยิ่ง ศิษย์เขาจะตายไม่ได้นะ! เขาเพิ่งจะรับศิษย์คนแรก และไม่คิดจะรับใครเป็นศิษย์อีก

เจ้าสำนักโอสถตรวจอยู่พักใหญ่ก็ดึงมือกลับแล้วเอาโอสถออกมาหลายขวด เขาเปิดจุกขวดหนึ่งเทโอสถออกมา 1 เม็ดแล้วป้อนใส่ปากสตรีอ้วน

จางอี้ปินยืนมองอย่างร้อนใจ เขาไม่พูดไม่ถามอะไรทั้งนั้น เพราะยามนี้การรักษาจ้าวเป่าฉินต้องแข่งกับเวลาเท่านั้น ไม่อาจชักช้าไปแม้เพียงชั่วอึดใจ หากเขาถามก็จะทำให้การรักษาหยุดชะงักลง ดังนั้นเขาจึงรอ รออย่างร้อนใจยิ่ง!

เจ้าสำนักโอสถป้อนโอสถเสร็จแล้วก็ขยับไปจัดกระดูกแขนขาทั้งสี่ของนาง เขาดึงกร๊อบๆ อย่างไวยิ่ง

จ้าวเป่าฉินเจ็บปวดจนตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เธอไม่มีแม้แต่แรงจะส่งเสียงร้องสักแอ๊ะ เธอคิดแต่ว่าเมื่อไหร่เธอจะหลุดพ้นจากความเจ็บปวดทรมานนี้เสียที ให้เธอสลบหลับไปเลยได้ไหม!? มันเจ็บมาก! เจ็บมากจริงๆ นะ

เจ้าสำนักโอสถเห็นคนเจ็บยังหลงเหลือสติอยู่บ้างจึงเบาใจเล็กน้อย หากนางสลบไร้การตอบสนองใดๆ อาการนางคงสาหัสเกินกว่าที่เขาจะสามารถรักษาได้ เขาจัดกระดูกนางให้เข้าที่เข้าทางอย่างไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วลงมือรักษาบาดแผลเล็กใหญ่บนร่างนาง

จางอี้ปินยืนมองอย่างร้อนใจ เขามองดูการรักษาทุกขั้นตอนอย่างไม่ละสายตาสักนิด

เจ้าสำนักโอสถจัดการกับบาดแผลใหญ่เล็กทั่วร่างเสร็จแล้วก็หันไปหยิบโอสถอีกขวด เทโอสถออกมาแล้วป้อนใส่ปากสตรีอ้วน 1 เม็ด เมื่อป้อนโอสถแล้วเขาก็ถอยหลังไปนั่งปาดเหงื่ออย่างเหน็ดเหนื่อย ก็ตัวนางทั้งใหญ่ทั้งหนัก เขาต้องพลิกตัวนางไปมารักษาบาดแผลเล็กใหญ่เหล่านั้นจึงทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยมากจริงๆ

จางอี้ปินเห็นว่ารักษาบาดแผลเสร็จแล้วจึงเปิดปากถาม “นางเป็นเช่นไรบ้าง?”

“สาหัสนัก” เจ้าสำนักโอสถพูดออกมา 1 ประโยค

จางอี้ปินพยักหน้าเข้าใจ เขามองดูจ้าวเป่าฉินที่บัดนี้ทั้งตัวถูกพันด้วยผ้าปิดแผลเต็มไปหมด จนเห็นแต่ดวงตาเล็กๆ กับปากและรูจมูกเท่านั้น ผิวเนื้อนอกนั้นล้วนอยู่ใต้ผ้าปิดแผลทั้งสิ้น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ไยนางจึงบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้?” เจ้าสำนักโอสถถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “นางถูกคนรุมตีหรือไร?”

