Skip to content

สตรีอ้วนป่วนสวรรค์ 9

Chapter 9

ไสหัวไป!

จ้าวเป่าฉินมองเถากลืนจิตที่เผ่นได้ไวยิ่งนัก ทิ้งเธอให้ต้องเผชิญหน้ากับอาจารย์ตามลำพัง เธอค่อยๆ ถามให้แน่ใจ “ข้าต้องไปตำหนักเก้าชั้นฟ้ากับท่านหรือเจ้าคะ?”

“อืม” จางอี้ปินพยักหน้าแล้วสั่งว่า “เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ อีกครึ่งชั่วโมงออกเดินทาง”

“เจ้าค่ะ” จ้าวเป่าฉินพยักหน้ารับคำสั่งแล้วถอยออกไป

จางอี้ปินมองตามแล้วลุกกลับเรือนไปเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ให้ภูมิฐาน

เมื่อเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จแล้ว เขาก็เดินไปรอจ้าวเป่าฉินที่ศาลาเล็ก

จ้าวเป่าฉินเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ให้ดูดีสมกับที่เป็นศิษย์ของจางอี้ปินเรียบร้อยแล้วก็เดินไปหาอาจารย์ เธอเห็นอาจารย์รออยู่ที่ศาลาจึงเข้าไปหา “อาจารย์”

จางอี้ปินมองศิษย์คนเดียวของเขาแล้วลุกขึ้นเดินออกจากศาลา เขาใช้พลังดึงตัวจ้าวเป่าฉินให้ลอยขึ้นไปพร้อมกับเขา แล้วเขาก็ฉีกช่องว่างออก

ท้องฟ้าฉีกออกเป็นช่องดำมืด จ้าวเป่าฉินมองฉากอันน่าตื่นตะลึงนี้อย่างตื่นเต้น เธอก็เพิ่งจะเคยเห็นการฉีกช่องว่างเป็นครั้งแรกนี่แหละ

เธออยู่กับอาจารย์มา 2 ปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ออกไปข้างนอกกับอาจารย์ ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นอาจารย์ออกไปไหนเลย นอกจากไปจับสัตว์มาทำอาหารกับนั่งตกปลาที่ทะเลสาบ วันๆ หนึ่งของเขาเรียกได้ว่าเป็น ‘ชีวิตสโลว์ไลฟ์’ จริงๆ

เธอลอยเข้าไปในช่องดำมืดช่องนั้นพร้อมกับอาจารย์ เธอหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นเต้น

จางอี้ปินมีท่าทางสุขุมนิ่งสงบอย่างไร เขาก็ยังคงมีท่าทางสุขุมนิ่งสงบอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง

จนกระทั่งออกจากช่องว่างที่ฉีกออกแล้ว จ้าวเป่าฉินจึงเห็นว่าตัวเองลอยอยู่กลางท้องฟ้า เธอเห็นด้านหนึ่งมีอาคารอยู่กลางหมู่เมฆ ดูราวกับสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น

จางอี้ปินเหินลอยไปตรงหน้าประตูใหญ่พร้อมกับจ้าวเป่าฉิน

ทหารที่เฝ้ายามอยู่ที่หน้าประตูมองหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีอ้วนแล้วถามว่า “ผู้มาคือใคร?”

จางอี้ปินหยิบเทียบเชิญออกมาแล้วใช้พลังส่งเทียบเชิญไปให้ทหารที่เฝ้ายาม

ทหารรับเทียบเชิญมาดูแล้วเปิดทางให้ทันที

เทียบเชิญก็ลอยกลับไปสู่มือจางอี้ปิน เขาเก็บเทียบเชิญไปแล้วเดินผ่านทหารไป

จ้าวเป่าฉินรีบก้าวตามอาจารย์ไปทันที

เมื่อคล้อยหลังหนึ่งบุรุษผมขาวและสตรีอ้วนแล้ว ทหารที่เฝ้ายามก็ขยับไปกระซิบคุยกันว่า “นั่นใครรึ?”

