Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1163

ตอนที่ 1163 ร่างแยกเคลื่อนไหว

เวลาวูบผ่านไปสามเดือน ในสามเดือนนี้ซูหมิงนั่งฌานอยู่ตลอด เสริมการตระหนักรู้ของกฏชะตาแล้วผสามผสานให้เข้าใจในทั่วทุกด้านในกายและใจ

วันนี้ซูหมิงลืมตาขึ้นช้าๆ มองฟ้ากระจ่างดาวไกลๆ ดวงตาเขาหยั่งลึกเหมือนแฝงไว้ด้วยจักรวาล ไม่นานก็มีสายรุ้งยาวสายหนึ่งบินเข้ามาจากในพายุหมุนกลางฟ้า รอบสายรุ้งนั้นมีระลอกคลื่นสีขาว จุดที่ผ่านพายุหมุนจะสลายไปพร้อมกัน ทำให้คนนี้ใช้ความเร็วที่มั่นคงได้ เพียงไม่กี่ลมหายใจก็เข้ามาใกล้ซูหมิงแล้วก็กลายเป็นชายชราแซ่เหมียวอยู่ตรงหน้าเขาห่างไปหลายสิบจั้ง ก่อนประสานมือคารวะซูหมิงลงลึกๆ

“คารวะนายท่าน”

ซูหมิงมีสีหน้าปกติ เขามองชายชราแซ่เหมียวเรียบๆ แวบหนึ่งแล้วพยักหน้าเล็กน้อย

“นายท่าน ข้าไปตรวจสอบทางตะวันออกมา พบว่ามีผู้ฝึกฌานเหลือรอดหลายหมื่นคน พวกเขาบ้างอยู่รวมเป็นกลุ่ม บ้างก็รวมกันหลายร้อย กระจัดกระจายซ่อนตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ทางตะวันออก

พอข้าไปถึง พวกเขาส่วนใหญ่ตื่นตัว ส่วน…การเลือกเข้าสำนัก นอกจากส่วนน้อยที่ยินยอมเห็นด้วยแล้ว ส่วนใหญ่ลังเล…” ชายชราแซ่เหมียวก้มหน้าลงกล่าว

“เกิดอะไรขึ้นกับอาการบาดเจ็บของเจ้า” ซูหมิงกวาดสายตามองชายชรา แซ่เหมียวแล้วถามขึ้นเรียบๆ

“ระยะทางราวสองเดือนตรงทางตะวันออก และก็เป็นที่ที่ข้าไปไกลที่สุด ที่นั่นมีกองกำลังเล็กของอดีตสำนักดาราสัจธรรมอยู่หนึ่งกลุ่ม มีคนราวๆ หมื่นกว่าคน พวกเขาปฏิเสธจะเข้าสำนัก ทั้งยังละโมบอย่างได้สมบัติข้ามผ่านพายุหมุนที่นายท่านมอบให้…” ชายชราแซ่เหมียวพูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้ามองซูหมิงแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ กล่าวต่อ

ดวงตาซูหมิงเป็นประกายบางจนตรวจไม่พบ เขาพิจารณามองชายชราแซ่เหมียวอย่างละเอียดแวบหนึ่ง ก่อนยกมือขวาสะบัดไป ฉับพลันนั้นมีเม็ดยาหนึ่งเม็ดโผล่ขึ้นมากลางมือ จากนั้นตรงไปหาชายชราแซ่เหมียว

“เม็ดยานี้มาจากโลกข้างบน สามารถรักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้าได้ เจ้ากินแล้วนั่งฌานหนึ่งชั่วยาม จากนั้นพาข้าไปตรงนั้นที่เจ้าบาดเจ็บ” ซูหมิงพูดจบก็หลับตาลง ทว่าจิตสัมผัสกลับเกาะกุมชายชราคนนั้นในระยะไกลเอาไว้พลางพิจารณาอย่างละเอียด

