Skip to content

สตรีอ้วนป่วนสวรรค์ 1

  • by

9 ตุลาคม 2565

สตรีอ้วนป่วนสวรรค์

Chapter 1 ผิดคน

เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่น จ้าวเป่าฉิน (赵宝琴) ควานมือไปอย่างงัวเงีย เมื่อเจอนาฬิกาปลุกที่กำลังแผดเสียงก็กดปิดแล้วหดมือกลับเข้าไปในผ้าห่มแล้วหลับต่อ “อืม…”

เวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง จนกระทั่งเสียงมือถือดังลั่นเธอจึงควานมือไปหยิบมือถือมา เผยอตาขึ้นนิดหนึ่งมองหน้าจอแล้วเลื่อนหน้าจอรับสาย “ฮาโหล…”

“นี่ เป๋าเป้ย(宝贝) จนป่านนี้แล้วเธอยังไม่โผล่หัวมาอีกเหรอ? ถ้าอีกครึ่งชั่วโมงเธอยังไม่ส่งรายงาน เธอตายแน่!”

เสียงปลายสายแผดเสียงตะโกนดังลั่นทำให้เป๋าเป้ยหรือจ้าวเป่าฉินเบิกตาโพลง! “เชี่ยแล้ว!”

จ้าวเป่าฉินลุกพรวดหันขวับไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง ครั้นเห็นว่าเป็นเวลา 10 โมงกว่าเธอก็รีบพูดตอบทันที “พี่เหยา พี่ถ่วงเวลาให้ฉันหน่อยนะ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”

“จะพยายามละกัน รีบมาล่ะ”

จากนั้นสายก็ตัดไป จ้าวเป่าฉินรีบกระโจนลงจากเตียงอย่างว่องไวสุดชีวิต ชนิดว่าน้ำท่าไม่ทันอาบ รีบคว้าเสื้อกับกางเกงขายาวมาสวมอย่างลวกๆ แล้วพุ่งตรงไปยังโต๊ะทำงาน คว้าปึกรายงานที่ปริ๊นเอาไว้เมื่อคืนหยิบไปทั้งปึกยัดใส่กระเป๋าแล้วรีบวิ่งไปใส่รองเท้า คว้ากุญแจมอเตอร์ไซต์คู่ชีพแล้วออกจากห้องพักไปอย่างเร่งรีบ เธอวิ่งตึกๆ ไปอย่างเร่งร้อน

“หลบหน่อยๆ” เธอตะโกนลั่นบอกคนที่เดินขวางทางเธอ

คนสามสี่คนหันไปมองแล้วรีบหลบจนตัวแทบจะติดผนัง พวกเขายังไม่อยากถูกอีอ้วนเกือบ 200 โลนี่ชนเอาหรอกนะ

“วะ อีอ้วน มึงจะรีบไปไหนนักหนา!?”

เสียงด่าตามหลังทำให้จ้าวเป่าฉินหันไปมองแวบหนึ่งอย่างฝากไว้ก่อน ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบไปจริงๆ เธอคงหันไปตบปากไอ้คนปากหมาคนนั้นที่เรียกเธอว่าอีอ้วนแล้วล่ะ หนอย! คำก็อีอ้วน สองคำก็อีอ้วน อ้วนแล้วหนักหัวใครวะ!

เธอพุ่งไปถึงลิฟท์ก็กดลิฟท์ทันที

คนสามสี่คนนั้นไม่อยากใช้ลิฟท์ร่วมกับอีอ้วนจึงไม่รีบเดินไป ก็อีอ้วนคนเดียวก็เกือบจะเต็มลิฟท์เล็กๆ นั่นแล้ว ใครมันจะอยากไปเบียดด้วยล่ะ

เมื่อลิฟท์เปิดออก จ้าวเป่าฉินก็รีบเข้าไปในลิฟท์แล้วกดปิดทันที เธอรู้ว่าคนพวกนั้นก็ไม่เคยใช้ลิฟท์ร่วมกับเธออยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงใช้ลิฟท์คนเดียวตลอด

