Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1009

ตอนที่ 1009 ตายไปหนึ่ง

เมื่อร่างสมบัติล้ำค่าแยกออกเป็นส่วนๆ บรรพบุรุษหลงไห่กับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงจึงถูกบีบออกจากร่างก่อน ตอนที่กลายเป็นสายรุ้งยาวมาตกอยู่ข้างๆ สองคนนี้ต่างมี สีหน้าย่ำแย่ยิ่ง

จากนั้นก็เป็นสวี่ฮุ่ย นางกระเด็นออกมาจากในร่างสมบัติล้ำค่าด้วยสภาพค่อนข้างย่ำแย่ ต่อไปถึงเป็นพวกเสวียนซางสี่คน ช่วงที่พวกเขาทยอยกันตกลงมารอบๆ ซูหมิงก็ถูกบีบออกจากร่างสมบัติล้ำค่าเช่นกัน

ในเวลาเดียวกัน ร่างสมบัติล้ำค่าพลันหลอมละลาย สุดท้ายกลายเป็นหินหยก สีแดงขนาดเท่าฝ่ามือลอยอยู่กลางอากาศ แน่นิ่งไม่ขยับไหว

เสวียนซางหน้าขาวซีดทันที ตอนนี้เขาพลันสังเกตเห็นว่าการเชื่อมต่อระหว่างตนกับร่างสมบัติล้ำค่าหายไป หรือพูดได้ว่าร่างสมบัติล้ำค่าในตอนนี้ ไม่ว่าเพราะเหตุใดถึงกลายเป็นวัตถุไม่มีเจ้าของ!

เขาสังเกตเห็นตรงนี้ได้ คนอื่นรอบๆ ก็ย่อมทำได้เช่นกัน

ยามนี้เอง เมื่อร่างสมบัติล้ำค่าแยกออก จื่อหลงกับหวงเหมยมองมาทันที พอเห็นคนจำนวนมากเพียงนี้ออกมาแล้ว สองคนต่างเพ่งสายตามอง

จื่อหลงไม่กล่าวอันใด แต่หันหลังเดินขึ้นยอดเขาต่อ หวงเหมยหน้าเปลี่ยนสี สุดท้ายก็ยิ้มทีเล่นทีจริง ทั้งยังมีการเย้ยเยาะกับโกรธกริ้วอยู่เสี้ยวหนึ่ง

“ที่แท้ก็เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งที่ได้มาจากที่ใดไม่รู้ พวกเจ้าต้องร่วมมือกันถึงจะเข้าเตาหลอมลำดับห้าได้ ก่อนหน้านี้ถูกพวกเจ้าหลอกอยู่นานมาก ไม่รู้ว่าวิญญาณหลักของสมบัติล้ำค่านี้เป็นใครในพวกเจ้า!”

พวกเสวียนซางสี่คนตอนนี้มีสีหน้าตระหนก เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป พวกเขาจึงไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย ตอนนี้พอได้ยินคำพูดชายร่างกำยำหวงเหมยแล้ว ทั้งสี่คนใจสั่นไหว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจิตใต้สำนึกหรือไม่ พวกเขาต่างมองไปยังซูหมิงที่มีสีหน้าเรียบนิ่ง

เมื่อมองไป ชายร่างกำยำหวงเหมยก็มองซูหมิงโดยพลัน พิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็แค่นเสียงเย็นชา นัยน์ตามีแววเย้ยหยันวูบผ่าน ประกายเย็นเยียบปรากฏ

ตัวเขาเป็นยอดฝีมือ แต่กลับถูกผู้ฝึกฌานเล็กจ้อยกลุ่มหนึ่งหลอก โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนเดิมพันแพ้ก่อนหน้านี้ นึกถึงตอนที่ตนเตรียมจะจ่ายไปบ้างเพื่อดึงอีกฝ่ายมาเป็นพวก เขารู้สึกว่านี่คือการเหยียดหยามอย่างหนึ่ง!

“หากพวกเจ้าแสร้งต่อไปก็ไม่เป็นไร แต่ดันมาแยกร่างที่นี่ พวกไร้ประโยชน์!” ชายร่างกำยำหวงเหมยยิ้มเยาะ เขาหมุนตัวกลับไม่มองซูหมิงอีก แล้วก้าวเดินขึ้นยอดเขาอย่างยากลำบาก

ตอนนี้จูโหย่วไฉเดินอยู่หน้าสุด จื่อหลงกับหวงเหมยอยู่ข้างหลัง แต่ว่าสามคนนี้ห่างจากยอดเขายิ่งนัก ต่างฝ่ายต่างเป็นเช่นนี้เหมือนกัน เพราะพวกเขาไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน

จูโหย่วไฉเดินหน้าเป็นเส้นตรง ทว่าจื่อหลงกับหวงเหมยที่บินขึ้นเมื่อครู่แล้วตกลงมาแยกกันไป เดินคนละเส้นทาง

“พวกเจ้าก็ได้ยินคำพูดของชายชราคนนั้นแล้ว ในเมื่อสมบัติล้ำค่าแยกออกแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรวมกันอีก ต่างฝ่ายต่างมองหาโชควาสนาแล้วกัน” ซูหมิงกล่าวเรียบนิ่ง หันหน้าไปมองสวี่ฮุ่ยแวบหนึ่ง

สวี่ฮุ่ยยิ้มให้ซูหมิง มีสีหน้าไม่กังวล

ซูหมิงพยักหน้า เขาเดินหน้าไปโดยไม่สนใจคนอื่นอีก วิชาเคลื่อนย้ายภูผานี้ คนอื่นอยากได้ เขาก็เฝ้าปรารถนาเช่นกัน เขาพบแล้วว่าเมื่อขั้นพลังสูงของตนขึ้น ตอนนี้เขาขาดแคลนสมบัติล้ำค่า แต่ส่งที่ขาดมากกว่าคือ…วิชาอภินิหาร!

หากขั้นพลังต่ำกว่าเขาก็ยังพอว่า ทว่าหากขั้นพลังระดับเดียวกัน ถึงขั้นเป็นตัวประหลาดที่มีขั้นพลังสูงกว่า เขาก็คงไม่มีอภินิหารแก่กล้าที่ใช้ลงมือได้มากนัก

สิ่งที่เล่าเรียนไปก่อนหน้านี้บ้างก็มีพลานุภาพไม่มากพอ บ้างก็ลึกซึ้งจนประหลาด จึงใช้ประโยชน์ในช่วงนี้ไม่ได้ ตอนนี้ เขาร้อนรนอยากได้รูปแบบวิชานี้มามาก…นั่นคือเคลื่อนย้ายภูเขาที่สามารถสั่นคลอนยอดฝีมืออย่างที่ชายชราคนนั้นกล่าวไว้!

นอกจากนี้แล้ว เขามาคำนวณจำนวนคนอีกครั้งก็ยังพบว่า…ขาดไปหนึ่ง!

คนที่หายไปเป็นใครกันแน่ ซูหมิงเชื่อว่านี่ไม่ใช่การคาดเดาของเขาคนเดียว คนอื่นๆ จะต้องใคร่ครวญอยู่แน่นอน

ในเมื่อไม่เข้าใจ ซูหมิงจึงฝังเรื่องนี้ไว้ในก้นบึ้งหัวใจ เขาเงยหน้ามองยอดเขาพลางเดินหน้าไป เมื่อเดินไปเรื่อยๆ แรงกดดันจากยอดเขารุนแรงขึ้นทุกที แรงกดดันนี้ไม่ใช่พลังที่ทำให้คนแหลกสลาย แต่เป็นการสลายพลัง ทำให้ผู้แข็งแกร่งกลายเป็น คนธรรมดา

และคนธรรมดาจะปีนเขานี้ก็ยากเย็นยิ่งกว่าแน่

เวลาผ่านไปช้าๆ คนอื่นๆ ด้านหลังซูหมิงเลือกเดินขึ้นยอดเขาเช่นกัน เสวียนซางสี่คนตัวติดกัน เดินหน้าไปอย่างยากลำบาก สวี่ฮุ่ยหอบหายใจแรง นางกัดฟันเดินหน้าไปเช่นกัน

ส่วนหลงไห่กับหุ่นเชิดเพลิง ตอนที่เดินหน้าไปจึงสบายกว่าคนอื่นไม่น้อยเพราะเป็นร่างจิตแรก กระทั่งแรงกดดันจากภูเขาต่อสองคนนี้ยังน้อยลงไปมาก

ดังนั้นจึงทำให้สองคนนี้เร็วกว่าคนอื่นมากนัก ถึงจะออกตัวท้ายสุด แต่ตอนนี้เท่ากับซูหมิงแล้ว ห่างจากจูโหย่วไฉเพียงหลายสิบจั้งเท่านั้น

เมื่อเวลาผ่านไปอีกครั้ง ตอนที่ทุกคนปีนขึ้นยอดเขาที่ไม่มีสิ้นสุดไปอย่างต่อเนื่อง หุ่นเชิดเพลิงกับหลงไห่แซงหน้าจูโหย่วไฉไปแล้ว กลายเป็นคนที่ใกล้กับยอดเขามากที่สุด