“ข้าก็ยังไม่รู้แน่ชัด รู้แต่ว่านางบาดเจ็บมากจึงได้รีบพามาหาท่านนี่แหละ” จางอี้ปินตอบ

“อ่อ” เจ้าสำนักโอสถพยักหน้ารับรู้

จางอี้ปินถอยไปนั่งที่เก้าอี้ ตาก็มองแต่จ้าวเป่าฉินอย่างเป็นห่วง

เจ้าสำนักโอสถขยับลุกไปแตะชีพจรตรวจดูอีกครั้งแล้วหยิบขวดโอสถมาเปิดจุกเทโอสถออกมา 1 เม็ดแล้วป้อนใส่ปากสตรีอ้วน

หลังจากกินโอสถนี้เข้าไปแล้วจ้าวเป่าฉินก็ผล๊อยหลับไป ไม่ต้องรับรู้ถึงความเจ็บปวดทรมานแล้ว

เวลาผ่านไป ทุกๆ 1 ชั่วโมง เจ้าสำนักโอสถก็จะป้อนโอสถให้สตรีอ้วนครั้งหนึ่ง

จางอี้ปินมองดูการรักษาอย่างใกล้ชิด

ศิษย์สำนักโอสถชะเง้อชะแง้อยู่ด้านนอก เมื่อสบโอกาสเห็นอาจารย์วางมือจากคนเจ็บแล้วเขาจึงก้าวเข้าไปกุมมือคารวะอาจารย์และคุณชายผมขาว เมื่อคารวะเสร็จแล้วเขาก็หันไปถามอาจารย์ว่า “ท่านอาจารย์ ผู้อาวุโสใหญ่ให้มาถามว่าจะจัดการกับเขตอาคมอย่างไรขอรับ?”

จางอี้ปินรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้อาคมป้องกันของสำนักโอสถพังทลายจึงกุมมือขออภัย “ขออภัยด้วย ข้าทำให้ท่านลำบากแล้ว”

“ไม่เป็นไรๆ ช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า ข้าเข้าใจดี” เจ้าสำนักโอสถโบกมือไปมาอย่างไม่เอาเรื่องเอาความ แล้วหันไปมองศิษย์ สั่งว่า “ให้ผู้อาวุโสทุกท่านออกมาช่วยกันซ่อมเขตอาคม รอให้คนเจ็บของข้าอาการดีแล้วข้าก็จะไปช่วยซ่อม ตอนนี้ข้ายังไม่อาจปลีกตัวไปได้ อาการนางยังเข้าขั้นตรีทูต”

เขาพูดจบแล้วก็โบกมือไล่ศิษย์

“ขอรับ” ศิษย์รับคำสั่งแล้วถอยออกไป

“รบกวนท่านแล้วๆ” จางอี้ปินพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ

“ไม่เป็นไรๆ ท่านกับข้าล้วนคนกันเองมิใช่หรือเกอเกอ” เจ้าสำนักโอสถพูดอย่างจริงใจ

จางอี้ปินจึงไม่พูดอะไรอีก แต่ในใจเขานั้นคิดคำนวณค่ารักษาเอาไว้ในใจแล้ว เขาไม่ชอบติดค้างบุญคุณผู้อื่น และไม่ชมชอบให้ผู้อื่นติดค้างบุญคุณเขา แต่หากใครก่อหนี้กับเขา เขาย่อมทวงคืนเป็นสิบเท่าร้อยเท่าตามแต่ใจเขาเห็นสมควร

ย้อนกลับไปที่ตำหนักเก้าชั้นฟ้า เมื่อจางอี้ปินพาสตรีอ้วนจากไปแล้ว เทียนจวินจึงเร่งจัดการซ่อมแซมเขตอาคมทันที เขาสั่งการทหารน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “เชิญเทพชั้นสูงที่อยู่ในตำหนักเก้าชั้นฟ้าทุกท่านออกมาช่วยกันซ่อมเขตอาคมเดี๋ยวนี้”

“ขอรับ” ทหารรับคำสั่งแล้วก็รีบวิ่งออกไป เขาถ่ายทอดคำสั่งของเทียนจวินให้ทหารคนอื่นรับรู้ จากนั้นเหล่าทหารก็รีบไปเชิญเทพชั้นสูงทั้งหลายออกมาช่วยซ่อมเขตอาคม

เสนาขวาวิ่งตุบตับๆ ไปถึงตรงที่เกิดเรื่อง เขามองๆ บริเวณโดยรอบแล้วยังไม่ถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ถามเทียนจวินว่า “เทียนจวิน จะให้ข้าน้อยไปตามจับชายผู้นั้นกลับมารับโทษหรือไม่พะย่ะค่ะ โทษฐานที่ทำลายเขตอาคมของตำหนักเก้าชั้นฟ้าเป็นโทษหนักต้องประหารเก้าชั่วโคตร…”