ชายชราแซ่เหมียวรับยามาแล้วก็กินไปอย่างไม่ลังเลและนั่งขัดสมาธิลง ไม่นาน ตัวเขามีเหงื่อซึมออกมา หนึ่งชั่วยามผ่านไป ชายชราลืมตาขึ้นด้วยแววตาตื่นเต้น เกิดเสียงดังปุงปังในร่างกาย อาการบาดเจ็บในครั้งนี้เป็นเพียงแค่ส่วนเดียว อาการบาดเจ็บในมหันตภัยนั้นต่างหากที่ยับยั้งตัวเขามาตลอด แต่ว่ายามนี้ นั่งฌานมาหนึ่งชั่วยาม อาหารบาดเจ็บแทบทั้งหมดฟื้นกลับมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว ส่งผลให้ขั้นพลังแกร่งขึ้นอีกหนึ่งถึงสองส่วน จากความหมัศจรรย์ของยาชนิดนี้จะเห็นได้ถึงความล้ำค่าของมัน

นี่ยังทำให้สายตาชายชราแซ่เหมียวที่มองซูหมิงมีความฮึกเหิมเพิ่มมา เมื่อเขาเกิดความฮึกเหิม ซูหมิงที่หลับตาอยู่สังเกตเห็นในฉับพลันว่าในตัวชายชรามีเสี้ยวพลังแห่งกฏชะตาเบาบางเพิ่มมา ซึ่งเอนเอียงไปทางซูหมิง

ชายชราไม่สังเกตเห็นพลังนี้ แต่ซูหมิงกลับเห็นชัด ภาพนี้ยืนยันว่าการวิเคราะห์ของเขาก่อนหน้านี้มีประโยชน์ ตอนนี้ไม่ต้องลังเลอีก หลังลืมตาขึ้นแล้วก็ยังนั่งขัดสมาธิแน่นิ่ง แต่ร่างกายเกิดร่างเงาซ้อนทับขึ้น จนเมื่อร่างเงาเลือนรางเดินออกมาแล้วก็กลายเป็นซูหมิงอีกคน สวมเสื้อคลุมดำเช่นกัน ทว่านี่คือร่างแยก เป็นร่างแยกกลืนนภาที่เพิ่งฟื้นกลับมา ทั้งยังแกร่งยิ่งกว่าเดิม

เห็นรางๆ ว่าในตัวร่างแยกกลืนนภามีแสงทองอ่อนอยู่หนึ่งชั้น แสงทองนี้คือ หนึ่งในนิสัยของเขา ตอนนี้ก็แยกออกตามร่างแยกกลืนนภาไปแล้ว

ตอนนั้นซูหมิงควบคุมนิสัยตัวเองไม่ได้ แต่ยามนี้เมื่อเขาตระหนักรู้ เมื่อเขาเข้าใจชะตาแห่งภายนอก เขาเลยควบคุมนิสัยที่ต่างกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยัง แยกมันออกมาหลอมรวมในร่างแยกที่ต่างกันได้ด้วย

“นำทางไป” ร่างแยกซูหมิงเอ่ยเสียงแหบแห้งออกมาจากในเสื้อคลุมดำ ชายชราแซ่เหมียวขานรับโดยพลัน ก่อนยืนขึ้นขยับไหวกลายเป็นสายรุ้งยาวตาม ร่างแยกกลืนนภาไป

ระลอกคลื่นสีขาวอยู่ใต้เท้าพวกเขา ตอนที่แผ่ขยายออกจะผลักพายุหมุนออกไป ส่งผลให้พวกเขารวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะร่างแยกกลืนนภา ต่อให้อยู่ในพายุหมุนที่รุนแรงกว่านี้ก็พอจะฝ่าไปได้ในเวลาหนึ่งโดยที่ไม่บาดเจ็บมากนัก ถึงอย่างไรเลือดเนื้อกระดูกเส้นเอ็นเขาก็รวมขึ้นจากการสูบร่างเทพโบราณ ควบคุมพลังแห่งร่างกายได้ แม้ยังไม่ถึงขั้นเรียกว่าไม่ดับสูญ แต่ก็ถึงระดับยากจะดับสูญแล้ว

เสียงอึกทึกดังสนั่นฟ้า สายรุ้งสองสายบินจากไปไกลอย่างรวดเร็ว ครู่ต่อมาก็หายไปในพายุหมุน ซูหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงพื้นที่กว้างโล่งหลายแสนจั้งซึ่งรวมขึ้นจากระลอกคลื่นสีขาวเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วหลับตานั่งฌานต่อ

