Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1006

ตอนที่ 1006 สิ้นสูญนี้มิใช่ดับทุกข์

จูโหย่วไฉมองทวนยาวที่ตรงมาจากทุกทิศดุจเสียงสะอื้นไห้ของสตรี ทวนยาวนี้มาด้วยความเร็วสูงยิ่งนัก ทะลวงอากาศเข้ามาใกล้ วูบเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

จูโหย่วไฉเงียบนิ่ง ตัวเขาหยุดกลางอากาศ ช่วงที่ทวนเข้ามาใกล้ เขายกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือ สัญลักษณ์มือแบบนี้ดูไม่สละสลวยเอามากๆ แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนชำนาญเป็นอย่างยิ่ง

ความรู้สึกสองชนิดที่ไม่ควรเกิดขึ้นพร้อมกัน ตอนนี้ตัดสลับอยู่บนมือขวาที่ยกขึ้นของจูโหย่วไฉ ทันทีที่วูบวาบผ่านไป เสียงแหลมลากยาวของทวนดับทุกข์เงียบลง

มัน…มาอยู่ในมือจูโหย่วไฉ ถูกเขาชูขึ้นด้วยมือขวา ครั้นกำเอาไว้แล้วก็สะบัดไปข้างหน้าอย่างง่ายๆ พลันเกิดเสียงลากยาวขึ้นอีกครั้ง เสียงทะลวงผ่านอากาศกระหึ่ม เสียงแหลมเล็กนั้นดังวนเวียนรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

เหตุการณ์นี้ทำให้ร่างสมบัติล้ำค่าที่กำลังเข้ามาใกล้พลันหยุดชะงักกลางอากาศ สีหน้าเผยความเหลือเชื่อ บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงข้างกายซูหมิงเบิกตากว้าง เขารู้จักกับจูโหย่วไฉมาหลายพันปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นพลังแบบนี้จากอีกฝ่าย!

พลังนี้คือหลังจากจูโหย่วไฉจับทวนดับทุกข์ ก็ปะทุจิตใจแน่วแน่ที่เย่อหยิ่งเหนือทุกสิ่งออกมาจากตัวโดยธรรมชาติ ประหนึ่งว่าตอนนี้จูโหย่วไฉเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งโดยสมบูรณ์ เป็นคนที่มองข้ามร่างกายอัปลักษณ์ มองข้ามเรือนกายใหญ่โตไปได้ ทุกสิ่งที่มองเห็นล้วนเป็น…ประกายคมกริบสะเทือนฟ้าที่เผยออกมาอย่างชัดเจนยามที่เขาถือทวนยาว

โดยเฉพาะซูหมิง เขาจ้องจูโหย่วไฉ ยามนี้ในใจสั่นสะท้านจนยากจะบรรยาย เขาจำสัญลักษณ์มือของจูโหย่วไฉเมื่อครู่ได้อย่างชัดเจน เป็นสัญลักษณ์มือนั้นที่แย่งทวนยาวไปอย่างหน้าตาเฉย กระทั่งทวนยังไม่ต่อต้านแม้แต่น้อย

ถึงขั้น…ซูหมิงเห็นตอนที่จูโหย่วไฉกำทวนเล่มนี้ ทวนกำลังสั่นไหว นั่นไม่ใช่การสั่นเพราะกลัว แต่เป็นตกใจระคนดีใจ!

ความตกใจระคนดีใจนี้ ไม่รู้ว่าซูหมิงคิดไปเองหรือไม่ มันเหมือนกับแยกจากกันมานานแล้วมาเจอกันอีกครั้ง

ช่วงที่ซูหมิงกำลังตรึกตรองอย่างหนัก จูโหย่วไฉก้มหน้าลงมองทวนยาวในมืออย่างเงียบๆ นัยน์ตาเผยความซับซ้อนและขมขื่น ผ่านไปพักใหญ่ก็ละสายตากลับ เงยหน้าขึ้นมองซูหมิง

“มันเป็น….ของเจ้ารึ?”

ซูหมิงจ้องจูโหย่วไฉพลางพยักหน้าช้าๆ เขาก็เพิ่งพบว่าจูโหย่วไฉที่เดิมทีอยู่รั้งท้ายในกลุ่มตัวประหลาดพวกนั้นก็มีความลับของตัวเอง และไม่ใช่พลังเช่นนั้นที่เผยออกมา

ซูหมิงนึกไปถึงร่างโครงกระดูกครึ่งตัวตอนที่พบทวนยาวสีม่วงอมดำ…และยังมีคำจากปากวิญญาณเพลิงที่ว่าวิญญาณของโครงกระดูกนั้น….ยังอยู่

“ทวนนี้มีนามว่าดับทุกข์ นี่คือนามในอดีตของมัน มันยังมีอีกนามหนึ่ง…เรียกว่าสิ้นสูญ เพียงแต่สิ้นสูญนี้ไม่ใช่ดับทุกข์….เจ้าเข้าใจหรือไม่[1]?”

