ตอนที่ 1288 ลับมีดสองด้าน
ในสงครามปกติ เมื่อตายถึงระดับหนึ่งแล้ว จิตใจจะแหลกสลายกระจายออก แต่ว่าสงครามในวันนี้ คนที่ตายเหล่านั้น แม้วิญญาณพวกเขาจะถูกระเบิดทำลายไป แต่พวกเขากลับกลายเป็นวิญญาณในใจผู้มีชีวิตคนอื่น กลายเป็นยาในการกระตุ้นชะตาชีวิตพวกเขา ซ้ำยังกลายเป็นนิรันดร์เพราะประโยคหนึ่งของซูหมิง
“สำนักยอดเขาลำดับเก้า เผ่าหมาน ผู้ฝึกฌานที่สู้จนตัวตายทั้งหมด ข้าจะไม่ให้วิญญาณพวกเจ้าต้องโดดเดี่ยว ไม่ว่าวิญญาณพวกเจ้าจะสลายไปที่ใดก็จะรวมกลับ มาใหม่”
เผ่าหมานกับยอดเขาลำดับเก้าไม่ได้ยินคำพูดซูหมิง มีเพียงจักรพรรดิรุ่งอรุณ เหยียนเผยใต้เขาที่ได้ยิน แทบเป็นทันทีที่ซูหมิงกล่าวขึ้น ทันใดนั้นมวลอากาศเหนือสนามรบที่แปรจากวงแหวนอาคมยอดเขาลำดับเก้าพังลง ปรากฏน้ำวนหนึ่งขึ้น อย่างเงียบเชียบ ภายใต้การหมุนโคจรของน้ำวน มีวิญญาณไร้รูปปรากฏขึ้นทีละดวง
วิญญาณเหล่านี้มองสนามรบข้างล่างอย่างสับสน ตอนที่พวกเขาเห็นทุกอย่างบนสนามรบชัด พวกเขาต่างมีสีหน้าตกใจและสับสนยิ่งกว่า พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกฌานยอดเขาลำดับเก้ากับชาวเผ่าหมานที่สู้จนตัวตาย
แทบเป็นช่วงที่พวกเขาปรากฏตัว หลังน้ำวนนั้นหมุนโคจร กลับเกิดจุดแสงที่ผู้มีชีวิตมองไม่เห็นในความว่างเปล่าทีละจุด ตอนที่รวมเข้าด้วยกัน วิญญาณผู้ฝึกฌานยอดเขาลำดับเก้ากับเผ่าหมานที่ระเบิดตัวตายพลันถูกรวมออกมาใหม่ใต้ผืนฟ้า
เหมือนว่าในผืนฟ้านี้มีกฏสูงสุดอย่างหนึ่ง ในกฏนี้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนประโยคหนึ่ง!
และประโยคนั้นคือประโยคเดียวกับที่ซูหมิงพูดไว้ก่อนหน้า!
ผู้มีชีวิตมองไม่เห็นพวกเขา แต่พวกเขาเห็นทุกอย่างในสนามรบ รวมถึง… ซูหมิงที่อยู่ไกลออกไปเป็นดวงตะวันยักษ์ในสายตาพวกเขา ความใหญ่ของดวงตะวันนั้นเหมือนว่าจักรวาลโลกแท้จริงนี้ยังต้องคารวะ
“ข้าคือเทพหมานของเผ่าหมาน ศิษย์ลำดับสี่ของยอดเขาลำดับเก้าในอดีต หนึ่งในผู้สร้างสำนักยอดเขาลำดับเก้าตอนนี้ ข้า…ซูหมิง วันนี้จะใช้ดวงจิต ดาราสัจธรรม ดวงจิตพรรคเซียน ดวงจิตดาราโบราณสร้างยอดเขาลำดับสิบ!
