Chapter 7
หุ่นเชิด
“ก็หมายความว่าโทษของเจ้ารอให้สตรีอ้วนผู้นั้นเป็นผู้ตัดสินน่ะซิ” เถากลืนจิตพูดแล้วยกเถาตบไหล่ถังหูลู่ “ข้าว่าเจ้าต้องเอาอกเอาใจนางเสียแล้ว นางจะได้ไม่ลงทัณฑ์เจ้าหนักๆ”
“…” ถังหูลู่อ้าปากค้างอย่างโง่งมแล้ว จะให้ข้าเอาใจสตรีนางหนึ่งงั้นรึ!?
มันคิดไปต่างๆ นานา แล้ว จะทำอย่างไรให้นางไม่เอาโทษมัน? ยอมเป็นสัตว์พาหนะให้นางรึ? ไม่ๆๆๆ ข้าไม่ยอมให้ใครขี่ข้าหรอกนะ ยิ่งเป็นสตรีด้วยแล้วไม่มีทางเด็ดขาด! หรือจะให้ข้าวิ่งเล่นเป็นเพื่อนนาง? หรือจะให้ข้าตักน้ำ ต้มน้ำ ชงชาเหมือนหลิงเฟยตัวตะกละ? ฯลฯ
เถากลืนจิตเดินไปหยิบท่อนไม้มาแล้วเดินไป มันหันไปมองถังหูลู่ที่ยืนครุ่นคิดหนัก “นี่ๆ ยังไม่รีบเอาท่อนไม้ตามข้ามาอีก”
ถังหูลู่จึงหยุดความคิดทั้งมวลไว้แล้วคาบท่อนไม้ขึ้นมา เดินตามเถากลืนจิตไป
จ้าวเป่าฉินลืมตาตื่นขึ้นมา ความเจ็บปวดก็พุ่งขึ้นมาทันที ทำเธอร้อง “โอย…”
เธอหันไปมองรอบๆ ตัว เห็นว่าตัวเองนอนอยู่ในบ้าน เธอลุกพรวดทันที พร้อมกับร้องออกมาอีกครั้ง “โอย…”
เธอมองๆ แล้วคิดอย่างงงๆ “นี่ฉันกลับมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? หรือว่าที่ฉันเห็นคือความฝัน?”
เธอขยับขา พลันร้องอีกครั้ง “โอย…”
เธอมองขาตัวเองซึ่งบวมเป่งจนเนื้อจะปริได้แล้ว เธอหวนนึกไปถึงตอนนั้น ตอนที่เธอถูกเหยียบจนขาหัก “ไม่ใช่ความฝัน!”
ถ้างั้นเธอรอดมาได้ยังไง?
เธอคิดๆ คิดไปคิดมา คิดมาคิดไป คิดหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่ได้คำตอบ
“อ่อ เจ้าฟื้นแล้วรึ”
จ้าวเป่าฉินหันไปมอง ก็เห็นจางอี้ปินยืนอยู่หน้าประตูบ้าน
“ข้าเข้าไปได้หรือไม่?” จางอี้ปินถาม
จ้าวเป่าฉินคิดๆ แล้วตอบออกไป “เชิญค่ะ”
“เชิญเจ้าค่ะ” จางอี้ปินสอนแล้วเดินเข้าไปหานางถึงเตียง
จ้าวเป่าฉินมองเขากำลังจะอ้าปากถาม แต่เขาชิงพูดก่อนว่า “เจ้าคงจะเจ็บมาก เช่นนั้นก็กินโอสถก่อนเถอะ”
เขาหยิบขวดโอสถขึ้นมาแล้วเปิดจุกเทโอสถออกมาเม็ดหนึ่ง ยื่นไปตรงหน้านาง
จ้าวเป่าฉินมองยาหรือที่เขาเรียกว่าโอสถ ยาเม็ดนี้มีลักษณะกลมๆ เหมือนยาลูกกลอนแต่กลมเกลี้ยงจนเหมือนลูกแก้วที่เด็กๆ เอาไว้ดีดเล่นนั่นแหละ อีกทั้งยังมีสีเหลือบรุ้งคล้ายไข่มุก แต่เป็นไข่มุกสีดำๆ เธอชี้ที่ยาเม็ดนั้นแล้วมองหน้าเขา “ไอ้นี่กินได้เหรอ?”
