Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1297

ตอนที่ 1297 ต่ำต้อย

เสียงซูหมิงดังก้องฟ้า เสียงดังสนั่นปานฟ้าผ่ากังวานไปรอบๆ ทำให้ผู้ฝึกฌานเกือบล้านคนที่นี่ใจสั่นสะท้าน กระทั่งในความรู้สึกพวกเขา ใจสั่นสะท้านแบบนี้เหมือนกับแผ่นดินภูเขาสั่นไหว ไม่เพียงร่างกายสั่น แม้แต่พลังในร่างกายยังปั่นป่วนในทันใด ไม่อาจรวมเข้าด้วยกัน

ตอนนี้ผู้ฝึกฌานล้านคนกระอักเลือดพร้อมกัน ทำให้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งถึงขีดสุด ซ้ำยังทำให้ใบไม้ต้นไม้โบราณเหมือนเกิดจุดแดง

ในความรู้สึกผู้ฝึกฌานโลกแท้จริงจักพรรดิยมโลกล้านคน ความเจ็บปวดในตอนนี้เกินกว่าแรงกดอัดจากเสียงคำรามของดวงจิตโลกแท้จริงก่อนหน้านี้ ความเจ็บปวด ที่ทั่วร่างจะถูกฉีก พลังระเบิดร่างส่งผลให้เกิดเสียงร้องโหยหวนแหลมเล็กดังกังวาน ในเวลานี้

ตอนนี้แม่ทัพยมโลกสามสิบหกคนอยู่บนพื้น สามสิบหกคนนี้มีพลังจากขั้นชะตาไปจนถึงขั้นเกิด แต่ไม่ว่าขั้นพลังใด ยามนี้ล้วนหน้าขาวซีดดูตกใจกลัว

และยังมีราชายมโลกอีกแปดคนนั้น แปดคนนี้นั่งอยู่ใต้วิหารใหญ่ กำลังอมยิ้มมองผู้ยิ่งใหญ่ แต่ทันทีที่ข้างหูดังก้องด้วยคำพูดซูหมิง พลันถูกเหตุไม่คาดคิดสะเทือน ถึงวิญญาณ ทั่วร่างสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ จิตใจคล้ายว่าถูกดวงจิตควบคุม อย่างรุนแรง ทำให้พวกเขาเหมือนหายใจลำบาก ต่อให้อยู่ขั้นดับ ตอนนี้ก็ยังเหมือน คนธรรมดาที่ไร้การช่วยเหลือเผชิญหน้ากับเคราะห์ภัย

และยังมีหมิงหวง ตอนนี้หน้าขาวซีด มือขวาเกาะใบไม้ต้นไม้โบราณเอาไว้แน่น เสียงอื้ออึงดังข้างหูไม่หยุด เวลานี้ไม่ได้ยินเสียงใดๆ จากรอบตัวเลย

เทียบกับพวกเขาแล้ว ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนี้ดีหน่อย แต่มุมปากยังมีโลหิตไหล ร่างซวนเซถอยไปหลายก้าว ตอนที่เงยหน้าขึ้นยากจะปกปิดความตื่นกลัวทางสีหน้า เขาพลันมองไปยังซูหมิงที่เดินออกมาจากมวลอากาศไกลๆ!

ชุดคลุมขาวทั้งตัวประหนึ่งเมฆลอยล่อง เส้นผมยาวสีดำกระจัดกระจาย สีหน้าเฉยชา ในดวงตาสองข้างเผยความสงบนิ่งที่มองออกถึงการผ่านโลกมาเนิ่นนานปานน้ำ ทั่วร่างเหมือนเดินออกมาจากกลางภาพวาด ดูไม่ธรรมดา

ตอนที่เขามองซูหมิง ซูเซวียนอีดวงตาเปล่งประกาย จิตสังหารบรรลุถึงจุดสูงสุดทันที สายตาจ้องซูหมิงเขม็ง ลมหายใจพลันกระชั้นขึ้น เขาแค้นซูหมิงเข้ากระดูกแล้ว ความแค้นนี้มาจากการยึดครองโลกแท้จริงดาราสัจธรรมของสองคน การยึดครองในตอนนั้น ซูเซวียนอีแพ้และถอยไป แผนการที่เตรียมการมาหลายปีล้มเหลวไม่เป็นท่า นี่จึงเกิดการกระทบอย่างรุนแรงต่อเขาไม่น้อย