ยอดเขาลำดับสิบนี้คือ ยอดเขาไว้อาลัย ยอดเขานี้จะรวมวิญญาณของชาวเผ่าและคนในสำนักที่สู้ตายในโลกแท้จริงของข้าทั้งหมด วิญญาณพวกเจ้าจะรวมอยู่ที่ ยอดเขาลำดับสิบ คอยปกป้องดินแดนเพื่อสำนักและเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้า!
พวกเจ้าจะได้รับการบูชา ได้รับความพอใจจากตะเกียงและธูปใช้จุดบูชา พวกเจ้า… จะเป็นวิญญาณผู้ปกปักของสำนักและเผ่าพันธุ์ ข้าจะมอบ…คุณสมบัติเป็นอมตะ ชั่วนิรันดร์ตราบเท่าที่สำนักยังคงอยู่ให้พวกเจ้า!” เสียงซูหมิงดังกึกก้อง เสียงที่ผู้มีชีวิตไม่ได้ยินดังก้องฟ้า ก่อนปรากฏยอดเขาคล้ายกระบี่ลูกหนึ่งขึ้นในความว่างเปล่า มันก่อรูปขึ้นตระหง่านอยู่กลางผืนฟ้าในพริบตา
วิญญาณที่ลอยอยู่รอบๆ เหล่านั้นต่างมองซูหมิง หลังคารวะด้วยความตื่นเต้นแล้วก็บินเข้าไปในยอดเขา กลายเป็นวิญญาณอมตะที่ปกป้องเขตแดนกลุ่มแรกในยอดเขาลำดับสิบ!
เหตุการณ์นี้ทำให้จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยตัวสั่น เขามองเห็นทุกอย่างครบ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้เขามีสีหน้าตกใจและเหลือเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ
“นี่ไม่ใช่ขั้นไม่อาจกล่าวออกกฏ…และก็ไม่ใช่การเปลี่ยนกฏ นี่คือ… การสร้างหนึ่งประโยคสร้างหนึ่งกฏ นี่คือ…เต๋าไร้ที่สิ้นสุดหลังขั้นไม่อาจกล่าว!
เพราะว่าเต๋าไร้ที่สิ้นสุด ดังนั้นคำพูดจึงเป็นไป ไร้ที่สิ้นสุดชั่วนิรันดร์…” ระหว่างที่จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยพึมพำ ทั่วร่างเขาพลันอาบชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
ซูหมิงมองสนามรบอยู่ไกลๆ มองวิญญาณที่ถูกรวมขึ้นมาใหม่มิได้สลายไปเหล่านั้น ความชื่นชมในแววตาเด่นชัดขึ้น เขาเห็นการโต้กลับของยอดเขาลำดับเก้า แม้จะดูเหมือนไม่เป็นระเบียบ แต่ความจริงแล้วมีขั้นตอน ทุกอย่างสำเร็จไปตามคำสั่งศิษย์พี่รอง รวมการลงมือในตอนเริ่ม รวมการควบคุมหลายชั้นไม่ให้พลังอำนาจของฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนกับเงามืดรุ่งอรุณผงาดขึ้น และยังรวมถึงการระเบิดตัวเองเป็นชุดๆ ที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ด้วย
สิ่งเหล่านี้ดำเนินไปตามแผนการของศิษย์พี่รอง ควบคุมศัตรูไปทีละชั้น ใช้การสลายพลังอำนาจของอีกฝ่ายมาลดพลังของฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนกับเงามืดรุ่งอรุณอย่างไร้ร่องรอย ใช้วิธีนี้ในการให้ผู้ฝึกฌานเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ส่วนใหญ่ถูกกดดันไปเรื่อยๆ จนพลังสี่ส่วนที่เหลือใช้ออกมาได้เพียงสามส่วน!