เวลาผ่านไป ร่างแยกกลืนนภากลางฟ้าใช้ความแกร่งของร่างกายทะลวงผ่านไป เร็วจนห้อเหยียดแซงหน้าชายชราแซ่เหมียว จนถึงที่สุดร่างแยกกลืนนภาจับแขน ชายชราแซ่เหมียวพุ่งทะยานไปด้วยความเร็วกว่าสายฟ้าพร้อมกับเสียงทำลาย มวลอากาศแหลมเล็ก

ชายชราแซ่เหมียวเกิดความฮึกเหิมในใจ ซ้ำยังหวาดกลัว ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าพลังของนายท่านก็น่าตกใจแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่ายามนี้ถึงจะเป็นเพียงร่างแยก แต่กลับมีพลังน่ากลัวถึงเพียงนี้ นี่ทำให้เขาหวาดกลัว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เกิดความคิด ทรยศอีก แต่เป็นเชื่อฟัง

ร่างแยกกลืนนภาจากไปได้ครึ่งเดือน ตรงจุดที่ร่างจ่างจวินของซูหมิงนั่งฌานอยู่ ไกลออกไปมีสายรุ้งยาวลากเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้สายรุ้งนั้นอ่อนมาก เหมือนดิ้นรนถึงจะกลับมาได้ หลังเอาหัวพุ่งเข้ามาในพื้นที่ระลอกคลื่นแล้ว สายรุ้งนั้นก็กลายเป็น เต้าจงชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมดารา เขาหน้าซีดขาว กระอักเลือดคำใหญ่ ในโลหิตยังมีหนอนตัวเล็กสีขาวจำนวนมากขยับยึกยือ พอถูกพ่นออกมา หนอนเล็กเหล่านั้นต่างส่งเสียงคำราม ตามด้วยเกิดเสียงดังปุงๆ พร้อมร่างแตกออก ก่อนกลายเป็นตะขาบมีปีกพุ่งตรงไปหาเต้าจง

“นายท่าน!” เต้าจงที่เหมือนอ่อนแอถึงขีดสุดส่งเสียงตะโกนต่ำ ขณะที่ยกมือขวาขึ้นเพื่อจะระเบิดพลังที่มีอยู่เสี้ยวหนึ่งในร่างกายนั้น ซูหมิงที่นั่งฌานอยู่ไกลลิบ ลืมตาขึ้น ยกมือขวาชี้ไปข้างหน้า

เพียงชี้ไป เหมือนมีพลังแห่งกาลเวลาลงมาเยือนยังพื้นที่ของชายหนุ่ม พลังแห่งเวลาอยู่ในพื้นเล็กๆ กลายเป็นการย้อนเวลากลับอย่างน่าสะพรึง จากนั้นตะขาบมีปีกล้วนถอยไปจนกลับมาเป็นหนอนเล็กสีขาวกลางโลหิตอีกครั้ง กระทั่งโลหิตยังย้อนกลับเข้าไปในปากเต้าจง

ขณะเดียวกันเต้าจงตัวสั่น เพียงสามถึงห้าลมหายใจเกิดเสียงโครมดังขึ้น มีเส้นถี่ สีขาวนับไม่ถ้วนขับออกมาจากรูขุมขนในร่างกาย จากนั้นรวมกันกลางอากาศกลายเป็นลูกกลมเล็กขนาดเท่ากำปั้นสีขาว

เมื่อรวมเป็นลูกกลมเล็กสีขาวแล้ว เต้าจงฟื้นพลังจากอ่อนแอกลับมาอย่างรวดเร็ว ถึงยังไม่สมบูรณ์แต่ก็ได้ราวเจ็ดแปดส่วนของพลังทั้งหมด จากนั้นพลังแห่งการย้อนเวลาถึงหายไป

เต้าจงตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ตัวสั่นเล็กน้อย สายตาที่มองซูหมิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในใจเขาสั่นไหวและรู้สึกว่าเมื่อครู่นี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือพลังแห่งเวลา นั่นคือการย้อนเวลา เป็นยอดอภินิหารที่ควบคุมเวลาได้

มีเพียงอภินิหารชนิดนี้เท่านั้นถึงทำให้อาการบาดเจ็บในร่างกายหายในพริบตา ทำให้เส้นถี่สีขาวเหล่านั้นเข้าไปอย่างไรก็ออกมาอย่างนั้น จนกระทั่งเขากลับมาในสภาพเดิม

เวลานี้ความแกร่งของซูหมิงเหมือนกับการบีบอัดทำให้เต้าจงตกตะลึงยิ่ง เขาสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ ก่อนคารวะซูหมิงลงลึก กล่าวเสียงต่ำด้วยแววตาเคารพ

“ขอบพระคุณนายท่านที่ช่วย!”