“เพ้ย! ตามจับมารดาเจ้าซิ!” เทียนจวินด่าอย่างโมโห

เสนาขวาสะดุ้ง อึ้งงันไป

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดทำลายเขตอาคม?” เทียนจวินถาม

เสนาขวาส่ายศีรษะ เขาไม่อยู่ในเหตุการณ์อีกทั้งไม่เห็นหน้าตาผู้ทำลายเขตอาคม ตอนที่ทหารไปรายงานเรื่องราวเขากำลังนอนพักผ่อนอยู่ เมื่อรู้เรื่องราวคร่าวๆ จึงได้รีบแต่งตัวแล้ววิ่งมานี่แหละ อาภรณ์จึงไม่ค่อยเรียบร้อยนัก เสื้อคลุมตัวนอกเอียงเย้ หมวกบนศีรษะก็เอียง

เทียนจวินกวักมือเรียก

เสนาขวาจึงขยับเข้าไปใกล้ๆ เทียนจวิน

เทียนจวินกระซิบกระซาบข้างหูเสนาขวาหนึ่งประโยค “เขาก็คือ……..”

เมื่อฟังจบแล้วเสนาขวาก็เบิกตาโต ไม่มีความคิดที่จะไปจับคนที่ทำลายเขตอาคมอีก การไปเอาเรื่องกับคนผู้นั้นมีแต่เสียกับเสีย ไม่คุ้มจริงๆ ไม่คุ้มอย่างยิ่ง!

เขาก้าวถอยไป สีหน้ากระอักกระอ่วนไม่น่าดูนัก

“เจ้านำทหารไปลาดตะเวนรักษาความปลอดภัยโดยรอบก่อน คอยเฝ้าระวังพวกมารอาจจะฉวยโอกาสนี้เล็ดลอดเข้ามาสร้างความวุ่นวายในตำหนักเก้าชั้นฟ้า” เทียนจวินสั่งเสนาขวา

“พะย่ะค่ะ” เสนาขวารับคำสั่งแล้วรีบถอยไป

ผู้คนก็ซุบซิบคุยกันเสียงดังหึ่งๆ เหมือนฝูงผึ้ง

เทียนจวินมองเลือดที่เปื้อนพื้นอย่างรู้สึกผิดแล้วก็ตัดใจรีบไปซ่อมเขตอาคมก่อน

ผู้คนมองๆ อยู่พักใหญ่แล้วก็แยกย้ายกันไป

ณ สำนักโอสถ เหล่าผู้อาวุโสก็ออกมาช่วยกันซ่อมเขตอาคมพลางพูดคุยถามไถ่ถึงสาเหตุที่ทำให้เขตอาคมพังทลาย

เมื่อรู้สาเหตุแล้วพวกเขาก็ไม่ติดใจเอาความ ก็ช่วยชีวิตคนย่อมสำคัญนี่นา ต่อให้เป็นชีวิตเล็กๆ ของสัตว์พวกเขาก็ไม่เคยปล่อยผ่าน หากช่วยได้ย่อมช่วยเหลือจนถึงที่สุด

เจ้าสำนักโอสถกับจางอี้ปินก็ยังเฝ้าอยู่ข้างตั่งอย่างใกล้ชิดยิ่ง พวกเขาไม่อาจละสายตาจากคนเจ็บแม้เสี้ยวอึดใจ ยิ่งเจ้าสำนักโอสถยิ่งรู้ว่าไม่อาจละสายตาได้เลย คนเจ็บอาการสาหัสมาก หนทางรอดชีวิตมีแค่ 5% เท่านั้น หากนางเป็นเทพเขายังมีความมั่นใจว่าจะรักษาชีวิตนางได้ถึง 1 ส่วน 10 แต่นี่นางเป็นครึ่งเทพ ความมั่นใจของเขาจึงเหลือน้อยนิดเหลือเกิน

เขาคอยป้อนโอสถให้นางทุกๆ 1 ชั่วโมง จาก 1 ชั่วโมงก็หดลงเหลือครึ่งชั่วโมงแล้ว

ครั้นเวลาผ่านไป เจ้าสำนักโอสถก็ต้องป้อนโอสถให้นางทุกๆ 15 นาทีแล้ว เพราะนางเป็นครึ่งเทพ โอสถระดับเทพจึงไม่อาจใช้กับนางได้ เขาจึงได้แต่ใช้โอสถระดับมนุษย์กับนาง โอสถระดับมนุษย์ก็มีฤทธิ์อ่อนไปสำหรับนาง ดังนั้นจึงได้แต่เพิ่มปริมาณโอสถให้มากขึ้นให้เหมาะสมกับร่างกายของนาง