ซูหมิงกำลังยิ้ม แต่จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยกลับตกใจกลัว ในความคิดขาวโพลน ผ่านไปพักใหญ่ถึงค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ ใบหน้าขาวซีดไร้เลือดฝาดใดๆ เขาไม่อาจแก้สภาพสงครามในตอนนี้ได้แล้ว ความจริงแล้วนับตั้งแต่ที่บุคคลผู้แข็งแกร่งที่ทำให้เขาใจสั่นไหวปรากฏตัวอยู่ข้างหลัง ทุกอย่างก็ได้ลิขิตเอาไว้
‘เขาเป็นใครกันแน่…ในมหาโลกสามรกร้างจะไปมีตัวประหลาดน่ากลัวขนาดนี้ ได้อย่างไร…สมควรตาย ตัวประหลาดเหล่านั้นล้วนหลับใหลหมดแล้ว ไม่เคยได้ยินเลยว่ามีใครตื่นขึ้น ในตำนานเล่าลือว่าพวกเขาถูกฟ้าดินทอดทิ้ง ไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่หนีออกไปนอกฟ้าดิน…
ตอนที่พวกเขาตื่นขึ้นจะเป็นช่วงก่อนที่โลกจะถูกทำลาย…แต่คนนี้ เขาให้ความรู้สึกว่าเป็นหนึ่งในตัวประหลาดเหล่านั้น อีกทั้งต่อให้อยู่ในตัวประหลาดเหล่านั้น เขาก็ยังถือว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง ขั้นเต๋าไร้ที่สิ้นสุด เห็นได้ชัดว่านี่คือยอดผู้แข็งแกร่งขั้นเต๋าไร้ที่สิ้นสุด สมควรตาย เขา…ตื่นขึ้นมาได้อย่างไรกัน!’ เวลานี้จักรพรรดิรุ่งอรุณ เหยียนเผยไม่ตรึกตรองถึงความตายของผู้ฝึกฌานเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หวนคืนกับความพ่ายแพ้ที่ลิขิตเอาไว้แล้วอีก สิ่งที่เขากำลังใคร่ครวญคือตนจะผ่าน เคราะห์ภัยตอนนี้ไปได้อย่างไร
‘ยอดเขาลำดับเก้า…ตัวประหลาดคนนี้สนใจยอดเขาลำดับเก้าขนาดนี้ ขะ…ข้า…หากรู้อย่างนี้แต่แรก ข้าจะไม่มีทางมาล่วงเกินยอดเขาลำดับเก้า!
ดีที่ข้าตรงนี้เป็นเพียงร่างแยก แต่ว่า…ถึงจะเป็นร่างแยก หากเสียไปหนึ่งร่าง จะเป็นอันตรายต่อข้าอย่างมาก มิหนำซ้ำหากเขาเกิดจิตสังหารขึ้นมา เว้นแต่ข้าจะหนีกลับฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณได้ มิเช่นนั้น เขาจะตามหาข้าในมหาโลกสามรกร้างได้ง่ายดายยิ่ง…’
ขณะที่จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยกำลังกังวลใจ ผู้ฝึกฌานยอดเขาลำดับเก้าที่ทำสงครามกับฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณและสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนชิงความได้เปรียบสูงสุดในสนามรบอย่างต่อเนื่อง หู่จื่อเงยหน้าหัวเราะอย่างเหี้ยมโหด จุดที่ผ่านจะเหมือนกับเขตแดนไร้ผู้คน เดิมทีเขาแกร่งอยู่แล้ว พอประกอบกับพลังศัตรูถูกลดไปเกือบเจ็ดส่วน เขาจึงแทบจะเรียกได้ว่าไร้คู่ต่อสู้ที่นี่ เว้นแต่จะเป็นผู้ฝึกฌานจากฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนกับเงามืดรุ่งอรุณที่แม้จะถูกลดพลังลงไปเจ็ดส่วนก็ยังแข็งแกร่งพอ คนที่เหลือมิใช่คู่ต่อสู้หู่จื่อเลย
ส่วนผู้ฝึกฌานที่ถูกลดพลังลงไปแต่ก็ยังแข็งแกร่งเหล่านั้น คู่ต่อสู้พวกเขา…คือศิษย์พี่ใหญ่!