“กินได้ซิ นี่คือโอสถแก้ปวด เจ้าต้องกินครั้งละ 1 เม็ด กินวันละ 3 ครั้ง” จางอี้ปินบอกอย่างปราณี
จ้าวเป่าฉินจึงยื่นมือไปหยิบโอสถเม็ดนั้นมา แล้วกลั้นใจกินลงไป เธอคิดว่ามันต้องขมปี๋แน่ๆ แต่ยังไม่ทันรู้รส โอสถเม็ดนั้นก็ไหลลงคอไปแล้ว คล้ายกับมันละลายไหลลงคอไปอย่างง่ายดายมาก ทำเธอแปลกใจ
“ส่วนขวดนี้เป็นโอสถสมานกระดูก เจ้ากินครั้งละ 1 เม็ด เช้าเย็น จะช่วยให้กระดูกเจ้าสมานตัวได้เร็วขึ้น” จางอี้ปินชี้ไปที่โอสถอีกขวด
จ้าวเป่าฉินมองขวดสีขาวทึบคล้ายขวดกระเบื้องเคลือบ แต่ไม่ใช่กระเบื้อง ขวดนี้ทำจากหยกขาวเนื้อขุ่น
ส่วนขวดที่ใส่โอสถแก้ปวดเป็นสีเขียวอ่อนๆ เธอมองขวดทั้งสองแล้วจำว่าในขวดใส่ยาอะไรไว้จะได้ไม่กินผิด เธอมองแล้วคิดๆ ทำไมไม่เขียนแปะไปเลยล่ะว่าเป็นยาอะไรจะได้ไม่ต้องจำ คิดแล้วเธอก็พูดโพล่งออกไปทันที “ทำไมไม่เขียนติดขวดไปเลยล่ะว่าแต่ละขวดเป็นยาอะไร?”
“อ่อ” จางอี้ปินส่งเสียงคำหนึ่ง แล้วเขาก็สลักบนขวดในมือว่า ‘โอสถแก้ปวด’
เมื่อสลักเสร็จแล้วเขาก็วางไว้ข้างหมอน จากนั้นก็ยื่นมือไป ขวดโอสถบนโต๊ะก็ลอยหวือมาเข้ามือเขา
จ้าวเป่าฉินมองแล้วอ้าปากค้าง
จางอี้ปินสลักบนขวดอีกใบว่า ‘โอสถสมานกระดูก’
เมื่อสลักเสร็จแล้วเขาก็วางไว้ข้างหมอน
จ้าวเป่าฉินมองตามแล้วหยิบมาดู เธอเห็นอักขระสวยงามแถวหนึ่งบนขวด เธอลูบผ่านอักขระแถวนั้นแล้วรู้ว่านี่ไม่ใช่การเขียนลงไป แต่เป็นการแกะสลักลงไป เธอมองเขาอย่างอึ้งๆ มือเขาช่างมหัศจรรย์มาก!