เมื่อเวลาผ่านไปอีก เขาก็คอยป้อนโอสถให้นางทุกๆ 5 นาทีแล้ว

เวลาผ่านไป 1 วัน 1 คืน เจ้าสำนักโอสถตรวจอาการแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่คนเจ็บของเขารอดพ้นความตายมาได้เสียที เขาดึงมือกลับแล้วหันไปพยักเพยิดหน้ากับจางอี้ปิน

จางอี้ปินเข้าใจความหมายจึงรู้สึกโล่งอกตาม เขานั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย เป๋าเป้ยรอดแล้ว!

แม้ว่าคนเจ็บจะรอดพ้นจากอาการเข้าขั้นตรีทูตมาได้ แต่เจ้าสำนักโอสถก็ยังไม่วางใจ เขายังคงเฝ้าอาการคนเจ็บอย่างใกล้ชิด ไม่อาจปล่อยปละละเลยแม้ชั่วอึดใจ เขาทุ่มเทกับการรักษาคนเจ็บทุกคนเช่นนี้แหละ ดังนั้นเขาจึงคอยสอนสั่งศิษย์ทุกคนให้ทุ่มเทกับการรักษาคนเจ็บทุกคนอย่างถึงที่สุด หากคนเจ็บยังหายใจอยู่ต้องพยายามช่วยให้สุดความสามารถ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง

จ้าวเป่าฉินรู้สึกตัวลืมตาขึ้น ความเจ็บปวดก็พุ่งพรวดขึ้นมาทำเธอน้ำตาเล็ดเลยทีเดียว “โอย…”

จางอี้ปินได้ยินเสียงร้อง เขารีบลุกพรวดไปถึงข้างตั่งในชั่วพริบตา

“เป๋าเป้ย!” เขาเรียกอย่างดีใจ โล่งใจ ร้อนใจ เป็นห่วงเป็นใย ความรู้สึกต่างๆ ผสมปนเปไปหมด

“เป๋าเป้ย*?” เจ้าสำนักโอสถทวนคำเสียงเบา แล้วมองจางอี้ปินอย่างตะลึง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสตรีอ้วนผู้นี้จะเป็นคนรักของจางอี้ปิน อา…คิดไม่ถึงจริงๆ

(เป๋าเป้ย 宝贝 แทนความหมายได้หลายอย่าง ใช้เรียก คนรัก ก็ได้ ใช้เรียก ลูกรัก ก็ได้ ใช้เรียกสิ่งของที่เป็น ของรัก ก็ได้)

ทำให้เขามองสตรีอ้วนอย่างพินิจพิจารณาว่านางมีดีอันใดถึงผูกมัดใจจางอี้ปินได้? บุรุษรูปงามเช่นจางอี้ปินเหตุใดจึงเลือกสตรีนางนี้เป็นคนรักเล่า?

จ้าวเป่าฉินพยายามลืมตามองอาจารย์ ทั้งพยายามส่งเสียง “อา…”

แต่แค่ส่งเสียงออกไปคำเดียวก็เจ็บร้าวไปทั้งร่างแล้ว เจ็บจนเหมือนตัวจะระเบิดแตกออกได้ยังไงอย่างงั้น คำต่อมาที่พูดออกไปจึงเป็นคำว่า “…เจ็บ”

“โอ เจ็บหรือเป๋าเป้ย?” จางอี้ปินอุทานอย่างเป็นห่วง เขาหันไปมองเจ้าสำนักโอสถแล้วพูดว่า “เจ้าสำนักฯ นางเจ็บ”

เจ้าสำนักโอสถเข้าใจความหมายของจางอี้ปินดี คือหมายความว่าให้เขาช่วยทำให้นางไม่รู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นเขาจึงลุกจากเก้าอี้ไปหยิบขวดโอสถบนชั้นแล้วเทโอสถออกมา 1 เม็ดแล้วเดินไปที่ข้างตั่ง ก้มลงไปป้อนโอสถให้นาง