“เกิดอะไรขึ้น” ซูหมิงถามขึ้นเรียบๆ ส่วนมือขวาคว้าอากาศ ลูกกลมสีขาวนั้นม้วนเข้ามาอยู่ในมือ จากนั้นจึงเพ่งมองอย่างละเอียด

“นายท่าน ข้าไปทางตะวันตก พบว่ามีอยู่สามสิบเอ็ดแห่งที่มีผู้ฝึกฌานเหลือรอดรวมกันอยู่ ในนั้นมีมากกว่าครึ่งที่ไม่ถึงร้อยคน มีเพียงสองแห่งที่มีหลายพันคน เป็นดาวผุพังสองดวง จากที่ข้าตรวจสอบมา สองแห่งนั้นเป็นผู้ฝึกฌานพันธมิตร เผ่าเซียนในอดีต

อีกทั้งในนั้นยังมีขั้นกุมอยู่สี่คน…ในระหว่างการตรวจสอบครั้งนี้ ข้าถูกศัตรูคู่อาฆาตในอดีตทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส หากไม่ใช่ว่ามีสมบัติล้ำค่าที่นายท่านมอบให้ใช้หนีเข้าไปกลางพายุหมุนทำให้เขาตามมาไม่ได้ เกรงว่าข้าคงตายตกอยู่ที่นั่นแล้ว…” เต้าจงยิ้มเฝื่อนพร้อมตอบกลับ

“อีกอย่าง…” เต้าจงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

“พูด” ซูหมิงมองลูกกลมเล็กสีขาวในมือพลางกล่าวขึ้นเรียบๆ

“อีกอย่างในขุมอำนาจพันธมิตรเผ่าเซียนนั้นที่ล่าสังหารข้า พวกเขาเหมือนจะสร้างสำนักเองด้วยเหมือนกัน…” เต้าจงกล่าวขึ้นทันที

ซูหมิงเบนสายตาจากลูกกลมสีขาว หลังหลับตาลงเล็กน้อย ก็มีร่างเงาซ้อนทับขึ้นบนตัวเขาอีกครั้ง พริบตาเดียวมีหมอกกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากตัว ก่อนก้าวเดินออกไปกลายเป็นชายเลือนรางคนหนึ่ง

ในตัวชายคนนี้แฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายไม่อาจบรรยาย นี่คือร่างแยกเอ้อชาง อีกทั้งในร่างแยกนี้ยังมีสีเทาในนิสัยของซูหมิง นั่นคือความหมายแห่งฤดูหนาวที่เป็นตัวแทนการทำลายล้างและสังหาร!

การรวมสีเทาเข้าไปทำให้ร่างแยกเอ้อชางเส้นผมยาวกลายเป็นสีเทาทีละน้อย

ชายผมเทาคนนี้เห็นหน้าตาไม่ชัด ทว่าเมื่อปรากฏตัวแล้ว กลับมีจิตสังหารรุนแรงแผ่มาจากตัวเขา

“จากนี้โลกแท้จริงดาราสัจธรรมมีได้แค่สำนักเดียว ห้ามมีที่สอง หากมีก็ต้องฆ่าล้างสำนัก แค่สังหารผู้นำพอ หากคนอื่นเชื่อฟังก็ให้พากลับมาที่นี่” ซูหมิงไม่มองเต้าจงอีก แต่มองลูกกลมสีขาวต่อเหมือนจะสนใจมาก

ร่างแยกเอ้อชางผมเทาดวงตาขยับประกายแสงโลหิต เขาไม่ตอบแต่เดินหน้าไป ตอนมาอยู่ข้างเต้าจง เต้าจงเกิดความหนาวเหน็บในใจ เขารู้สึกถึงจิตสังหารเข้มข้นกับความบ้าคลั่งที่ทำให้เขาตื่นตกใจจากร่างเงาสีเทานี้ จึงรีบก้มหน้าลงขานรับ ในใจยังแอบเฝ้าปรารถนาว่าหากผู้นำคนนั้นเห็นตนอีกครั้งแล้วจะมีสีหน้าอย่างไร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version