จนกระทั่งลิฟท์ลงไปถึงชั้น G เธอก็รีบวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซต์คู่ชีพ คว้าหมวกกันน็อคใส่เรียบร้อยแล้วก็เสียบกุญแจรถแล้วขี่ออกไปทันที เธอเร่งรีบจนคนอื่นๆ หันไปมองเป็นตาเดียว แล้วก็ส่ายหน้า มอเตอร์ไซต์ขนาดมาตรฐานกับคนอ้วนหนักเกือบ 200 โล ทำให้มอเตอร์ไซต์ดูคันเล็กไปเลย

จ้าวเป่าฉินขี่มอเตอร์ไซต์ไปอย่างเร่งรีบมาก แม้ว่าการจราจรจะไม่ติดขัดมากนักแต่เธอก็ยังบิดอย่างเร็ว ปาดซ้ายปาดขวาแซงรถคันอื่นบนท้องถนนไปอย่างเร่งรีบมาก เธอแซงซ้ายแซงขวาจนรถคันหลังด่าบรรพบุรุษของเธอ 18 ชั่วโคตรแล้ว

ขณะที่กำลังขับไปบนสะพานข้ามแม่น้ำ จู่ๆ รถคันหนึ่งก็หักแซงรถคันข้างหน้าออกมา ทำให้จ้าวเป่าฉินร้องลั่น “เฮ้ย!”

ด้วยความตกใจทำให้เธอหักมอเตอร์ไซต์หลบ มอเตอร์ไซต์สีน้ำเงินจึงพุ่งขึ้นไปบนขอบกั้นราวสะพานแล้วพุ่งลอยละลิ่วลงสู่แม่น้ำ

“เหวอ—” จ้าวเป่าฉินร้องลั่น ตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น ยังไม่ทันได้คิดอะไรมอเตอร์ไซต์ก็ตกลงไปในน้ำแล้ว ตูม—

บนสะพาน รถเบรกกันดังลั่น ผู้คนตะโกนด้วยความตกใจ

“เฮ้ย!”

“ว๊าย!”

“รถตกสะพาน!”

ฯลฯ

จ้าวเป่าฉินถูกน้ำกระแทกจนมึนไปชั่วขณะ ตัวเธอจมลงไปในน้ำพร้อมกับรถมอเตอร์ไซต์คู่ชีพ เธอปล่อยมือจากแฮนด์มอเตอร์ไซต์ แล้วพยายามจะว่ายน้ำขึ้นไป แต่เธอกลับจมลงไปเรื่อยๆ สายน้ำก็ขุ่นจนมองไม่เห็นอะไรมาก เธอรู้สึกว่ามีอะไรถ่วงตัวเธอเอาไว้ เธอจึงพยายามสลัดมันออกไป แต่ก็ไม่หลุด ยิ่งดิ้น อากาศก็ยิ่งลอยขึ้นไปเป็นฟองบุ๋งๆ เธอสำลักน้ำแล้ว ราว 2 นาทีต่อมาทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับมืดไป

“แม่นางๆ ลุกได้แล้ว”

เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับความรู้สึกเหมือนที่แขนถูกใครจิ้มๆ ทำให้จ้าวเป่าฉินลืมตาขึ้นมอง ภาพแรกที่มองเห็นคือดวงตาสีดำ ดำราวกับก้นบ่อน้ำลึกที่ลึกมากๆ ลึกจนมองไม่เห็นก้นบ่อ

“นี่ๆ รีบลุกได้แล้ว”

จ้าวเป่าฉินเหลือบตามองริมฝีปากสีแดงที่แดงอย่างกับทาลิปติกสีแดงสด เมื่อเธอโฟกัสสายตาดีๆ ก็เห็นว่าคนที่พูดนั้นมีใบหน้าโคตรหล่อ หล่อเหมือนดาราดัง โครงหน้าแบบว่าเบ้าหน้าฟ้าประทานชัดๆ ทำให้คำแรกที่เธอพูดออกมาคือ “หล่ออ่ะ”

คนๆ นั้นยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ตื่นแล้วก็รีบลุก ข้าจะได้หมดหน้าที่เสียที”

จ้าวเป่าฉินลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆ ตัว เธอมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมิด เหมือนกับว่ามีแสงเฉพาะรอบตัวเธอกับคนหล่อคนนี้เท่านั้น ดังนั้นคำถามแรกที่เธอถามออกไปคือ “ที่นี่ที่ไหน?”