หากเป็นคนอื่นแย่งกับเขาก็ยังดีหน่อย แต่ซูหมิงมาแย่งกับเขา เรื่องนี้ซูเซวียนอีรับไม่ได้ เขารับไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มโง่เขลาที่เขามีไว้แค่ใช้ประโยชน์ในตอนนั้น จนกระทั่งท้ายที่สุดสำเร็จการบำรุงเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิตแล้วถูกเขาถอดทิ้งไป กระทั่งยังคิดว่าตนเป็นบิดาจะมาแย่งชิงโลกแท้จริงดาราสัจธรรมของเขาใน ตอนสุดท้าย

ในมุมมองซูเซวียนอี ซูหมิงต้องโง่เขลาตลอดไป ลิขิตไว้แล้วว่าชีวิตนี้จะต้องถูกตนวางหมาก ให้เขาเกิดก็เกิด ให้ตายก็ต้องตย ชะตาชีวิตทุกอย่างถูกกำหนดอยู่ในมือตน ครอบงำได้ตามอำเภอใจ

ไม่ว่าจะเป็นภูเขาทมิฬก็ดี แดนต้นกำเนิดจิตก็ดี ในสำนักดาราสัจธรรมหรือ ช่องโหว่สามรกร้างในตอนสุดท้าย ซูหมิงก็ยังโง่เขลาสำหรับซูเซวียนอีมาตลอด ให้ตนใช้ประโยชน์ได้ถึงจุดสูงสุด จนกระทั่งไร้ค่าแล้ว โดยเฉพาะในมุมมองซูเซวียนอี คุณค่าสุดท้ายของซูหมิงคือบำรุงเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิต หลังเสร็จเรื่องนี้ หากมิใช่ว่าซังทำใจไม่ได้ เขาคงสังหารซูหมิงไปนานแล้ว

มดปลวกอย่างนั้นยากจะเทียบกับบุตรของเขาซูเซวียนอี และยังยากจะเป็นศัตรูกับตน นั่นคือทาส แต่เขาซูเซวียนอีคือ เจ้านาย!

โดยเฉพาะตอนนั้นที่ซูหมิงมาถามตนอย่างน่าหัวเราะยิ่งว่าเหตุใดเขาถึงต้องพา อวี่เซวียนไป ตอนนั้นไม่ว่าซูเซวียนอีจะแสดงสีหน้าอย่างไร แต่อารมณ์จริงๆ ในใจกลับยิ้มเยาะและเย้ยหยัน

อวี่เซวียนคือคนที่สองที่ซูเซวียนอีใช้บำรุงเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิต และ ยังเป็นคู่ชีวิตที่เขาเลือกให้บุตรชาย คนฐานะต่ำต้อยอย่างซูหมิงไม่ควรมายุ่งเกี่ยวด้วย!

ในสายตาซูเซวียนอี แม้ซูหมิงจะเป็นเผ่ายมโลก แต่ก็ลิขิตไว้แล้วว่าเป็นทาสเผ่า ไม่คู่ควรกับคู่ชีวิตที่เขาเลือกให้ชนรุ่นหลัง

ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขา เพียงเอ่ยก็ตัดสินความเป็นตายของซูหมิง ความรู้สึกนี้อยู่กับตัวซูเซวียนอีมานานมาก จนกระทั่งตอนที่เขาผู้มีความทะเยอทะยานรับไม่ได้กับการยึดครองโลกแท้จริงดาราสัจธรรม การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของซูหมิง ซ้ำยังโจมตีจนตนถอยไป ทำให้เขาได้แต่มองซูหมิงใช้ การเตรียมการหลายปีของตนยึดครองโลกแท้จริงดาราสัจธรรมไปอย่างสมบูรณ์แบบ

เรื่องนี้เป็นความเจ็บปวดปานฉีกในใจซูเซวียนอี บาดแผลยังคงไม่สมานและ ไม่อาจสมานได้ โลกแท้จริงดาราสัจธรรมนั่น เดิมทีเขาตั้งใจว่าหวังจากยึดครองแล้วก็จะมอบให้บุตรชายไว้เป็นรากฐานให้เผ่ายมโลกผงาดขึ้น

แต่ทุกอย่างถูกทาสต่ำต้อยตรงหน้าคนนี้ชิงเอาไป ความแค้นทำให้ซูเซวียนอีมอง ซูหมิงแวบเดียวก็เกิดจิตสังหารท่วมท้น

เขานั่งอยู่ตรงนั้นทำเสียงหึเย็นชา แม้จิตสังหารจะเหลือล้น แต่นิสัยของเขามิใช่คนมุทะลุ ซูหมิงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ ในมุมมองเขาจะต้องเป็นซังที่แอบวางแผนเอา ไว้แน่ แต่ในเมื่อซูหมิงกล้ามาก็คงจะมีที่พึ่งอยู่บ้าง

‘ที่นี่มีข้าอยู่ มีบุตรที่รักของข้า มีจักรพรรดิรุ่งอรุณ เขา…จะทำอะไรได้สักเท่าไรกัน!’