“ฉันอยากมีพลังวิเศษเหมือนคุณจัง” เธอพูดออกไปอย่างที่ใจคิด
“เจ้าต้องบอกว่า ‘ข้าอยากมีพลังเทพสูงเท่าท่านยิ่งนัก’ เจ้าน่ะต้องฝึกพูดให้คล่องๆ ยามออกไปข้างนอกจะได้ไม่ถูกผู้อื่นรังแก” จางอี้ปินสอนนาง
“อ่อ” จ้าวเป่าฉินพยักหน้า
“น่าเสียดายที่เจ้าเป็นครึ่งเทพ ไม่อาจใช้โอสถระดับเทพได้ จึงกินได้แต่โอสถระดับมนุษย์ ไม่เช่นนั้นป่านนี้ขาเจ้าก็หายดีแล้ว ไม่ต้องทนเจ็บปวดเช่นนี้หรอก” จางอี้ปินพูดอย่างเสียดายแทนนาง
“หือ? โอสถระดับเทพ โอสถระดับมนุษย์” จ้าวเป่าฉินทวนคำที่จับใจความได้จากคำพูดของเขา
“โอสถระดับเทพก็คือโอสถที่เทพใช้กัน ส่วนโอสถระดับมนุษย์คือโอสถที่มนุษย์ใช้กัน ทั้งสองนี้ต่างกันตรงที่ฤทธิ์ของโอสถระดับเทพรุนแรงกว่าโอสถระดับมนุษย์มาก มนุษย์ไม่อาจใช้โอสถระดับเทพได้เพราะฤทธิ์ของโอสถรุนแรงเกินไป หากฝืนกินเข้าไปอาจจะตายได้เลยก็เป็นได้ ส่วนเทพหากกินโอสถระดับมนุษย์ ผลการรักษานั้นแทบจะไม่ได้ผลอะไรเลย” จางอี้ปินอธิบายให้ฟัง
“อ่อ” จ้าวเป่าฉินพยักหน้ารับรู้ “งั้นถ้ามนุษย์จะกินโอสถเทพก็น่าจะแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ ซิ แล้วกินทีละนิดก็น่าจะได้นี่นา”
“แบ่งโอสถงั้นรึ? เจ้าช่างคิดเสียจริง แต่หากแบ่งออกไปก็ทำให้โอสถเสียสรรพคุณน่ะซิ โอสถบางชนิดใช้สมุนไพรชนิดเดียวหลอมย่อมแบ่งได้อย่างที่เจ้าพูดมา แต่โอสถบางชนิดใช้สมุนไพรหลายชนิดหลอมเข้าด้วยกัน หากแบ่งโอสถเป็นส่วนย่อยๆ เช่นที่เจ้าว่า เจ้าแบ่งออกไปย่อมทำให้โอสถเสียสรรพคุณไปน่ะซิเพราะสมุนไพรเหล่านั้นต้องกินพร้อมกันในทีเดียวจึงจะหนุนส่งเสริมฤทธิ์ของโอสถชนิดนั้น” จางอี้ปินยิ้มบางๆ ในความช่างคิดของนาง
“อ่อ แบ่งไม่ได้งั้นเหรอ” จ้าวเป่าฉินพยักหน้ารับรู้ เธอคิดว่ามันก็น่าจะเหมือนยาในโลกของเธอที่สามารถแบ่งครึ่งเม็ดได้ เด็กกินครึ่งเม็ด ผู้ใหญ่กินหนึ่งเม็ดอะไรประมาณนั้นซะอีก
เธอคิดแล้วพลันรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา แต่จะให้เขาพาเธอไปเข้าห้องน้ำเธอก็อายๆ นะ
จางอี้ปินเห็นท่าทางกระสับกระส่ายของนางจึงถาม “เจ้าเป็นอะไร? หรือว่ายังปวดขา?”