ศิษย์พี่ใหญ่ดูเหมือนนั่งขัดสมาธิแน่นิ่ง แต่ความจริงแล้ววิญญาณเชมันทั้งหมดรอบตัวเขาสามารถแปลงกายได้ ทำให้แทบทุกที่ในสนามรบมีแต่ร่างเงาวิญญาณเชมัน และก็ยังสื่อความหมายอีกว่ามีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ทุกที่
เห็นได้ว่าช่วงเวลาที่ซูหมิงไม่อยู่ยอดเขาลำดับเก้า พลังของศิษย์พี่ใหญ่มี การก้าวหน้าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะตอนนี้ใช้วิชาแปลงกายอยู่ข้างนอก ทำให้ ซูหมิงต้องมองอย่างละเอียดหลายที
ความแกร่งของวิชานี้ นอกจากร่างจริงจะไม่ขยับแล้ว ยังแยกร่างออกมาได้มากกว่าหลายร้อยร่าง อยู่ทุกมุมของสนามรบ ศักยภาพของทุกร่างที่แสดงออกมาก็พอๆ กับศิษย์พี่ใหญ่ในภาพจำครั้งก่อนของซูหมิง
อีกทั้งตรงศิษย์พี่ใหญ่ที่นั่งขัดสมาธิแน่นิ่ง ซูหมิงยังเห็นถึงดวงจิตบรรพชนวิญญาณบางๆ พอเห็นดังนั้นเขาก็มองอย่างละเอียดอีกแวบหนึ่ง ก็พบว่าดวงจิต บรรพชนวิญญาณนั้นเป็นของบรรพชนแห่งทะเลเต๋า
‘ดูท่าช่วงนี้ยอดเขาลำดับเก้ากับบรรพชนแห่งทะเลเต๋าคงจะปรองดองกันมาก’ ซูหมิงยิ้ม สายตามองศิษย์พี่รองด้วยสีหน้าเคารพ
ในด้านขั้นพลัง ศิษย์พี่รองสู้ซูหมิงไม่ได้ แต่ในด้านความมั่นใจในสนามรบ ในด้านแผนการร้ายต่างๆ และการวางแผน ซูหมิงสู้ศิษย์พี่รองไม่ได้
ศิษย์พี่รองจัดระเบียบยอดเขาลำดับเก้าไว้อย่างหนาแน่น ซ้ำยังสั่งการในสนามรบให้กำลังรบของยอดเขาลำดับเก้าบรรลุถึงจุดสูงสุดได้ สิ่งเหล่านี้ซูหมิงเทียบไม่ได้จริงๆ
เมื่อการบาดเจ็บล้มตายของผู้ฝึกฌานเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนทำให้พวกเขาเกิดความคิดถอยทีละน้อย เมื่อผู้ฝึกฌานยอดเขาลำดับเก้ากับเผ่าหมานมีความมุ่งมั่นในการต่อสู้ฮึกเหิมขึ้นเรื่อยๆ ซูหมิงหรี่ตาลง การฝึกฝนไม่ควรจบลงแบบนี้ ในเมื่อเริ่มแล้ว เช่นนั้นก็ต้องไปให้ถึงระดับฝังลึงถึงจิตใจยากจะลืมเลือน
มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงทำให้การฝึกฝนกลายเป็นตราประทับ มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจุดประกายจิตวิญญาณสงครามของยอดเขาลำดับเก้าของเผ่าหมานได้ ทำให้ หนึ่งสำนักหนึ่งเผ่าพันธุ์ผงาดขึ้นท่ามกลางชัยชนะครั้งใหญ่ ขณะเดียวกันก็ยังอาศัยสงครามครั้งนี้สร้างชื่อเสียงของหนึ่งสำนักหนึ่งเผ่าพันธุ์ไปทั่วสามรกร้างได้ เป็นการ ปูรากฐานสุดท้ายเพื่อการผงาดขึ้น