ซูหมิงขมวดคิ้ว เขาไม่ตอบกลับไป แต่เสวียนซางในร่างสมบัติล้ำค่าที่หยุดชะงักกลางอากาศกลับตะลึงงัน หากมองประโยคนี้ในรูปแบบอักษร มองแวบเดียวก็จะเข้าใจ แต่หากฟัง…เขาไม่เข้าใจความหมายของจูโหย่วไฉ ไม่เพียงแค่เขา คนอื่นก็ยังงุนงง มีเพียงบรรพบุรุษหลงไห่ที่เหมือนเกิดความคิดบางอย่าง

บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเพ่งสายตาพลางตรึกตรอง

“หากไม่เข้าใจ ทวนนี้…เจ้าไม่ต้องเอาไป” จูโหย่วไฉถอนหายใจแผ่วเบา เขาก้มหน้ามองทวนในมืออีกครั้ง แววตาเผยความเศร้าเสียใจ

พริบตาที่เห็นแววตาจูโหย่วไฉมีความเสียใจ ซูหมิงพลันใจเต้นเล็กน้อย เขานึกไปถึงภาพเหล่านั้นที่เกิดขึ้นในความคิดตอนที่กำทวนเล่มนี้ครั้งแรก

“กอดศพคู่ชีวิต ละอายตัวเองที่เกิดเป็นคนเสียเปล่า ต่อให้บรรลุถึงขั้นเกิดแล้วอย่างไร ก็ยังว่างเปล่าอยู่ดี” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

เสียงเขาส่งไป ทันทีที่เข้าถึงหูจูโหย่วไฉ จูโหย่วไฉพลันเงยหน้าขึ้นมองซูหมิง ผ่านไปพักใหญ่เขาพลันหัวเราะลั่น ขณะเดียวกัน กลิ่นอายพลังที่แผ่มาทั่วร่างกับ กายใหญ่โตอัปลักษณ์เกิดเป็นความขัดแย้งกันอย่างชัดเจน

หัวเราะไปหัวเราะมา ก็เก็บซ่อนความความเศร้าที่คนอื่นมองไม่เห็นไว้ จูโหย่วไฉยกมือขวาขึ้นสะบัด ทวนสิ้นสูญกลายเป็นแสงสีม่วงอมดำตรงไปหาซูหมิง เสี้ยวพริบตาเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าเขา มันลอยแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น แต่กลับมีเสียงอื้ออึงดังกังวาน ฟังจากเสียงนี้แล้ว ซูหมิงก็เหมือนได้เข้าใจอะไรบางอย่าง

“ทวนเป็นของเจ้า!” จูโหย่วไฉหัวเราะเสียงดัง เขาหมุนตัวกลับแล้วเดินหน้าไปหนึ่งก้าว ไม่มองรูปปั้นสามหัวกลางน้ำวนก้นทะเลที่ห่างจากเขาไม่ไกลเลยแม้แต่ หางตา ราวกับว่าต่อให้มันเป็นสมบัติล้ำค่า ก็ห่างไกลเกินกว่าที่จะอยู่ในสายตาเขา

“รูปปั้นเทพทะเลนั่น หากไม่ถึงขั้นกุมระดับสูงอย่าแตะมัน จะเกิดภัยพิบัติร้ายเอาได้ ดูแลตัวเองให้ดีด้วย”

จูโหย่วไฉเดินไกลออกไปจนกระทั่งเข้าไปในทางออกของมิตินี้ แล้วหลอมรวมหายเข้าไปในมวลอากาศบิดเบี้ยว

ซูหมิงมองร่างจูโหย่วไฉเดินไกลออกไป จนกระทั่งหายไปแล้ว เขามีสีหน้าเข้าใจแจ่มชัด ยกมือขวากำทวนยาวที่ลอยอยู่ตรงหน้าเอาไว้ สายตามองทวนเล่มนี้พลางสะบัดมือขวา ทวนสิ้นสูญพลันหายไป กลายเป็นแหวนอยู่ตรงนิ้วโป้ง

“ยังไม่มาอีก” ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองร่างสมบัติล้ำค่าที่กำลังลังเลอยู่ในตอนนี้