คนหล่อเหมือนจะคุ้นเคยกับคำถามประเภทนี้จึงตอบอย่างเย็นชาว่า “ที่นี่คือยมโลก”

“ยมโลก!?” จ้าวเป่าฉินตะโกนลั่นอย่างไม่เชื่อ

คนหล่อจึงบอกว่า “ข้าคือยมทูต ส่วนเจ้าตายแล้ว ข้ามาพาเจ้าไปรอตัดสินว่าจะไปสวรรค์หรือไปนรก เอ้า รีบลุกได้แล้ว แล้วตามข้ามา”

จ้าวเป่าฉินมองยมทูตอย่างเหลือเชื่อ “ฉันตายแล้ว!?”

“ก็ตายแล้วนะซิ เจ้าขี่รถมอเตอร์ไซต์ตกแม่น้ำ เจ้าถูกรถถ่วงลงก้นแม่น้ำไม่อาจว่ายขึ้นไปได้ แค่ 5 นาทีเจ้าหมดสติแล้ว อีก 5 นาทีต่อมาเจ้าก็ตายแล้ว” ยมทูตบอกอย่างเย็นชา

จ้าวเป่าฉินอ้าปากค้าง พลัน! ความทรงจำก็หวนขึ้นมา เธอจำได้แล้ว เธอขี่มอเตอร์ไซต์ตกแม่น้ำจริงๆ

“จำได้แล้วซินะ” ยมทูตพูดขึ้นมา

จ้าวเป่าฉินพยักหน้า

ยมทูตจึงบอกว่า “ตามข้ามา”

เขาพูดจบแล้วก็เดินนำหน้าไป

จ้าวเป่าฉินไม่อยากเดินตามเขาไปแต่ร่างกายของเธอกลับก้าวขาเดินตามเขาไปเอง เธอพยายามบังคับขาตัวเองแต่ก็ไม่อาจบังคับได้ เหมือนกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างเธออย่างงั้นแหละ “นี่!”

“ตามมาเถอะ เจ้าไม่อาจขัดคำสั่งข้าได้หรอก” ยมทูตบอกอย่างเย็นชาเช่นเดิม แล้วเดินนำหน้าไป

จ้าวเป่าฉินก้าวตามไปอย่างไม่อาจบังคับตัวเองได้เลย บ้าเอ้ย! นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?

เธอเดินตามยมทูตไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเดินอยู่นานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเดินๆๆ เดินตามยมทูตสุดหล่อคนนั้นไปอย่างเดียวเท่านั้น รอบด้านก็มืดมาก มืดจนมองไม่เห็นอะไรเลย เธอเห็นแค่ยมทูตคนนั้นเท่านั้น เบื้องหน้าก็มืดมาก มืดสนิทยังกับไร้แสงทุกสิ่งทุกอย่าง มีแต่ความมืดกับมืดเท่านั้น พอเธอจะอ้าปากถาม ยมทูตก็พูดว่า “ไม่ต้องถาม ไม่ต้องพูด ตามข้ามา”

ปากเธอก็เหมือนจะอ้าไม่ขึ้นแล้ว เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนีโอ* ที่ถูกปิดปากในหนังเรื่อง The Matrix ยังไงอย่างงั้นแหละ ทำเธอด่าอยู่ในใจ โว๊ย! เกิดอะไรขึ้น!? นี่มันอะไรกันวะ!