พวกเขาสองคนมีสีหน้าไม่เหมือนกัน แต่ล้วนมีความฮึกเหิมอยู่ในใจ พอปีนขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เหมือนเห็นม้วนตำราเหล็กบนแท่นหินตรงยอดเขากำลังรอพวกเขาอยู่

จื่อหลงมีสีหน้าทะมึน กัดฟันยืนหยัด จูโหย่วไฉขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะด้วยความลังเล แต่ไม่กล่าวใดๆ ส่วนชายร่างกำยำหวงเหมยยิ้มเยาะมุมปาก

เขาไม่เชื่อว่าที่นี่จะมีช่องโหว่ที่ให้ร่างจิตแรกสบายกว่าแบบนี้

ตอนนี้เอง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดยอดเขาถึงพลันสั่นสะเทือน ทั้งยอดเขาคล้ายว่ากำลังโคลงเคลง แรงสะท้อนกลับรุนแรงถูกส่งมา

ซูหมิงขยับวูบไหว ตอนนี้เขามีความรู้สึกเด่นชัดว่าภูเขาที่กำลังปีนอยู่ตอนนี้เหมือนไม่ใช่ภูเขา แต่เป็นสัตว์ร้ายมีชีวิต เมื่อมันขยับไหว เขาจึงเกิดความรู้สึกคล้ายจะถูกสะบัดออกไป

ระหว่างที่หน้าเปลี่ยนสี ซูหมิงจับหินภูเขาเอาไว้แน่น นิ้วมือเป็นสีขาวแล้ว แต่ก็เกาะเอาไว้แน่นมาก ถึงขั้นพลังจะหายไป ถึงจะกลายเป็นเหมือนคนธรรมดา แต่เขาคุ้นเคยกับการปีนเขา

เขาที่เติบโตในเผ่าเขาทมิฬตั้งแต่เยาว์วัย ก่อนหน้าที่จะฝึกหมาน ยอดเขาที่นั่นเป็นที่เล่นของเขา ดังนั้นปฏิกิริยาของเขาจึงรวดเร็วยิ่ง เมื่อจับหินภูเขาเอาไว้แล้ว ร่างกายก็แนบกับผนังหินอย่างแน่นหนา ปล่อยให้ภูเขาโคลงเคลงไป ส่วนตัวเขาไม่ขยับแม้แต่น้อย

เขาทำแบบนี้ได้ บางทีคนอื่นก็อาจทำได้เช่นกัน แต่หลงไห่กับหุ่นเชิดเพลิงที่อยู่หน้าสุดกลับหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง พวกเขาพบว่าตอนที่ภูเขาโคลงเคลง จิตแรกตนพลันแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว การค้นพบครั้งนี้ทำให้พวกเขาสองคนปล่อยมือโดยพลัน ร่างกายพุ่งลงสู่พื้นดิน พรวดเดียวก็มาอยู่อันดับสุดท้าย จนกระทั่งยอดเขาไม่โคลงเคลงอีก พวกเขาถึงปีนต่อไปด้วยความลังเล

ทว่า นี่เป็นเพียงการโคลงเคลงครั้งแรก!

ราวหนึ่งก้านธูปต่อมา เมื่อการโคลงเคลงระลอกที่สองมาถึง ระดับความรุนแรงของมันมากกว่าครั้งแรกหลายเท่า ยอดเขาโคลงเคลง ท่ามกลางเสียงสนั่นกึกก้อง ทุกคนที่ปีนเขาอยู่ต่างหยุดกันในพริบตา ทุกคนล้วนมีหน้าหวาดผวา มือจับหินภูเขาเอาไว้แน่น จนกระทั่งการโคลงเคลงดำเนินไปหลายลมหายใจแล้วจึงหายไป พวกเขาถึงปีนต่ออีกครั้ง

หากปีนต่อทั้งๆ อย่างนี้ ภูเขานี้…คงไม่ยากอะไรมากนัก

แต่ว่า…ตอนที่ทุกคนปีนขึ้นมาจนถึงความสูงเกือบสามส่วนของภูเขา แผ่นดินด้านล่างพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แผ่นดินหายไป ทันทีที่เกิดเสียงครึกโครมดังกังวาน ทุกคนต่างก้มหน้าเพ่งสายตามอง พวกเขาต่างหรี่ตาลงพร้อมกัน โดยเฉพาะพวกเสวียนซางสี่คนยิ่งหน้าเปลี่ยนสีหนัก

ด้านล่างพวกเขาไม่มีพื้นดินแล้ว แต่เป็นเหวลึกมืดมิด ภายในเหวลึกเต็มไปด้วยกลิ่นอายมรณะ ทั้งยังมีน้ำวนหมุนโคจรเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ดูแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง

หากพวกเขายังมีพลังอยู่ก็คงไม่ต้องสนใจ แต่ตอนนี้พลังพวกเขาหายไปเป็นเหมือนคนธรรมดาแล้ว หากตกลงไปละก็…

ขณะที่ทุกคนกำลังตรึกตรอง การโคลงเคลงระลอกที่สามก็มาถึง

การโคลงเคลงครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อน หนำซ้ำยังไม่ได้เกิดขึ้นเพียงหลาย ลมหายใจ แต่นานเกือบถึงสิบสองลมหายใจ เหนียนอิ๋นในพวกเสวียนซางสี่คนที่บาดเจ็บหนักที่สุด หินภูเขาที่เขาจับอยู่แตกกระจายออก ร่างจึงดิ่งลงไปในน้ำวนข้างล่าง

เขาหน้าซีดขาว เพิ่งจะร้องโหยหวน ร่างก็จมลงไปกลางน้ำวนสีดำมืดมิดข้างล่าง อีกทั้งยังมีเสียงเคี้ยวกับเสียงกรีดร้องดังแว่วมาจากข้างในหลายครั้ง สุดท้ายเสียงก็เงียบหายไป

ภาพนี้ไม่เพียงแค่ซูหมิง กระทั่งจื่อหลงกับหวงเหมยยังขนหัวลุกทันที สายตาจ้องเหวลึกข้างล่างเขม็ง

“เหลืออีกสิบเอ็ดคน” เสียงแก่ชราดังแว่วมาจากยอดเขา ค่อยๆ ลอยล่องมา ถึงเสียงจะยังแก่ชราอยู่ แต่เมื่อเข้าถึงหูทุกคนแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเย็นเยียบไม่มีที่สิ้นสุด

“ผู้อาวุโสบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่เคยมีใครมา แต่การจะมามิตินี้ได้ต้องเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น หากพวกข้าตกลงไปในเหวลึก เช่นนั้นใครจะเรียนวิชาเคลื่อนย้ายภูผาของท่าน ท่านจะต้องรออีกนานแสนนาน!” ชายร่างกำยำหวงเหมยเอ่ยขึ้น

“ข้าเคยพูดรึ? สงสัยข้าจะจำผิด ก่อนหน้าพวกเจ้ามีคนเคยมาที่นี่อยู่บ้างแล้ว ทว่า…พวกเขาไม่ใช่ผู้มีวาสนาต่อกัน” เสียงชายชราเรียบนิ่งดังแว่วมาจากบนยอดเขา

สิ้นเสียงนี้ ชายร่างกำยำหวงเหมยพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง

อย่าว่าแต่เขาเลย คนอื่นๆ ตอนนี้ต่างพากันเงียบ คำพูดของชายชรา การตายของผู้ฝึกฌาน ทุกอย่างกลายเป็นเงามืดปกคลุมยอดเขานี้ และปกคลุมในใจของทุกคน

ท่ามกลางความเงียบ จูโหย่วไฉยกมือขวาขึ้นเงียบๆ แล้วปีนต่อไป จื่อหลงกับ ชายร่างกำยำหวงเหมยก็ปีนขึ้นไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน มีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว

ตอนนี้สวี่ฮุ่ยอยู่หน้าพวกเสวียนซางสามคน นางกัดฟันขยับตัวขึ้นไปทีละนิด ความรู้สึกว่าพลังหายไปกลายเป็นคนธรรมดา ทำให้นางนึกถึงทุกอย่างยามวัยเยาว์

ทันใดนั้น การโคลงเคลงระลอกที่สี่มาถึง รุนแรงมากกว่าครั้งก่อนมาก การสั่นไหวของตัวภูเขาคลับคล้ายจะถล่มลง และชั่วขณะที่ยอดเขาโคลงเคลง ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่สวี่ฮุ่ยยกมือขวาเตรียมจะคว้าหินภูเขาเอาไว้

แต่เมื่อภูเขาโคลงเคลง นางเลยคว้าความว่างเปล่า หนำซ้ำจากการสั่นสะเทือนของภูเขา ตัวนางจึงถูกสะบัดออก ร่างดิ่งลงไปยังน้ำวนที่เหนียนอิ๋นฝังร่างไปแล้วอย่างรวดเร็ว

ข้างล่างนางคือเสวียนซางสามคน หากเสวียนซางยื่นมือไปก็จะมีโอกาสให้สวี่ฮุ่ยคว้ามือเอาไว้ ทว่าเขากลับลังเลชั่วครู่ การลังเลครั้งนี้ทำให้สวี่ฮุ่ยเข้าไปใกล้น้ำวน

สวี่ฮุ่ยมีสีหน้าสงบนิ่ง สายตามองซูหมิงบนยอดเขาพลางถอนหายใจ และหลับตาลง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version