“ข้าก็ไม่รู้ แต่เขามีเทียบเชิญของเทียนจวิน”

“อ่อ” ทหารส่งเสียงรับรู้แล้วพูดว่า “บุรุษผมขาวผู้นั้นรูปงามนัก แต่เหตุใดบ่าวของเขาจึงได้รูปลักษณ์น่าเกลียดยิ่ง ข้าไม่เคยเห็นเทพคนไหนอัปลักษณ์เท่านางเลย”

“นินทาสตรีมากๆ ระวังเถอะเจ้าจะได้ฮูหยินอัปลักษณ์เช่นที่เจ้านินทา” ทหารอีกคนพูดหยอกเย้า

“เพ้ยๆๆๆ หากข้าต้องแต่งสตรีอัปลักษณ์เข้าเรือน ข้าขออยู่คนเดียวดีกว่า” ทหารคนนั้นสถบอย่างไม่ชอบใจ

“ฮ่าๆๆๆ” เหล่าทหารหัวเราะขำขันแล้วก็ขยับตัวไปยืนเฝ้ายามอย่างแข็งขัน

จ้าวเป่าฉินได้ยินเสียงซุบซิบนินทา ทำให้เธอหันไปมองทหารพวกนั้นอย่างจดจำพวกเขาเหล่านั้นเอาไว้ เธออ้วนแล้วมันหนักหัวพวกนั้นตรงไหนฟร่ะ! ชิ!

จางอี้ปินย่อมได้ยินคำนินทาเหล่านั้นเต็มสองหู แต่เขาคร้านจะสนใจ เป๋าเป้ยอ้วนแล้วอย่างไร ถึงนางอ้วนแต่ก็หาได้อัปลักษณ์จนดูไม่ได้เสียหน่อย นางนั้นมีความน่ารักในหลายๆ ด้าน กริยามารยาทก็ดีงามราวกับคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กๆ ทั้งมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น ขยันหมั่นเพียรฝึกฝน ตำราของเขาทุกม้วนนางล้วนอ่านจนหมดสิ้นแล้ว

เขาเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่สนใจผู้ใด

จ้าวเป่าฉินเดินตามอาจารย์ไป เธอมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ

ท่าทางของสตรีอ้วนทำให้เหล่าเทพที่เห็นต่างพากันซุบซิบนินทา

“บ่าวนางนั้นคงไม่เคยออกจากเรือนเลยกระมัง”

“นั่นซิ ช่างเป็นสตรีรูปลักษณ์อัปลักษณ์ยิ่ง”

“เหตุใดจึงอ้วนถึงเพียงนั้น? คงจะตะกละตะกลามกินไม่บันยะบันยังเลยกระมัง”

“ท่าทางนางช่างเหมือนเทพใหม่ที่ไม่เคยเห็นโลกเบื้องบน”

ฯลฯ

คำนินทาต่างๆ ล้วนเข้าหูจ้าวเป่าฉินไม่น้อย เธอจึงหยุดมองไปมองมาแล้วเชิดหน้ามองตรงแหน๊ว! แต่สายตาคอยเหล่มองไปตามที่ต่างๆ แทนการหันหน้ามองไปมองมา

วิชาบุคลิกภาพเธอก็เคยเรียนมานะ ดังนั้นตอนนี้เธอจึงงัดเอามาใช้อย่างเต็มที่แบบจัดเต็มไปเลย ท่วงท่าเดินเหินอกผายไหล่ผึ่ง หน้าเชิดเหมือนนางแบบบนแคทวอล์คทุกกระเบียดนิ้วแล้ว

จางอี้ปินเดินไปถึงท้องพระโรง นางกำนัลที่คอยดูแลจึงก้าวไปต้อนรับ “เชิญเจ้าค่ะ”

“อืม” จางอี้ปินส่งเสียงคำหนึ่งแล้วเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้

จ้าวเป่าฉินเดินไปนั่งข้างอาจารย์

นางกำนัลก็ยกเหล้า น้ำชา ขนม ผลไม้มารับแขกแล้วถอยไปอย่างรู้งาน

จางอี้ปินยกจอกเหล้าขึ้นจิบอึกหนึ่งแล้วหยิบผลไม้กินชิ้นหนึ่ง

จ้าวเป่าฉินก็ยกเหล้าขึ้นจิบ เพียงคำแรกเธอก็อยากจะถ่มทิ้งแล้ว เหล้านี้รสร้อนแรงจนเหมือนดื่มแอลกอฮอล์ 95% เข้าไปยังไงอย่างงั้น เธอฝืนกลืนลงไป เธอหน้าแดงน้ำตาแทบเล็ดจนต้องรีบยกน้ำชาขึ้นดื่มอึกๆ ตาม