จ้าวเป่าฉินรีบส่ายหน้า “ไม่ได้ปวดขา”
เธอกล้าไม่พูดต่อ แต่เธอก็กลั้นจนจะทนไม่ไหวแล้ว ดังนั้นเธอจึงบอกเขาหน้าแดงๆ ว่า “คือฉัน…คือว่า…คือ…”
“เจ้าจะพูดอะไรก็พูดมา อย่ามัวอึกๆ อักๆ อยู่ข้าไม่ชอบ” จางอี้ปินพูดคล้ายดุ
จ้าวเป่าฉินจึงกลั้นใจพูดออกมา “คือฉันปวดฉี่”
“ปวดฉี่? คืออะไรรึ?” จางอี้ปินไม่เข้าใจความหมาย
จ้าวเป่าฉินจึงบอกว่า “ปวดปัสสาวะน่ะ”
“ปวดปัสสาวะ?” จางอี้ปินก็ยังไม่เข้าใจความหมาย
จ้าวเป่าฉินเห็นเขายังไม่เข้าใจ เธอจึงกลั้นใจพูดคำที่ไม่ค่อยสุภาพออกไป “ปวดเยี่ยวน่ะ”
พูดออกไปแล้วเธอก็หน้าแดงแปร๊ด
“ปวดเยี่ยว?” จางอี้ปินก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
จ้าวเป่าฉินเห็นเขายังไม่เข้าใจ เธอจึงคิดๆ คิดแล้วคิดอีกว่าคำศัพท์ของที่นี่ที่มีความหมายว่าปวดฉี่คือคำว่าอะไร จนในที่สุดเธอก็นึกขึ้นมาได้ “ถ่ายเบา”
“อ่อ” จางอี้ปินเข้าใจความหมายทันที “เจ้าอยากถ่ายเบา”
จ้าวเป่าฉินพยักหน้าหงึกๆ ในที่สุดก็เข้าใจตรงกันได้ซะที เธอปวดจะแย่แล้ว แต่เธอก็ลุกไม่ไหว แค่ขยับขาก็เจ็บจนน้ำตาเล็ดแล้ว
จางอี้ปินคิดๆ แล้วก็ไม่ค่อยเหมาะนักถ้าจะให้เขาพานางไปเข้าส้วม ดังนั้นเขาจึงเดินออกไปเรียก “เจ้าตัวตะกละ”
“เจ้าคะ” เถากลืนจิตส่งเสียงขานรับพลางวิ่งไปหานายท่านทันที
เมื่อเถากลืนจิตมาแล้วจางอี้ปินจึงสั่งว่า “นางอยากเข้าส้วม เจ้าพานางไปที”
“หา!” เถากลืนจิตปากอ้าตาค้าง มันยกเถาชี้ตัวเอง “ข้า!”
แล้วมองจ้าวเป่าฉิน จากนั้นมันหันไปมองนายท่านแล้วส่ายหน้า “ไม่ๆ ข้าไม่ทำนะนายท่าน ท่านใช้คนอื่นเถอะ”
มันพูดแล้วก็รีบวิ่งหนีไปทันที มันหนีไวจนฝุ่นตลบเลยทีเดียว
จางอี้ปินถอนหายใจทีหนึ่ง ถึงเถากลืนจิตจะเป็นสตรีเหมือนกันกับจ้าวเป่าฉิน แต่มันก็ไม่ใช่บ่าวรับใช้ที่จะคอยทำทุกอย่างตามที่เจ้านายสั่ง มันปฏิเสธคำสั่งของเขาในข้อนี้เขาก็เข้าใจได้
เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? เขาคิดๆ แล้วจึงเอาหุ่นไม้ออกมาสองตัวแล้วโยนออกไปบนพื้น เขาใส่พลังเข้าไปในหุ่นไม้สองตัวนั้น พลัน! หุ่นไม้ก็ขยายใหญ่ขึ้น ขยายใหญ่จนมีขนาดใหญ่กว่าตัวเขา แต่รูปร่างเป็นสตรีสองนาง รูปร่างบึกบึนพอที่จะยกตัวจ้าวเป่าฉินได้อย่างสบาย