‘ในเมื่อพวกเจ้าเลือกไม่ยอมอ้างว้างในวันสิ้นโลก เช่นนั้น…ข้าจะมอบอนาคตสูงสุดให้กับพวกเจ้า’ ซูหมิงพูดในใจ ดวงตาสองข้างขยับประกายวาว
“ผู้ฝึกฌานเงามืดรุ่งอรุณของพวกเจ้ามีความสามารถแค่นี้รึ” ซูหมิงพูดขึ้นเรียบๆ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเย็นชา ตอนที่เข้าถึงหูจักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผย ใจเขา สั่นไหว
“ผู้อาวุโส…” เหยียนเผยมีสีหน้าลังเล
“เงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนโจมตียอดเขาลำดับเก้าอย่างสุดกำลัง หากมีใครถอยแม้แต่น้อย ต้องถูกทำลายสำนัก!” เหยียนเผยกัดฟันแน่น เขาตกใจกลัวซูหมิงอย่างยิ่งแล้ว อีกทั้งตนยังมีอันตรายถึงชีวิต ตอนนี้ไม่สนใจอะไรแล้วจึงพูดออกไปในฉับพลัน เสียงดังกังวานฟ้าสนามรบ ดังก้องรอบผู้ฝึกฌานฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนทุกคนที่พลังอำนาจถูกควบคุมไว้ทั้งหมดจนในใจคิดถอย ส่งผลให้เท้าที่ก้าวถอยไปอย่างต่อเนื่องต้องหยุดลง
“พวกเจ้าพูดว่าต่อสู้ได้อย่างเดียว แต่มีแค่ข้าที่พูดว่าหยุดได้” ซูหมิงพูดขึ้นเรียบๆ คำพูดไม่มีแรงกดดันแฝงอยู่มากนัก แต่ความบ้าอำนาจที่แฝงไว้อยู่ในคำพูดอยู่แล้วกลับทำให้จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยกลัวจนตัวสั่น
‘เคราะห์ร้าย เขาคือเคราะห์ร้าย เกรงว่าในยุคสมัยที่เขาอยู่ก็คงมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องความชั่วร้าย…ตะ…แต่ว่าตัวประหลาดแบบนี้ จะมีความเกี่ยวข้องกับยอดเขาลำดับเก้าได้อย่างไร…’ ใบหน้าขาวซีดของจักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยมีความขมขื่น มองเห็นความลังเลทางสีหน้ากระทั่งแววตาอาฆาตจากผู้ฝึกฌานที่หยุดถอยและ หันหน้ามามองตรงเขาไม่น้อยในระหว่างที่คำพูดเขายังดังก้อง
เสียงคำรามเหมือนอยู่ในแดนมรณะดังแว่วมาจากปากผู้ฝึกฌานเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ต่อมาพวกเขาก็พุ่งเข้าไปโจมตีอย่างบ้าคลั่งและไม่คิดชีวิต
“ผ่านความบ้าคลั่งแบบนี้ไป สำนักกับเผ่าพันธุ์นี้จะบานสะพรั่งในสามรกร้าง” ซูหมิงพึมพำพลางมองการเปลี่ยนแปลงของสนามรบไกลๆ เขาเห็นสีหน้าผู้ฝึกฌาน ทุกคนในนั้น เห็นการโคจรพลังในร่างกายผู้ฝึกฌานทุกคนอย่างชัดเจนในเวลานี้เหมือนกับการลับมีด หากลับเพียงด้านเดียวก็จะไม่ถือว่าสมบูรณ์ ต้องลับทั้งสองด้านให้คมกริบถึงจะเรียกว่ามีดคม และตอนนี้ซูหมิงกำลังลับมีดอีกด้าน