จ้าวเป่าฉินกลืนโอสถลงไปแล้ว สักพักรู้สึกว่าความเจ็บปวดบรรเทาลงไปนิดหนึ่ง เธอจึงอ้าปากพูดว่า “หิว”

“โอ…” จางอี้ปินส่งเสียงคำหนึ่ง ปกติแล้วเป๋าเป้ยกินวันละ 3 มื้อ แต่นี่นางไม่ได้กินอะไรมา 2 วัน 1 คืนแล้ว ย่อมหิวซินะ

“เอ่อ…” เจ้าสำนักโอสถรู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมา เขาควรจะทึ่งดีหรือขำดีล่ะ คนเจ็บคนอื่นฟื้นขึ้นมาส่วนใหญ่แล้วมักจะสนใจอาการเจ็บป่วยของตัวเองเป็นอันดับแรก แต่สตรีผู้นี้กลับนึกถึงอาหารเป็นอันดับแรก ฮ่าๆๆๆ

เขาจึงหันไปกวักมือเรียกศิษย์ “เจ้ามานี่”

“ขอรับ” ศิษย์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเดินเข้าไปหา

“เจ้าไปบอกพ่อครัวให้ต้มโจ๊กมาชามหนึ่ง” เจ้าสำนักฯ สั่ง

“ขอรับ” ศิษย์รับคำสั่งแล้วถอยออกไป

จางอี้ปินอยากจะลูบแก้มศิษย์ปลอบประโลม แต่ตัวนางถูกพันผ้าจนเขาไม่กล้าแตะต้องเลย กลัวว่าจะยิ่งทำให้นางเจ็บ เขาจึงได้แต่ใช้สายตาปลอบประโลม “อดทนนะเป๋าเป้ย อดทน”

“อื้ม” จ้าวเป่าฉินส่งเสียงได้คำเดียวแล้วเบ้หน้าเพราะความเจ็บ

ราวครึ่งชั่วโมง ศิษย์ก็ถือชามโจ๊กเข้ามา เขาเดินไปจนชิดตั่งแล้ววางโจ๊กไว้บนโต๊ะข้างตั่ง เขาหันไปกวักมือเรียกศิษย์น้อง “พวกเจ้ามานี่ มาช่วยพยุงแม่นางขึ้นที ข้าจะป้อนโจ๊กให้นาง”

“ขอรับศิษย์พี่” ศิษย์น้องรับคำสั่งแล้วพากันเดินเข้าไป ก็เรื่องป้อนโจ๊กให้คนเจ็บจะให้อาจารย์ทำได้หรือ ไม่ได้!

พวกศิษย์น้องหลายคนก้าวไปรุมล้อมรอบตั่งแล้วค่อยๆ ช่วยกันพยุงตัวสตรีอ้วนขึ้นมา

“โอย…” จ้าวเป่าฉินร้องออกมาเพราะความเจ็บ เธอเจ็บจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว

ศิษย์อีกสองสามคนก็รีบเอาหมอนสอดหลังให้สตรีอ้วนได้นั่งพิง จากนั้นศิษย์พี่ก็ตักโจ๊กป้อน

เจ้าสำนักโอสถนั่งดูอยู่ตลอดเวลา

จางอี้ปินก็มองอย่างเป็นห่วง

ศิษย์พี่รู้สึกเกร็งๆ ขึ้นมาที่ตกเป็นเป้าสายตาของอาจารย์และบุรุษผมขาว แต่เขาก็พยายามค่อยๆ ป้อนโจ๊กให้สตรีอ้วนทีละคำ…ทีละคำ

จ้าวเป่าฉินพยายามอ้าปากกินโจ๊กลงไป โจ๊กไม่เลิศรสเหมือนที่เธอทำ แต่รสชาติก็จัดว่าอร่อย เธอจึงกินได้มากหน่อย

จางอี้ปินหันไปมองเจ้าสำนักโอสถแล้วถามว่า “ท่านมีบ่าวสตรีหรือไม่?”