“นายท่าน” สตรีทั้งสองเอ่ยปากพูดประโยคแรก ดวงตาก็มองนายท่าน
“พวกเจ้าเข้าไปคอยรับใช้จ้าวเป่าฉินให้ดี” จางอี้ปินสั่งแล้วชี้นิ้วไปด้านหลัง
“เจ้าค่ะ” สตรีร่างใหญ่ทั้งสองรับคำสั่งอย่างว่าง่าย
จางอี้ปินจึงเดินกลับเรือนไปทันที
สตรีทั้งสองจึงเดินเข้าไปในเรือน พวกนางเดินไปหาจ้าวเป่าฉินแล้วเรียกขานว่า “แม่นาง”
จ้าวเป่าฉินไม่ทันเห็นว่าสตรีทั้งสองนี้เกิดมาได้ยังไง ได้ยินแต่ที่จางอี้ปินสั่งจึงคิดว่าทั้งสองคนนี้คงเป็นคนรับใช้ล่ะมั้ง ในเมื่อเป็นคนรับใช้ อีกทั้งเป็นผู้หญิงเหมือนกับเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนเกรงใจแล้ว เธอจึงสั่งทั้งสองทันที “ฉันอยากถ่ายเบา”
“เจ้าค่ะ” สตรีทั้งสองรับคำสั่ง แล้วทั้งสองก็มองหากระโถน แล้วก็เจอกระโถนวางอยู่ริมห้อง
สตรีนางหนึ่งจึงเดินไปหยิบกระโถนมาให้ นางวางกระโถนบนเตียงข้างๆ สตรีอ้วน
จ้าวเป่าฉินมองกระโถนทองใบนั้นแล้วทำหน้าเสียดายมาก ก็กระโถนสวยๆ แบบนี้จะเอามาให้เธอฉี่ลงไปเหรอ?
แต่ตอนนี้เธอก็ปวดจนจะกลั้นไม่ไหวแล้ว ดังนั้นให้เธอฉี่ใส่กระโถนทองเธอก็ต้องฉี่ล่ะ
เธอขยับตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับร้องออกมา “โอย…”
“คุณ ช่วยพยุงฉันหน่อยค่ะ” เธอกวักมือเรียกผู้หญิงคนหนึ่ง
สตรีที่ถูกเรียกจึงเดินไปชิดเตียงแล้วก้าวขึ้นไปบนเตียง ช่วยจับสตรีอ้วนลุกขึ้น
จ้าวเป่าฉินถูกพยุงขึ้นดั่งกระสอบนุ่นที่เบายิ่ง เธอหันไปมองผู้หญิงที่ช่วยพยุงตัวเองแล้วพูดออกมา “คุณแรงเยอะจัง”
ก็ตัวเธอหนักเกือบ 200 โล แต่ผู้หญิงข้างหลังเธอสามารถยกตัวเธอได้เหมือนตัวเธอไม่ได้หนักอะไรเลย
สตรีนางนั้นไม่พูดอะไรสักคำ
จ้าวเป่าฉินจึงพยายามเอื้อมมือไปจะถอดกางเกงออก แต่ก็เอื้อมไม่ถึงเพราะติดมือของผู้หญิงข้างหลังที่ล็อคตรงรักแร้ทั้งสองข้างช่วยพยุงตัวเธออยู่ เธอเห็นว่าตัวเองคงไม่สามารถถอดกางเกงได้จึงหันไปขอแรงผู้หญิงอีกคนอย่างเขินๆ “คุณคะ ช่วยถอดกางเกงให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
“เจ้าค่ะ” สตรีอีกนางรับคำสั่งแล้วก้าวไปช่วยถอดกางเกงลง นางดึงกางเกงลงไปพรึด!