(นีโอ คือตัวเอกในภาพยนตร์เรื่อง The Matrix เข้าฉายวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ.1999)

จนกระทั่งเบื้องหน้าปรากฏแสงขึ้นเป็นจุดเล็กๆ เหมือนแสงที่ลอดรูเล็กๆ ในห้องมืดยังไงอย่างงั้น แล้วแสงนั้นก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ไม่ใช่ซิ ที่ถูกควรจะบอกว่าเธอกับอีตายมทูตเย็นชานี่กำลังเดินเข้าไปหาแสงนั้นมากกว่า เธอกับเขาเดินเข้าไปใกล้แสงนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าเบื้องหน้านั้นคืออาคารใหญ่โตโอ่อ่า ซึ่งดูๆ แล้วน่าจะใหญ่พอๆ กับอาคารสนามบินในปักกิ่งรวมกันซัก 10 อาคารนั่นแหละ

เมื่อเห็นขนาดของอาคารแล้วก็ทำให้จ้าวเป่าฉินเบิกตาโตเท่าไข่ห่านแล้ว โห! ใหญ่มาก!

ยมทูตเดินนำหน้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงหน้าประตู เหนือประตูมีป้ายเขียนว่า ‘วิญญาณใหม่’

เขาชี้ไปที่ประตูนั้นแล้วสั่งว่า “เข้าไปซิ”

จ้าวเป่าฉินก้าวผ่านเขาไป เดินเข้าประตูไปอย่างไม่อาจขัดขืนได้เลย เธอเดินผ่านประตูไปแล้วจึงเห็นคนยืนต่อแถวยาวเหยียดมาก ทำเธอบ่นในใจ โห! ต้องรอนานเท่าไหร่วะ?

เธออยากจะเดินไปทางอื่น แต่ก็ไม่อาจเดินไปได้ เท้าของเธอเหมือนถูกตรึงเอาไว้กับพื้นงั้นแหละ ทำได้เพียงก้าวตามคนข้างหน้าไปเท่านั้น เมื่อเธอเหลียวไปมองข้างหลังก็พบว่าอีตายมทูตสุดหล่อไม่อยู่แล้ว เรียกว่าพอส่งเธอเสร็จแล้วเขาก็รีบไปเลยซินะ คนอะไรโคตรหล่อแต่โคตรๆ เย็นชาเลยอ่ะ คนแบบนี้คงจะหาแฟนลำบากสุดๆ เลยมั้ง ก็ผู้หญิงที่ไหนจะอยากได้แฟนโคตรเย็นชาล่ะ ต่อให้หล่อขนาดนั้นถ้าให้เขามาเป็นแฟนเธอ เธอก็ไม่เอาด้วยคนล่ะ ขี้เกียจต้องคอยเอาใจคนอื่นอ่ะ

ขณะที่เธอกำลังคิดๆ อะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงพูดว่า “บอกชื่อแซ่เจ้ามา”

จ้าวเป่าฉินชะงักกึก เธอมองไปตรงหน้าก็พบว่าแถวยาวๆ หายไปหมดแล้ว ขณะนี้เธอกำลังยืนอยู่ตรงหน้าชายคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บนแท่นยกพื้นสูง ด้านข้างชายคนนั้นมีผู้ชายอีกสี่คนนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ 4 ตัวที่ดูเหมือนโต๊ะทำงาน แต่โต๊ะทำงาน 4 ตัวนี้เป็นโต๊ะที่ทำมาจากวัสดุอะไรเธอก็ไม่อาจบอกได้ดูขาวๆ คล้ายหยกแต่มีแสงเหลือบๆ เหมือนไข่มุก ถ้าจะบอกว่าเป็นโต๊ะที่ทำมาจากไข่มุกก็คงเป็นไข่มุกที่ใหญ่มาก

“เอ้า บอกชื่อแซ่เจ้ามา” เสียงพูดดังขึ้นอีกครั้ง จ้าวเป่าฉินจึงหันไปมองตามเสียง แล้วเธอก็พบว่าคนพูดคือคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทางฝั่งซ้ายมือของเธอ เธอมองเขา กะพริบตาปริบๆ คนๆ นั้นจึงพูดน้ำเสียงเข้มว่า “ยังไม่บอกชื่อแซ่อีก”

จ้าวเป่าฉินมองคนๆ นั้นแล้วถามว่า “ทำไมฉันต้องบอกชื่อกับคุณด้วยล่ะ?”