“ย่อมมี” เจ้าสำนักฯ ตอบ เขาเข้าใจความหมายของจางอี้ปินดี ก็สตรีอ้วนเป็นสตรี เรื่องบางเรื่องจะให้บุรุษมาดูแลได้อย่างไร เขาจึงหันไปสั่งศิษย์ว่า “เจ้าไปตามบ่าวสตรีรูปร่างสูงใหญ่มาสักหลายๆ คนหน่อย”

“ขอรับ” ศิษย์รับคำสั่งแล้วรีบออกไปทันที

จางอี้ปินกุมมือขอบคุณ

เจ้าสำนักโอสถโบกมือทำนองว่า ไม่เป็นไร

เมื่อป้อนโจ๊กป้อนน้ำเสร็จแล้วพวกศิษย์ก็ถอยออกไปหมด

จ้าวเป่าฉินได้นั่งพิงหมอน อีกทั้งได้กินอิ่มแล้วจึงรู้สึกดีขึ้นมาก อาการวิงเวียนเพราะหิวจึงบรรเทาลงไป

เธอก้มมองตัวเอง เห็นผ้าพันทั้งตัวทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมัมมี่ยังไงอย่างงั้น เธอพยายามขยับแขนขา เมื่อขยับนิดเดียวก็เจ็บจนน้ำตาไหลแล้ว แต่เธอก็ดีใจที่ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าทั้งสี่ยังเคลื่อนไหวได้ นั่นหมายถึงว่าเธอจะไม่เป็นอัมพาต รอให้แผลหาย ทำกายภาพแล้วเธอก็จะกลับมาเดินได้เหมือนเดิม

บ่าวสตรี 8 คนเดินเข้ามาคารวะท่านเจ้าสำนัก “ท่านเจ้าสำนัก”

“พวกเจ้าคอยดูแลนางให้ดี” เจ้าสำนักโอสถสั่ง ชี้นิ้วไปที่สตรีอ้วน

“เจ้าค่ะ” บ่าวทั้ง 8 รับคำสั่งพร้อมเพรียง พวกนางมองไปที่สตรีอ้วนเป็นตาเดียวแล้วเก็บสายตากลับ ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ออกมา สมกับที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

จางอี้ปินมองบ่าวทั้ง 8 แล้วก็เบาใจ นับว่าทางสำนักโอสถจัดการได้ดี เขาคำนวณค่ารักษาค่าดูแลต่างๆ เพิ่มเข้าไปในใจ

จ้าวเป่าฉินซึ่งกินอิ่มมาสักพัก ก็รู้สึกอยากถ่ายเบาขึ้นมา เธอจึงส่งเสียงบอก “ข้า…อยาก…ถ่าย…เบา”

เธอพยายามพูดออกไปอย่างเจ็บปวดแผลทำให้คำพูดกระท่อนกระแท่น

บ่าวทั้ง 8 ได้ยินคนเจ็บบอกเช่นนั้น บ่าวคนหนึ่งก็หันไปผายมือ “เชิญท่านเจ้าสำนักกับคุณชายออกไปก่อนเจ้าค่ะ”

เจ้าสำนักฯ กับจางอี้ปินจึงเดินออกจากห้องไป

บ่าวคนหนึ่งเดินไปปิดประตู บ่าวคนอื่นๆ ก็จัดแจงเรื่องราวได้ดี

จ้าวเป่าฉินไม่ต้องสั่งอะไรมากความ ไม่นานนักเธอก็ได้ถ่ายเบาจนรู้สึกโล่งสบายตัว

บ่าวก็จัดการเรื่องราวอย่างดี แล้วเดินไปเปิดประตูรายงานท่านเจ้าสำนักฯ ว่า “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

“อืม” เจ้าสำนักฯ พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง เขาเดินไปตรวจคนเจ็บ แล้วก็ป้อนโอสถให้นางอีก

จ้าวเป่าฉินกลืนโอสถลงไป แม้จะรู้สึกขมๆ ก็อดทนฝืนกินลงไป โอสถแก้ปวดของท่านเจ้าสำนักไม่ช่วยอะไรมาก ทำให้เธอคิดถึงมอร์ฟีนของโลกบ้านเกิดมาก นี่ถ้าฉีดมอร์ฟีนเข้าไปเธอก็ไม่ปวดแล้ว แต่ทำไงได้ล่ะ คนที่นี่ไม่มีมอร์ฟีนนี่นา เฮ้อ…

“ท่านจ้าวสำนักขอรับ เอ่อ เรื่องรับศิษย์ใหม่ปีนี้” ผู้อาวุโสใหญ่เดินมายืนอยู่ตรงหน้าประตูพูดขึ้นมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!