จ้าวเป่าฉินอายจนหน้าแดงแล้วแดงอีก ก็เธอไม่เคยต้องให้ใครช่วยอะไรแบบนี้เลยนะ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ
ผู้หญิงคนนั้นก็มีสีหน้าเฉยมาก เฉยจนจ้าวเป่าฉินรู้สึกอายน้อยลง
กางเกงก็ถอดออกไปแล้ว แต่กระโถนยังไม่ได้วางตรงตำแหน่ง แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ยืนเฉยไม่ทำอะไร เธอปวดจนจะกลั้นไม่ไหวแล้วจึงตัดสินใจวานผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งว่า “คุณๆ ช่วยเอากระโถนวางไว้ใต้ก้นทีค่ะ”
“เจ้าค่ะ” สตรีนางนั้นรับคำสั่งแล้วจึงเอากระโถนวางไว้ใต้ก้น
จ้าวเป่าฉินแทบจะราดแล้วจึงไม่องไม่อายอะไรแล้ว ขยับๆ ก้นนั่งให้เข้าที่เข้าทางแล้วฉี่ทันที
เหมือนสวรรค์ทรงโปรดจริงๆ หลังจากที่ได้ฉี่แล้ว
ผู้หญิงทั้งสองคนก็ทำตามคำสั่งสีหน้าเฉยมาก เฉยจนจ้าวเป่าฉินรู้สึกว่าทั้งสองคนเหมือนไม่มีสมองงั้นแหละ เธอมองผู้หญิงที่อยู่ข้างเตียงแล้ววานอีกครั้ง “คุณ ช่วยเอากระโถนออกที”
“เจ้าค่ะ” สตรีนางนั้นทำตามคำสั่ง หยิบกระโถนออกไปวางไว้ข้างเตียงแล้วก็ยืนเฉยเหมือนหุ่นไม้ตัวหนึ่ง
จ้าวเป่าฉินมองผู้หญิงคนนั้นแล้วคิดๆ เธอคิดว่าผู้หญิงคนนี้ใช่คนจริงๆ รึเปล่า? ก็ท่าทางนิ่งมาก นิ่งจนทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนแต่เป็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง เธอลองวานอีกครั้ง “คุณๆ ช่วยใส่กางเกงให้หน่อยค่ะ”
“เจ้าค่ะ” สตรีนางนั้นขยับเข้าไปทำตามคำสั่ง สีหน้าเฉย เรียบนิ่งไร้อารมณ์ใดๆ บนใบหน้า จับกางเกงดึงขึ้นไปแล้วถอยไปยืนข้างเตียงหน้านิ่งเฉยดังเดิม
“ขอบคุณค่ะ” จ้าวเป่าฉินพูดแล้วหันไปบอกผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังว่า “คุณๆ ปล่อยฉันลงได้แล้ว”
สตรีที่อยู่ข้างหลังก็ปล่อยสตรีอ้วนลงพรืด แล้วเดินลงจากเตียงไปยืนข้างๆ สตรีอีกคน
จ้าวเป่าฉินสูดปากเพราะเจ็บขาทีหนึ่ง เธอมองผู้หญิงทั้งสองคนแล้วคิดว่าทั้งสองคนนี้เหมือนหุ่นยนต์มาก สั่งอะไรก็ทำอย่างนั้นจริงๆ เธอมองทั้งสองคนแล้วจับเชือกกางเกงมาผูกให้เรียบร้อยจากนั้นก็ตลบชายเสื้อคลุมปิดให้เรียบร้อย
เมื่อจัดการอาภรณ์เข้าที่เข้าทางดีแล้วจึงหันไปมองผู้หญิงทั้งสองคนนั้นแล้วถามว่า “พวกคุณชื่ออะไรเหรอ?”
“ข้าไม่มีชื่อเจ้าค่ะ” สตรีนางหนึ่งตอบ
“ข้าไม่มีชื่อเจ้าค่ะ” สตรีอีกนางตอบ
“ไม่มีชื่อ” จ้าวเป่าฉินทวนคำ มองทั้งสองอย่างอึ้งๆ งงๆ คนจะไม่มีชื่อได้ไง งั้นจะเรียกกันยังไงล่ะ?
“ถ้างั้นฉันจะเรียกคุณยังไง?” จ้าวเป่าฉินถาม
สตรีทั้งสองยืนนิ่งเฉยไม่ตอบคำถาม
จ้าวเป่าฉินมองๆ แล้วถามอีกครั้ง “จะให้ฉันเรียกพวกคุณยังไงล่ะ? ไม่มีชื่อมันก็เรียกยากนะคะ”
“แม่นางจะเรียกบ่าวอย่างไรก็เชิญแม่นางเรียกขานเถิดเจ้าค่ะ” สตรีนางหนึ่งพูดขึ้นมา
จ้าวเป่าฉินคิดๆ แล้วชี้นิ้วไป “ถ้างั้นฉันเรียกคุณว่า เยี่ยนหรง (艳蓉) ดีไหม?”