เขาไม่รู้ว่าซูหมิงเคยไปมหาโลกซางเซียง มิเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้จะต้องมีอีก สีหน้าหนึ่งแน่

แทบเป็นช่วงที่ซูเซวียนอียิ้มเยาะมองซูหมิง จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยข้างกายเขาที่เดิมทีมีสีหน้าหยิ่งยโส แต่ตอนนี้พลันหน้าเปลี่ยนสีอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยตัวสั่นเบาๆ แม้แต่ลมหายใจยังกระชั้นขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสองข้างหรี่ลงดูตกใจและตื่นกลัวรุนแรงถึงขีดสุด ทำให้เขารู้สึกขนหัวลุกจนแทบจะลุกขึ้นหนีไปทันทีโดยจิตใต้สำนึก

การที่เขาตัวสั่นไหวเบาๆ ทำให้ซูเซวียนอีรู้สึกแปลกใจ ตอนที่ซูเซวียนอีมองมา จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยมีสีหน้าปกติแล้ว ความหวาดกลัวถูกปิดบังด้วยความ สงบนิ่ง ด้วยพลังเขา คนที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้ในโลกนี้นับนิ้วมือได้เลย ซูหมิงคือหนึ่งในนั้น ดังนั้นเมื่อครู่ที่มองซูหมิง ทั้งยังได้ยินคำพูดซูหมิงจึงตื่นตกใจ ภาพใน โลกแท้จริงดาราสัจธรรมเมื่อหลายเดือนก่อนส่งผลให้เขากลัวซูหมิงอย่างยิ่งแล้ว

จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยไม่สนใจสายตาที่มองมาของซูเซวียนอี แต่จ้องซูหมิงตาเขม็ง ตอนที่เสียงซูหมิงดังแว่วมาก่อนหน้านี้ เขารู้สึกคุ้นหูอยู่เล็กน้อย พอซูหมิงปรากฏตัว เขาถึงใจสั่นสะท้าน แม้จะไม่เคยเห็นหน้าตาซูหมิงมาก่อน แต่เสียงนั้น…เขาไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต

เสียงที่เป็นดั่งฝันร้าย เสียงที่พลิกมือก็ตัดสินความเป็นตายของตนได้ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ อันน่าสะพรึงนอกยอดเขาลำดับเก้าที่แม้แต่ตอนนี้ยังนึกออก ทำให้จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยจำได้ในฉับพลันว่า…คนตรงหน้าก็คือตัวประหลาดน่าสะพรึงนอกยอดเขาลำดับเก้า หนำซ้ำยังทำให้เขาหวาดกลัวถึงขีดสุดคนนั้น!

‘เป็นเขา! เป็นเขา!’ จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยร้องตะโกนในใจ หัวเขาออกอาการชาขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่มือเท้ายังเย็นเยียบ ทว่ากลับไม่เผยทางสีหน้าใดๆ เพียงแค่ในใจเกิดคลื่นลูกใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

‘บัดซบ ข้าออกจากโลกแท้จริงดาราสัจธรรมแล้ว ควบคุมไม่ให้ผู้ฝึกฌานเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนล่วงเกินยอดเขาลำดับเก้าแล้ว กระทั่งข้า…กระทั่งข้ายังไม่เข้าไปในโลกแท้จริงดาราสัจธรรมแม้ครึ่งก้าว เพราะเหตุใดกัน!

เพราะเหตุใด!