จางอี้ปินไม่ทันเตือนนาง เหล้าแดนเทพย่อมรุนแรงจนครึ่งเทพอย่างนางไม่อาจทนไหว เขาเห็นนางยกชาดื่มอึกๆ จึงมองอย่างเป็นห่วง

จ้าวเป่าฉินดื่มชาจนหมดถ้วยอย่างไม่รักษากริยาแล้ว เธอวางถ้วยชาแล้วหยิบผลไม้กินชิ้นหนึ่ง เมื่อกินผลไม้ลงไปทำให้หลอดอาหารไม่รู้สึกแสบร้อนแล้ว เธอจึงกินผลไม้จนหมดจาน เธอเหลือบมองกาเหล้าอย่างเข็ดขยาด เธอไม่กล้าดื่มเหล้าแล้วล่ะ

“อาจารย์ ข้าออกไปเดินเล่นแถวนี้นะเจ้าคะ” เธอหันไปขออนุญาต

“อืม ไปเถอะ” จางอี้ปินพยักหน้า เพราะถึงอย่างไรตอนที่เขาคุยกับเทียนจวิน นางก็ไม่อาจอยู่ด้วยได้อยู่แล้ว

นางจะไปเดินเล่นตอนนี้หรือรอจนเทียนจวินมาแล้วก็ไม่แตกต่างกันสักนิด

จ้าวเป่าฉินจึงลุกขึ้นเดินออกไป เธอเดินอย่างอกผายไหล่ผึ่ง หน้าเชิด

นางกำนัลมองแล้วแอบเบะปากดูแคลน

จ้าวเป่าฉินเดินเล่นไปเรื่อยๆ สถานที่สวยงามทำให้เธอเดินเล่นได้อย่างไม่รู้เบื่อ อีกทั้งสถานที่นี้เธอก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกจึงน่าตื่นตาตื่นใจมาก เธอเดินไปทางไหนก็ถูกคนซุบซิบนินทาจนเธอขี้เกียจจะฟังจึงก้าวเท้าไปตามเส้นทางที่ไร้ผู้คน

เธอเดินไปเรื่อยๆ ชมสวนชมอาคารไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำดังจ๋อมๆ

ข้างหน้ามีน้ำเหรอ? เธอคิดๆ แล้วก้าวเท้าต่อไป จนกระทั่งเห็นธารน้ำร้อน ธารน้ำร้อนเธอเคยเห็นมาตั้งเยอะแยะแล้ว รอบๆ เรือนของเธอก็มีธารน้ำร้อนหลายแห่ง เธอชอบไปแช่น้ำร้อนเป็นประจำ แต่ที่ทำให้เธอตกตะลึงจนเบิกตาโตก็คือผู้ชายคนหนึ่งที่เปลือยกายอยู่ในธารน้ำร้อนต่างหาก โอ—

เส้นผมยาวสลวยสีดำขลับเป็นเงางามยิ่งกว่าเส้นผมของนางแบบในโฆษณาแชมพู ทำให้วงหน้าขาวๆ หล่อเหลายิ่งโดดเด่น เธอจ้องมองวงหน้านั้นอย่างตกตะลึง เขามีใบหน้าที่หล่อเท่าเทียมอาจารย์ได้เลย แต่หล่อคนละแบบ อาจารย์ของเธอนั้นหล่อคมเข้ม ส่วนผู้ชายคนนี้หล่อดุดันเต็มไปด้วยเสน่ห์ของบุรุษเพศ เขานั่งพิงก้อนหินข้างธารน้ำหลับตาแช่น้ำร้อนท่าทางสบายอกสบายใจ

เธอยืนตะลึงมองเขาอยู่นานมาก มองนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยซักนิด จนเธอคิดอยากเอาเขากลับไปนั่งมองนอนมองที่บ้านด้วยจังเลย เธอยืนจนเมื่อยขาจึงขยับตัว เท้าพลันเตะก้อนกรวดก้อนหนึ่งใต้เท้า เป๊ะ!