“ข้าจะได้ตรวจสอบว่าเจ้าชื่อแซ่ตรงกับในบัญชีหรือไม่น่ะซิ หากเจ้าโกหก ข้าจะได้เพิ่มความผิดให้เจ้าเพิ่มขึ้นอีก 1 ข้อ”

จ้าวเป่าฉินมองชายคนนั้นแล้วหันไปมองคนอื่นๆ ซึ่งทุกคนล้วนหน้าตาหล่อกันทุกคน ทำเธออดคิดไม่ได้ว่า หรือว่ายมโลกจะคัดคนทำงานด้วยหน้าตาอ่ะ แบบว่าหล่อๆ กันทั้งนั้นเลยง่ะ ขอฉันสมัครเป็นพนักงานซักคนได้ป่ะ?

“สตรีอ้วน เจ้าบอกชื่อแซ่มาเถอะ ข้าจะได้ตัดสินว่าเจ้าควรจะไปนรกหรือสวรรค์ตามความดีความชั่วของเจ้า” ชายที่นั่งอยู่บนแท่นยกสูงพูดขึ้นมา จ้าวเป่าฉินหันไปมองเขาแล้วถามว่า “คุณคือ?”

“ข้าคือเหยียนหลัวหวาง*” เหยียนหลัวหวางตอบ จ้าวเป่าฉินมองเขาแล้วมองคนอื่นๆ อีก 4 คน เธอเบนสายตากลับไปมองเหยียนหลัวหวางอีกครั้ง พูดว่า “ฉันแซ่จ้าว ชื่อเป่าฉิน”

(เหยียนหลัวหวาง ก็คือพยายมราช)

“จ้าวเป่าฉิน” ยมทูตคนเดิมทวนชื่อแซ่แล้วมองบนโต๊ะ พูดว่า “เจ้าเกิดที่เมืองจงซาน มณฑลกวางตุ้ง เกิดเมื่อวันที่ 11 เดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1997 เวลา 9 โมงเช้า”

จ้าวเป่าฉินหรี่ตาลง “ไม่ใช่นะ ฉันเกิดที่ปักกิ่งต่างหาก เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1999 เวลาบ่าย 3 โมง 35 นาทีต่างหาก”

“หือ?” ยมทูตที่นั่งโต๊ะทั้งสี่คนส่งเสียงคนละคำพร้อมกัน

แล้วยมทูตคนหนึ่งที่นั่งใกล้ๆ กับยมทูตคนแรกก็รีบลุกไปดูที่โต๊ะของยมทูตคนแรก เขาจ้องข้อมูลบนโต๊ะเขม็ง แล้วหันไปมองจ้าวเป่าฉิน เขามองอายุเงาร่างเดิมก่อนตายของนางแล้วพูดว่า “สตรีผู้นี้อายุ 23 ไม่ใช่ 25”

“อา—” ยมทูตอีก 2 คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามร้องออกมาพร้อมกัน พวกเขาหันไปมองจ้าวเป่าฉินครู่ใหญ่ แล้วพูดเกือบจะพร้อมกันว่า “นางอายุ 23 จริงๆ”

“ผิดคนงั้นรึ?” เหยียนหลัวหวางพึมพำเบาๆ แต่เสียงของเขากลับได้ยินกันทั่วทุกคน

ยมทูตทั้งสี่คนหันไปมองเหยียนหลัวหวางเป็นตาเดียว พวกเขามีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “เอ่อ…”

“รีบส่งนางกลับไป” เหยียนหลัวหวางสั่ง ยิ่งทำให้สีหน้าของยมทูตทั้งสี่ยิ่งย่ำแย่มากขึ้น