ตอนนี้ร่างสมบัติล้ำค่าถูกเสวียนซางควบคุมอยู่ ในใจเขาปั่นป่วนอย่างยิ่ง ไม่ง่ายเลยที่จะได้เป็นวิญญาณหลัก หากซูหมิงหลอมรวมเข้ามาอีกครั้ง เขาก็จะกลับไปเป็น ผู้ใต้บัญชาอีก เรื่องนี้ทำให้เขาอดลังเลมิได้

“ไม่ยอมให้ข้ารวมด้วยรึ?” ซูหมิงกล่าวราบเรียบพร้อมส่งกระแสจิตไปทันที ชั่วขณะนั้นร่างสมบัติล้ำค่าเปล่งแสงสว่างเด่นชัด ภายใต้แสงขยับวิบวับ บนร่างกายเกิดเงาร่างซ้อนทับขึ้นหลายร่าง

คนแรกที่ปรากฏคือสวี่ฮุ่ย!

สวี่ฮุ่ยเดินหนึ่งก้าวออกจากร่างสมบัติล้ำค่าพลางเขี่ยเส้นผม ร่างกายขยับไหวมาอยู่ข้างกายซูหมิง มองเขาขณะใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

“ข้าก็ยังชอบเจ้าแบบนี้ที่สุด” สวี่ฮุ่ยกะพริบตา ยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวขึ้น

จากนั้นก็เกิดเงาซ้อนทับที่สองบนร่างสมบัติล้ำค่า เป็นกระเรียนขนร่วงที่กำลังหลับใหล เมื่อถูกซูหมิงดึงออกจากร่างสมบัติล้ำค่าผ่านการเชื่อมต่อแล้ว มันก็ตรงมาหาซูหมิง จากนั้นเขาจึงสะบัดแขนเสื้อเก็บมันไปในถุงเก็บวัตถุ

คนที่สามคือบรรพบุรุษหลงไห่ที่มีร่างจิตแรกเหมือนกับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง ร่างชายชราขยับวูบวาบแล้วออกไปจากร่างสมบัติล้ำค่าโดยพลัน ตอนที่มาอยู่ข้างกายซูหมิง เขามองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง

“หลงไห่!” บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงหน้าเปลี่ยนสีทันใด ตัวเขาถอยไปหลายก้าวโดยจิตใต้สำนึก แน่นอนว่าเขาต้องรู้จักหลงไห่ ข้ามเรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาสองคนรู้จักกันได้อย่างไรไปก่อน ลำพังเพียงตอนอยู่ในมิติต้นกล้าร้อยจั้ง บรรพบุรุษ หุ่นเชิดเพลิงก็เคยคิดจะกินกายเนื้อหลงไห่แล้ว

“สหายหุ่นเชิดเพลิง ไม่เจอกันนาน” หลงไห่มองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงด้วยรอยยิ้มทีเล่นทีจริง นัยน์ตามีเสี้ยวความประหลาดใจ สองคนนี้เป็นร่างจิตแรก แต่เพราะแบบนี้เอง ต่างฝ่ายต่างจึงกลืนกินกันเองได้ง่ายมาก

พอสวี่ฮุ่ย กระเรียนขนร่วง รวมถึงบรรพบุรุษหลงไห่ออกมาแล้ว พลังของร่างสมบัติล้ำค่าพลันลดลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้กำลังรบที่แผ่ออกมาเทียบเท่าเพียงภัยพิบัติตะวันเท่านั้น ต่อให้พวกเสวียนซางสี่คนยังมีกลอุบายที่ยังไม่ได้ใช้อีก อย่างมากสุด… ก็สู้กับภัยพิบัติตะวันระดับสูงได้เท่านั้น

หากเป็นโลกข้างนอก บางทีขั้นพลังแบบนี้อาจจะเที่ยวรังแกคนอื่นได้ แต่ใน เตาหลอมลำดับห้า ขั้นพลังแบบนี้ไม่เรียกว่าอยู่ในภาวะลำบากก็ใกล้เคียง

กลับกันทางด้านซูหมิง ตัวเขาเองก็สู้กับขั้นกุมธรรมดาได้แล้ว และยังมีบรรพบุรุษหลงไห่อีก อีกทั้งยังให้บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงลงมือช่วยได้ ประกอบกับเขายังมีโอกาสให้บรรพบุรุษดินทรายลงมืออีกสองครั้ง กระทั่งยังมีน้ำหวานผนึกจิตรวมถึงพืชสามใบที่ทำให้กุมกฎชะตาได้ เมื่อมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในมือ กำลังรบของเขากับก่อนหน้านี้ไม่ต่างกันเลย และก็ไม่ต้องสนใจด้วยว่าเมื่อหวงเหมยกับจื่อหลงเห็นแล้วจะเกิดความ คิดอะไร