ชายรูปงามลืมตาทันที เขามองตรงไปแล้วเห็นสตรีอ้วนนางหนึ่งยืนมองเขาอยู่ เขารู้ว่านางไม่ใช่นางกำนัลในตำหนักเก้าชั้นฟ้าแห่งนี้ แล้วนางเป็นใคร? บริเวณโดยรอบธารน้ำร้อนนี้ล้วนกางเขตอาคมเอาไว้ ใครก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้นอกจากเขา เช่นนั้นนางเข้ามาได้อย่างไร?

“เอ่อ ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ” จ้าวเป่าฉินพูดออกไปพลางโบกมือไปมา เธอไม่ได้ตั้งใจเข้ามาที่นี่ เธอไม่ได้ตั้งใจเตะก้อนกรวดนะ ส่วนจะบอกว่าเธอไม่ได้ตั้งใจดูเขา ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเธอยืนดูเขาอยู่นานมาก นานจนขาเธอแข็งไปหมดแล้ว

“ไสหัวไป!” บุรุษรูปงามพูดสามคำ

จ้าวเป่าฉินหน้าตึงขึ้นมาทันทีทันใด ถ้าเขาพูดดีๆ เธอก็คงเดินไปแล้ว แต่นี่เขาพูดจาไม่ดีเลย ดังนั้นเธอจึงปักหลักอยู่กวนประสาทคนซะเลย ชิ!

เธอยกมือกอดอก ยืนมองเขา “ทำไมข้าต้องไสหัวไปด้วย? หากเจ้าไม่อยากให้ใครเห็นก็ควรจะไปแช่น้ำในห้องหับให้มิดชิดซิ สถานที่เช่นนี้ใครก็ผ่านไปผ่านมาได้ ข้าก็แค่ผ่านมาเท่านั้น ไม่เห็นต้องหยาบคายเลยนี่”

ชายรูปงามหน้ากระตุกยึกๆ เขาโกรธจนโทสะท่วมฟ้าขึ้นมาแล้ว ไม่เคยมีใครกล้าว่าเขาเช่นนี้เหมือนนาง เขาลุกขึ้นยืนทันใด

จ้าวเป่าฉินมองอย่างไม่หลบตาสักนิด เรือนร่างผู้ชายเธอเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว ก็ผ่าศพมาหลายร้อยศพแล้วนี่ เห็นมาหมดแล้วทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก คนหนุ่ม คนสาว คนแก่ ผ่านมือหมอนิติเวชอย่างเธอมาตั้งมากมาย

ชายรูปงามยิ่งโกรธจนขบกรามกรอดๆ สตรีอื่นล้วนหน้าบาง ยามเห็นเรือนกายบุรุษล้วนเอียงอายหันหน้าหนี แต่สตรีอ้วนนางนี้ไม่แม้แต่จะหันหน้าหนี ตาก็ไม่กะพริบสักนิด จ้องมองดูเขาอย่างหน้าหนายิ่ง! นางบุกรุกเข้ามาในสถานที่ของเขาแล้วยังมายืนชมเรือนร่างเขาอย่างไร้ยางอาย นางช่างเป็นสตรีหน้าหนาที่สุดที่เขาเคยพบเจอ เขาจึงส่งพลังเล็กๆ ออกไปสายหนึ่ง โยนนางออกไป!

“เหวอ—” จ้าวเป่าฉินร้องลั่นเมื่อตัวเธอจู่ๆ ก็ลอยละลิ่วพุ่งไปข้างหลังราวลูกกระสุนปืนใหญ่ แล้วตัวเธอก็กระแทกผนังอาคาร โคร้ม!

เธอเจ็บจนจุกพูดไม่ออก ตัวเธอไม่ได้หยุดที่ผนังนี้ แต่เธอกระแทกผนังจนทะลุไป ตัวเธอลอยพุ่งไปกระแทกผนังอีก โคร้ม!

ผนังนี้ก็ยังไม่อาจต้านทานแรงกระแทกได้ ตัวเธอทะลุผนังไปอีกครั้ง แล้วกระแทกผนังถัดไป โคร้ม!

แล้วก็ทะลุผนังไปอีกครั้งหนึ่ง แล้วกระแทกใส่ผนังอีกครั้ง โคร้ม!