เกิดความเงียบงันไปพักใหญ่ ยมทูตคนแรกก็เลื่อนมือไปมาอยู่บนโต๊ะครู่หนึ่ง แล้วเขาก็หยุดมือ มองข้อมูลบนโต๊ะแล้วสีหน้ายิ่งย่ำแย่มากขึ้นอีก เขาเหลือบมองยมทูตอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยมทูตคนนั้นมองสบตาสหายแล้วหันไปมองเหยียนหลัวหวาง พูดว่า “ไม่อาจส่งนางกลับไปได้แล้วขอรับ ศพนางถูกเผาไปแล้วขอรับ”

สีหน้ายมทูตอีกสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามยิ่งย่ำแย่พอๆ กับสหายทั้งสองคนทันที พวกเขาร่ำร้องในใจว่า ‘แย่แล้ว’ แทบจะพร้อมๆ กันเลยทีเดียว พวกเขารู้ดีว่าการนำวิญญาณมาผิดคนนั้นส่งผลร้ายแรงเพียงใด ยมทูตที่ทำผิดพลาดจะถูกลงทัณฑ์อย่างหนักหนายิ่ง แค่คิดถึงบทลงโทษพวกเขาก็หนาวสะท้านแล้ว

เหยียนหลัวหวางยกมือนวดขมับ เขามองจ้าวเป่าฉินอย่างหนักอกหนักใจ บ่นว่า “เหตุใดมนุษย์จึงได้รีบเผาศพเร็วนักนะ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนยังเก็บรักษาศพเอาไว้ 100 วันอยู่เลย”

“โห ถ้าต้องเก็บศพไว้ 100 วัน ค่าเก็บรักษาศพก็โคตรแพงเลยนะซิ” จ้าวเป่าฉินอุทานออกมาเมื่อคำนวณค่าเก็บรักษาศพ 100 วัน เธอทำงานเป็นเจ้าหน้าที่นิติเวช ดังนั้นเรื่องราคาเหล่านี้เธอย่อมรู้ดีที่สุด ขนาดแค่จัดงาน 1 คืนแล้วเผายังต้องจ่ายเงินตั้งหลายหยวน ซึ่งปัจจุบันนี้มีศพไร้ญาติที่ไม่มีญาติมารับไปทำพิธีก็มาก ก็เพราะพวกญาติๆ กลัวว่าจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในพิธีศพมากโขนั้นเอง

เหยียนหลัวหวางมองจ้าวเป่าฉิน แล้วครุ่นคิดหาทางแก้ไข เขาคิดๆ อยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็พูดว่า “เช่นนั้นก็ดูความดีความชั่วของนาง”

ยมทูตคนแรกรีบดูข้อมูลทันที แล้วรายงานว่า “สตรีผู้นี้ทำความดีมากกว่าความชั่วขอรับ”

“ส่งนางไปสวรรค์” เหยียนหลัวหวางสั่ง

ยมทูตทั้งสี่รับคำสั่งพร้อมกัน “ขอรับ”

แล้วยมทูตคนหนึ่งก็เดินเข้าไปหาจ้าวเป่าฉิน บอกว่า “เจ้าตามข้ามา”

จ้าวเป่าฉินเดินตามไปอย่างไม่ขัดขืน ก็เขาจะพาเธอไปสวรรค์ เธอจะขัดขืนทำไมให้โง่ล่ะ เธอกำลังจะไปเสวยสุขนี่นา ไม่ใช่ไปลงนรกซะหน่อย เมื่อเดินไป 2 ก้าวก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณเหยียนหลัวหวางเลย เธอจึงหันไปมองจะพูดขอบคุณ แต่เมื่อเธอหันไปก็พบว่าเบื้องหลังดำมืดไปหมด ไม่มีเหยียนหลัวหวาง ไม่มียมทูตสุดหล่อทั้งสี่คนแล้ว ทำให้เธอชะงักกึก “เอ๋?”