เพราะเหตุใดเขาถึงยังล่าสังหารข้ามาถึงที่นี่ ขะ…ข้า…’ จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยหน้าซีดเล็กน้อย ในหัวเกิดความคิดนับไม่ถ้วน แต่ทันทีที่ทุกความคิดลอยขึ้นมา พอนึกถึงความน่ากลัวของซูหมิงแล้วความคิดเหล่านี้แตกกระจายออกทันที

คนนอกมองไม่เห็นความจริงถึงอารมณ์ต่างๆ ของจักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผย ในสายตาซูเซวียนอี เขาเห็นว่าจักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยไม่พอใจ ขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจกับเรื่องนี้

“ช่างน่าขายหน้าท่านจักรพรรดิรุ่งอรุณ คนนี้คือทาสต่ำต้อยของแซ่ซู วันนี้จะมาทำลายวันดีของทายาทข้า เห็นทีจะต้องให้มีนองเลือดกันบ้าง!” ซูเซวียนอีพูดเสียง เย็นเยียบพลางหันไปมองซูหมิงอย่างเย็นชา

เขาไม่รู้ว่าคำพูดนี้สร้างพายุที่รุนแรงยิ่งกว่าแก่จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผย ระดับความรุนแรงเหนือกว่าที่เหยียนเผยเห็นซูหมิงมาอย่างกะทันหันเสียอีก นี่ทำให้เหยียนเผยตกใจหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรงจนแทบจะลุกขึ้นยืน

“เจ้า…เจ้าบอกว่า…เขาคือทาสของเจ้ารึ?” เกิดคลื่นลูกใหญ่ในใจจักรพรรดิรุ่งอรุณ เหยียนเผย ขณะกล่าวยังมีท่าทีไม่เข้าใจเรื่องนี้เล็กน้อย

“เคยเป็น ข้าสงสารฐานะต่ำต้อยของเขาจึงมอบฐานะทาสให้ แต่เขาไม่รู้จักดีชั่ว ตอบแทนคุณด้วยการบูชาโทษ ดันมาทำลายงานมงคลของข้า!” จิตสังหารในแววตา ซูเซวียนอีเข้มข้นขึ้น

เหยียนเผยตัวสั่น สายตาที่มองซูเซวียนอีซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ แต่ในใจก็ถอนหายใจโล่งอก คิดในใจว่าตัวประหลาดน่ากลัวนี้ไม่ได้มาหาตน แต่มาหาซูเซวียนอีที่ไม่รู้จักสูงต่ำ

‘เขาต่ำต้อย…เอ่อ…หากเขาต่ำต้อย ข้าก็คงไม่เคยเห็นใครสูงส่งกว่าเขาแล้ว หากเขายังต่ำต้อย เช่นนั้นข้าล่ะ ทั้งฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนจะมีใครกล้าบอกว่าสูงส่งกว่าเขาอีก?

ต่อให้เป็นข้า หากไม่ใช่เพราะกลัวเขาเกิดจิตสังหารก็คงไปคารวะแล้ว หากได้รับการชี้แนะสักเล็กน้อยนั่นคือโชควาสนา! หากซูเซวียนอีไม่ได้สมองพิการก็คง ไม่รู้ความจริง ถึงกล้าบอกว่าผู้อาวุโสน่ากลัวท่านนี้ต่ำทราม และยังบอกว่าเป็น ทาสเขาอีก…’ จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยยืนขึ้นอย่างไม่ลังเล ก่อนเดินไปข้างๆ อย่างรวดเร็วเป็นการออกห่างจากซูเซวียนอีเล็กน้อย กลัวว่าด้วยที่นั่งของตนจะทำให้ซูหมิงเข้าใจผิด…

ตอนไปเขายังไม่ลืมคว้ามือไปทางท่านปู่โม่ซังหมายจะพาโม่ซังไปด้วย ถึงอย่างไรเขาก็รับปากกับซูเซวียนอีแล้วว่าจะสังหารคนนี้ด้วยมือตัวเอง ด้วยฐานะจักรพรรดิ รุ่งอรุณของเขา หลักการที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือคำสัญญา

แม้แต่ในใจเขายังรู้สึกเห็นใจซูเซวียนอีมาก คิดในใจว่าซูเซวียนอีไม่รู้ความน่ากลัวของตัวประหลาดตรงหน้า ตนควรจะเตือนหน่อยดีหรือไม่ แต่หากเตือนแล้วก็กลัวว่าจะไปล่วงเกินซูหมิงอีก แต่หากไม่เตือน เขาก็รู้สึกอีกว่าซูเซวียนอีเป็นตัวหมาก ที่ตนเลือก คงไม่ดีนักถ้าจะมองอีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ตนควรจะมีคุณธรรมสักหน่อยกระมัง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!