แล้วก็ โคร้ม! โคร้ม! โคร้ม! โคร้ม! โคร้ม! โคร้ม!

จนในที่สุดตัวเธอก็ไม่ทะลุผนังไปแล้ว เธอหล่นตุบลงตรงนั้น เนื้อตัวเธอเต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน แขนขาหักผิดรูป กระดูกทิ่มแทงออกมานอกเนื้อสภาพอเนจอนาถยิ่ง เธอเจ็บจนร้องไม่ออกสักคำ เจ็บจนแทบขาดใจตายแล้ว

ชายรูปงามตกตะลึงบื้อใบ้ไป เขาไม่คิดว่าพลังเล็กๆ สายหนึ่งของเขาจะก่อให้เกิดผลเช่นนี้ได้ ปกติแล้วเทพส่วนใหญ่ถูกพลังของเขาโยนออกไปก็ไม่ปลิวราวลูกธนูหลุดจากคันศรเช่นนี้

เสียงโครมครามที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าเทพที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงตกใจ “เกิดอะไรขึ้นรึ?”

พวกเขารีบเดินไปดูต้นเหตุ แล้วพวกเขาก็พบก้อนเนื้อก้อนหนึ่งข้างผนังที่ถูกกระแทกจนปริแตกใกล้จะพังลงมา

“นี่!”

เหล่าเทพตกใจจนพูดไม่ออก พวกเขามองไปทางด้านหน้าของก้อนเนื้อก้อนนั้นแล้วเห็นผนังที่ทะลุเป็นช่องใหญ่โต

ชายรูปงามหายตกตะลึงลงบ้างแล้วจึงคว้าอาภรณ์มาสวมแล้วรีบพุ่งไปดูสตรีอ้วนทันที

เมื่อเห็นสภาพของนางเขาก็ตกตะลึงอีกครั้ง เขาไม่ได้ตั้งใจจะกระทำรุนแรงกับนางถึงขนาดนี้นะ! จริงๆ นะ แค่พลังเล็กๆ สายหนึ่งของเขา ต่อให้เป็นสตรีรูปร่างผอมบางก็ไม่อาจปลิวมาไกลถึงขนาดนี้ได้ อย่างมากก็ราวๆ ไม่เกิน 10 เมตรเท่านั้น แล้วเหตุใดสตรีนางนี้จึงได้กลายเป็นเช่นนี้เล่า!?

จ้าวเป่าฉินพยายามลืมตาผ่านม่านเลือดที่ไหลเข้าตา เธอมองเห็นชายรูปงามโหดร้ายคนนั้นจึงพยายามจ้องมองเขาอย่างอาฆาตแค้น คอยดูซิถ้าเธอต้องตายกลายเป็นผี เธอจะตามหลอกหลอนเขาทุกคืนเลย! คนใจร้าย!

เธอแค่ยืนดูเขาเท่านั้นเอง เขาต้องลงมือกับเธอถึงขนาดจะฆ่าจะแกงกันเลยเหรอ!? ใจร้าย! ใจร้ายที่สุด!

เธอเจ็บมาก เจ็บจนแค่หายใจก็เจ็บปวดไปทั้งตัวแล้ว

เหล่าเทพมองชายรูปงามแล้วกุมมือถาม “เทียนจวินพะย่ะค่ะ นี่…”

“ตามหมอมาเร็ว!” เทียนจวินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด

“พะย่ะค่ะ” ทหารคนหนึ่งรับคำสั่งแล้วรีบเหาะเหินไปทันที

เทียนจวินมองสตรีอ้วนที่มีสภาพคล้ายก้อนเนื้อก้อนหนึ่งอย่างรู้สึกผิดอย่างยิ่ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์จะบานปลายถึงเพียงนี้! คิดไม่ถึงเลยจริงๆ

ผู้คนยืนมุงดูอย่างอยากรู้อยากเห็น ซุบซิบกันเสียงเบายิ่งราวกับเสียงผึ้งกระพือปีก

ข่าวๆ นี้แพร่ไปไวอย่างยิ่ง แพร่ไปจนถึงท้องพระโรง

“นี่ๆ ใกล้ๆ ตำหนักเทียนจวินเกิดเรื่องแล้ว”

“เรื่องอะไรรึ?”