“เจ้าค่ะ” เยี่ยนหรงพยักหน้ารับ
“งั้นคุณชื่อ เยี่ยนหลิง (彦玲) ดีไหม?” จ้าวเป่าฉินถามอีกคน
“เจ้าค่ะ” เยี่ยนหลิงพยักหน้ารับ
จ้าวเป่าฉินมองทั้งสองแล้วคิดๆ
“อ้า! นั่นหุ่นเชิดนี่”
จ้าวเป่าฉินหันไปมอง ก็เห็นเถากลืนจิตอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน
เถากลืนจิตเดินเข้ามาพร้อมกับยกชั้นไม้ที่เพิ่งทำเสร็จไปวางไว้ตรงข้างผนังห้องด้านหนึ่ง วางเสร็จแล้วมันก็เดินไปมองหุ่นเชิดสองคนนั้น มันมองๆ ขึ้นๆ ลงๆ ลงๆ ขึ้นๆ หลายครั้ง
“หุ่นเชิดเหรอ?” จ้าวเป่าฉินถามลอยๆ เธอไม่รู้ว่าหุ่นเชิดคืออะไร
“นายท่านถึงกับมอบหุ่นเชิดให้เจ้าเชียวรึ?” เถากลืนจิตถามคล้ายอิจฉา
จ้าวเป่าฉินจึงถามมันอีกครั้ง “หุ่นเชิดคืออะไร?”
“หุ่นเชิดก็คือหุ่นเชิด เจ้าไม่รู้จักหุ่นเชิดรึ?” เถากลืนจิตถามกลับ
“ไม่รู้จัก” จ้าวเป่าฉินส่ายหน้า ก็เธอไม่รู้จักจริงๆ นี่นา
เถากลืนจิตกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลัน! มันชะงักไปเมื่อจำได้ว่าสตรีอ้วนเป็นครึ่งเทพ ย่อมไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไรมากนัก เรียกได้ว่าไร้ความรู้นั่นแหละ มันจึงยิ้มอย่างเหนือกว่าออกมา “เอาเถอะๆ เจ้าไม่รู้ก็ไม่ผิดนี่นะ”
จ้าวเป่าฉินเห็นท่าทางมันเช่นนั้นจึงยกยอมันเสียหน่อย “เช่นนั้นผู้ที่รู้มากอย่างพี่เถาก็ช่วยบอกให้ฉันหายโง่หน่อยซิ”
“วะ! พี่เถาอะไรของเจ้า เรียกได้น่าเกลียดยิ่ง” เถากลืนจิตสถบออกมาอย่างไม่ชอบใจ “ข้าชื่อจางหลิงเฟย เจ้าควรจะเรียกข้าว่าพี่เฟยซิ”
“ได้ๆ พี่เฟย งั้นพี่เฟยก็ช่วยบอกน้องผู้โง่เง่าหน่อยเถอะว่าหุ่นเชิดคืออะไร?” จ้าวเป่าฉินยกยอมันอีกครั้ง
เถากลืนจิตยิ้มอย่างชอบใจแล้วอธิบายว่า “หุ่นเชิดก็คือหุ่นเชิดที่นายท่านสร้างขึ้นมาอย่างไรล่ะ พวกมันทำตามคำสั่งดีมาก แต่พวกมันไม่ค่อยฉลาดหรอก เจ้าสั่งมันอย่างไรมันก็ทำตามคำสั่งเจ้าอย่างนั้นแหละ”
“อ่อ” จ้าวเป่าฉินเริ่มเข้าใจหุ่นเชิดขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว น่าจะคล้ายๆ กับหุ่นยนต์ซินะ