ซูหมิงไม่มองร่างสมบัติล้ำค่าที่หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรงแม้แต่หางตา เขาหมุนตัวกลับแล้วขยับไหว เดินไปยังทางออกของมิตินี้ คนข้างกายเขาก็ตามมาทันที ตอนที่ทุกคนกลายเป็นสายรุ้งยาวบินไกลออกไป ซูหมิงไม่ได้สนใจรูปปั้นสามหัวกลางน้ำวนก้นทะเลเลย

เขาเลือกเชื่อจูโหย่วไฉในเรื่องนี้ นอกจากนี้แล้วทั้งเตาหลอมลำดับห้าในอนาคตก็ต้องเป็นของเขา เว้นแต่จะเจอสมบัติที่ทำให้เขาจิตใจร้อนรน มิเช่นนั้นแล้วจะไม่ รีบร้อนเอามา จุดนี้คือสิ่งที่เขาต่างกับคนอื่นโดยสิ้นเชิง

เห็นซูหมิงไกลออกไป พวกเสวียนซางสี่คนในร่างสมบัติล้ำค่าพลันตื่นตระหนกหน้าซีด โดยเฉพาะเสวียนซาง ยามนี้พลันเข้าใจแล้วว่าซูหมิงต้องการร่างสมบัติล้ำค่าก็จริง แต่พวกเขาสี่คนต้องการซูหมิงมากกว่า

นี่ก็คือซูหมิง หากเป็นคนอื่นคงจะลงมือสังหารสี่คนนี้เพื่อแย่งชิงไปแล้ว

แต่ซูหมิงคิดว่าไม่จำเป็น หากเขาคิดว่าต้องได้สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้จริงๆ ต่อให้มัน ถูกหลอมขึ้นโดยผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้คือ เด็กหนุ่มชุดคลุมแดงอาจารย์ของเจ้าของทวนสิ้นสูญที่ซูหมิงเห็นในภาพ แล้วมันจะอย่างไร!

“ผู้อาวุโสช้าก่อน!” ในใจเสวียนซางเต็มไปด้วยการตำหนิอย่างร้อนใจจากอีกสามคน ตอนนี้เขาจึงรีบตามไป

“ผู้เยาว์สำนึกผิดแล้ว ผู้อาวุโสโปรดให้อภัยด้วย หวังว่าผู้อาวุโสจะให้โอกาสผู้เยาว์อีกครั้ง ผู้เยาว์จะไม่คิดอะไรอีกแล้ว ขอสาบานกลางกระหม่อมด้วยบรรพบุรุษแห่งตระกูลเสวียน!” นี่คือจุดที่ฉลาดของเสวียนซาง เขาไม่เลือกแก้ตัวหรือปกปิดความลังเลของตนเมื่อครู่

แต่พูดออกไปตรงๆ ยอมรับผิดพร้อมกับวางตัวให้ต่ำลงมาก เช่นนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ซูหมิงเกิดความไม่พอใจเนื่องจากการแก้ตัวและปิดบังของเขาได้

เสวียนซางไล่ตามไปพลางรีบแผ่ขยายวิญญาณ ทำให้ร่างสมบัติล้ำค่าไม่มีวิญญาณหลักควบคุม พอเห็นยอมมอบตำแหน่งให้แล้ว ซูหมิงจึงหยุดชะงักครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองร่างสมบัติล้ำค่าที่เสียวิญญาณหลักไป

“แค่ครั้งนี้เท่านั้น จะไม่มีครั้งต่อไปอีก!” ซูหมิงกล่าวพลางขยับวูบไหว เขาสะบัดแขนเสื้อม้วนบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงที่เข้าใจก่อนแล้วแต่ตอนนี้ยิ้มเฝื่อนรวมถึงทุกคนเข้าไปยังร่างสมบัติล้ำค่า

เมื่อหลอมรวมเข้าไปแล้ว ซูหมิงกลายเป็นวิญญาณหลัก ในกลุ่มวิญญาณรองมีบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเพิ่มเข้ามาด้วย!

นี่ก็คือสาเหตุที่ซูหมิงไม่สังหารบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง ความจริงเขายังมีอีกแผนการหนึ่งแต่ล้มเลิกไปแล้ว นั่นคือให้บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงยึดร่างเด็กหนุ่ม ชุดคลุมขาว จากนั้นไปทำให้หวงเหมยกับจื่อหลงเข้าใจผิดเพื่อเบนความสนใจไปยังตัวบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงมากกว่า

แต่พอตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป

……………………….

[1] ดับทุกข์ พ้นกิเลส (往生) กับ สูญเปล่า ปราศจาก (枉生) เป็นคำพ้องเสียงแต่ต่างความหมายในภาษาจีน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!