นางกำนัลกระซิบกระซาบคุยกัน

“ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดถึงได้มีสตรีอ้วนบาดเจ็บมากกำลังจะตายอยู่ข้างตำหนักเทียนจวิน”

“หือ?” จางอี้ปินหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘สตรีอ้วน’ เขาผุดลุกขึ้นยืนทันควัน ในตำหนักเก้าชั้นฟ้านี้ยังจะมีสตรีอ้วนคนไหนอีกนอกจากเป๋าเป้ยศิษย์คนเดียวของเขา เขารีบพุ่งทะยานออกจากท้องพระโรงทันที

เขามองหาจ้าวเป่าฉินอย่างร้อนใจ เพียงครู่เดียวเขาก็พบสถานที่ที่มีผู้คนรุมล้อมอยู่นับร้อยๆ คน เขารีบพุ่งตรงไปที่แห่งนั้นทันที

“หลีกทาง!ๆ” เขาตะโกนลั่น ใช้พลังแหวกผู้คนที่รุมล้อมอย่างหนาแน่นออก

“อ้า!”

“เหวอ—”

ผู้คนถูกพลังสายหนึ่งดันออกไปจนพวกเขาต้องรีบเหินลอยขึ้นไปหลบพลังสายนั้น ทำให้เส้นทางเปิดออกเป็นช่อง

จางอี้ปินพุ่งไปจนถึงผนังที่แตกร้าวกำลังจะพังแหล่มิพังแหล่ แล้วเขาก็เห็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่งกองอยู่กับพื้น เขาตกใจเบิกตาโต “เป๋าเป้ย!”

เขาพุ่งไปหานาง ใช้พลังช้อนก้อนเนื้อก้อนนั้นขึ้นมาแล้วฉีกช่องว่างเดี๋ยวนั้น! อย่างไม่สนใจแล้วว่าการฉีกช่องว่างของเขาจะกระทบกับเขตอาคมที่ปกป้องตำหนักเก้าชั้นฟ้าอย่างไรบ้าง

ครืนนนนน—

ตอนนี้เป๋าเป้ยสำคัญที่สุด เขาต้องรีบพานางไปสำนักโอสถไวที่สุด! เขาพานางก้าวเข้าไปในช่องว่างที่ฉีกออก

“อ้า!” ผู้คนที่ยืนมุงดูล้วนตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างกันถ้วนหน้า

“นั่น!” เทียนจวินอุทานได้คำเดียว ช่องว่างก็ปิดลงแล้ว หลงเหลือไว้เพียงเสียงครื้นครั่นของเขตอาคมที่ถูกทำลายลงไป

เหล่าเทพแตกตื่นตกใจกันหมดทั้งตำหนักเก้าชั้นฟ้าแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น!?”

“ไอหยา! เกิดอะไรขึ้นรึ!?”

ฯลฯ

พวกเขาวิ่งออกมาดูท้องฟ้ากันอย่างแตกตื่น

มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่แตกตื่นเหมือนคนทั่วไป ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนเป็นเทพชั้นสูงที่อาศัยอยู่ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า พวกเขาเพียงสงสัยว่าเหตุใดเขตอาคมจึงพังทลายลงได้?

ณ ท้องฟ้าเหนือสำนักโอสถ ช่องว่างฉีกออกตรงกลางสำนักโอสถ ทำให้เขตอาคมถูกทำลาย ครืนนนนน—

ผู้คนในสำนักโอสถตกใจแตกตื่น “อ้า!”

“ไอหยา! เกิดอะไรขึ้นรึ?”

“อ้า! เขตอาคมถูกทำลาย!”

ฯลฯ

จางอี้ปินก้าวออกจากช่องว่างพร้อมกับร่างของจ้าวเป่าฉิน เขาตะโกนลั่นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว “เจ้าสำนักโอสถ—”

เจ้าสำนักโอสถได้ยินเสียงเขตอาคมพังทลาย ตามด้วยเสียงเรียกดังลั่น เขาจึงรีบพุ่งออกไปดู

จางอี้ปินไม่ได้รออยู่ตรงนั้น เขารีบพาจ้าวเป่าฉินเหินลอยไปตามหาเจ้าสำนักโอสถอย่างร้อนใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!