“ตามข้ามา” ยมทูตที่นำทางอยู่ข้างหน้าหันไปมองแล้วเดินนำทางไป

จ้าวเป่าฉินกลัวจะถูกทิ้งไว้ในความมืดจึงรีบเดินตามไป

เธอเดินตามไปจนกระทั่งเห็นจุดแสงเล็กๆ เบื้องหน้า จุดแสงนั้นค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าภายใต้แสงสว่างนั้นคือทางแยก 2 ทาง ทางหนึ่งขาวพร่างพราวจนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสีขาว อีกทางหนึ่งแดงฉานดั่งลาวา อีกทั้งยังแผ่ไอร้อนระอุออกมาจากช่องทางสีแดงฉานนั้นด้วย

“นั่นคือทางไปสวรรค์ ส่วนนั่นคือทางไปนรก” ยมทูตชี้บอก

จ้าวเป่าฉินมองแล้วก็พยักหน้าเข้าใจ ต่อให้คุณยมทูตสุดหล่อคนนี้ไม่บอก เธอก็พอจะเดาได้อยู่นะ

“ไปซิ ข้าจะได้หมดหน้าที่เสียที” ยมทูตบอกคล้ายเร่ง ทำให้จ้าวเป่าฉินรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แหมๆ เร่งเธอจัง! นี่ถ้าเธอสวยๆ เหมือนดาราพวกเขาจะเร่งเธอแบบนี้รึเปล่า?

จริงๆ แล้วเธอก็ไม่ได้อยากอ้วนเหมือนแบบนี้หรอกนะ แต่แค่เธอกินอะไรนิดหน่อยมันก็ไปสะสมเป็นไขมันหมดแล้วอ่ะ ขนาดเธอวิ่งทุกวัน น้ำหนักยังไม่ลดลงเลยซักขีดแล้วจะให้เธอทำไงล่ะ โปรแกรมลดน้ำหนักแบบไหนที่ว่าดีเธอก็ลองมาหมดแล้วทั้งนั้น เฮ้อ…

“ไปซิ” ยมทูตพูดอีกครั้ง

จ้าวเป่าฉินจึงหยุดคิดแล้วเดินไปทางช่องทางไปสวรรค์

ยมทูตก็หันหลังกลับทันที

พลัน! เสียงครืนคร้านก็ดังขึ้น!

จ้าวเป่าฉินรู้สึกเหมือนแผ่นดินไหวยังไงอย่างงั้น เธอตกใจร้องออกมาคำหนึ่ง “เฮ้ย!”

ยมทูตหันขวับไปมอง แล้วเขาก็เห็นช่องดำมืดช่องหนึ่งแหวกออก มังกรสีดำมะเมื่อมตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากช่องทางนั้น ทำเขาตกใจร้องลั่น “อ้า!”

จ้าวเป่าฉินถูกมังกรพุ่งเฉียดไป ทำเธอเซไป ยังไม่ทันจะได้มองว่าอะไรเป็นอะไร เห็นแค่อะไรดำๆ ยาวๆ เฉียดตัวไปเท่านั้นเอง แล้วเธอก็ถูกอะไรดำๆ ยาวๆ นั้นกระแทกจนตัวเธอเซหลุนๆ เข้าไปในช่องดำๆ ช่องนั้นแล้ว “โอ๊ะ!”

เธอพยายามไขว่คว้าหาที่ยึดแต่ก็คว้าได้เพียงอากาศว่างเปล่าเท่านั้น อีกทั้งแรงลมจากอะไรดำๆ ยาวๆ นั่นก็พัดจนเธอเซถลาเข้าไปอย่างช่วยตัวเองไม่ได้เลย

“มังกรดำ!” ยมทูตอุทานสองคำ แล้วเขาก็เห็นสตรีคนหนึ่งยืนอยู่บนศีรษะมังกรตัวนั้น เขาไม่ทันเห็นว่าจ้าวเป่าฉินพลัดเข้าไปในช่องดำมืด เขามองแต่มังกรดำกับสตรีบนศีรษะมังกรดำเท่านั้น เมื่อทั้งสองจากไปไกลแล้วเขาจึงหันไปมองจ้าวเป่าฉิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!