Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1298

ตอนที่ 1298 เจ้าปิดบังข้า

ขณะลังเลอยู่นี้ ช่วงที่มือเขาจะสัมผัสกับท่านปู่โม่ซัง ซูหมิงเดินเข้ามาช้าๆ แววตาเรียบนิ่งปานน้ำเกิดระลอกคลื่น ระลอกคลื่นนี้พลันกลายเป็นแสงเย็นเยียบที่เหมือนเกิดจากแสงจันทร์สะท้อนลงบนผิวทะเลสาบ มองกวาดสายตาไปยัง จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยเรียบๆ แวบหนึ่ง

หนึ่งก้าวหยุดชะงักครู่หนึ่ง สายตาที่มองโม่ซังดูอ่อนโยน เหมือนว่าตอนนี้เขาลืมฐานะและพลังของตัวเอง เขายังเป็นเด็กของภูเขาทมิฬ ยังเป็นเด็กที่หัวเราะอยู่ ข้างกายท่านปู่…ซูหมิงประสานมือคารวะลงลึกๆ

การคารวะนี้คารวะท่านปู่ คารวะภูเขาทมิฬ คารวะการให้ความสำคัญกับ ความรักของซูหมิง

“ซูหมิงแห่งภูเขาทมิฬคารวะท่านปู่…”

มือจักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยที่ยื่นไปพลันหยุดชะงัก หน้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว ตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นท่าทางการคารวะและคำพูดของ ซูหมิงอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่นานก็ได้สติกลับมา จิตสังหารเกรี้ยวโกรธเหลือล้นในใจกลายเป็นเสียงคำรามพุ่งขึ้นสมองทันที

‘ซูเซวียนอี เจ้า…เจ้าปิดบังข้า!’

จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยในยามนี้ไม่มีหลักการอะไรในคิดความอีก อีกทั้ง หลังโยนคุณธรรมออกจากสมองแล้วยังแค้นซูเซวียนอีเข้ากระดูก ในมุมมองเขา ไม่ว่าซูเซวียนอีจะตั้งใจหรือไม่ แต่นี่ก็เท่ากับว่าปิดบังตน บีบให้ตนเกือบถึงทางตัน ทำให้เขาหลบตัวประหลาดคนนี้ไม่ทัน ชั่วพริบตาเดียวก็มายืนเป็นปฏิปักษ์กับตน

เขาไม่เชื่อว่าซูเซวียนอีจะไม่รู้ถึงความน่ากลัวของซูหมิงจริงๆ กระทั่งในสายตา เหยียนเผย ซูเซวียนอีจะต้องรู้ว่าซูหมิงมาวันนี้แน่จึงดึงตนมาอยู่ด้วย ให้ตนสังหาร ท่านปู่ของซูหมิงเพื่อมัดตนไว้ข้างกายเขา

‘สมควรตาย สมควรตาย…ดีที่ข้ายังไม่ได้ลงมือสังหาร’

แทบเป็นทันทีที่จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยได้ได้สติกลับมา ด้วยพลังแก่กล้าของเขารวมถึงปฏิกริยาโต้ตอบที่เขามีแล้ว มือที่ยื่นไปทางท่านปู่หยุดชะงักครู่หนึ่งก่อน กดไปทางท่านปู่อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ทว่าการกดครั้งนี้ไม่ใช่การคว้า แต่จับเบาๆ เหมือนแฝงไว้ด้วยความเคารพเด่นชัด ทำให้เส้นเวลาที่มัดท่านปู่โม่ซังพลันแตกออก จนเมื่อเส้นเหล่านั้นหายไปอย่าง เงียบเชียบแล้ว จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยใช้มือขวาพยุงท่านปู่ ซ้ำยังยิ้มอย่างอ่อนโยน ในรอยยิ้มนั้นมีความเคารพ

“คนที่แซ่เหยียนนับถือมากที่สุดในชีวิตคือ วีรบุรุษอย่างสหาย รู้ทั้งรู้ว่าพลังไม่พอ แต่ก็ยอมจ่ายทุกอย่างเพื่อญาติพี่น้อง คนแบบนี้ควรค่าแก่การเคารพ!

นี่คือคุณธรรมต่อญาติพี่น้อง เป็นสิ่งที่มีให้แต่ญาติพี่น้อง จุดนี้เหมือนกับ ข้าทุกประการ ข้าเองก็มีนิสัยแบบนี้ ทนเห็นสหายถูกจับไม่ได้ถึงสอดมือช่วย ข้าจะ ไม่มีวันยอมให้คนแบบนี้สิ้นลงตรงหน้าเด็ดขาด ข้าลงมือก็เพื่อช่วยสหาย!

สหาย ก่อนหน้านี้ข้าพูดไม่ชัดเจน ถึงขั้นหยอกล้อกับสหาย นั่นเป็นเพราะข้าเป็นแขกที่ซูเซวียนอีเชิญมา ถึงข้าจะไม่สนิทกับเขา แต่เขาเชิญข้าอย่างใจจริง ข้าเลยต้องจำใจมา แต่ได้มาเจอคนอย่างสหายที่นี่ถือว่ามาไม่เสียเปล่าแล้ว!

ที่ข้าหยอกเล่นก็เพื่อหยั่งเชิงว่าสหายมีความสามารถยอดเยี่ยมจริงหรือไม่ ตอนนี้ข้ามั่นใจแล้ว สหาย…อย่าถือสาที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้เลย คนอย่างเช่นสหายควรค่าแก่การคารวะของข้า” เหยียนเผยมีสีหน้าจริงใจยิ่งเหมือนพูดความจริง ขณะกล่าวยังถอยไปหลายก้าวแล้วประสานมือคารวะโม่ซังลึกๆ

โม่ซังอึ้งงัน ตอนที่ดวงตาขยับประกายบางจนไม่สังเกตเห็นนั้น จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยเงยหน้าขึ้นมองซูเซวียนอีที่กำลังขมวดคิ้วมองตนอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย

“สหายซู ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้!”

“จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผย…” ซูเซวียนอีหรี่ตาลง เหยียนเผยตรงหน้าเปลี่ยน สีหน้าได้เร็วจนซูเซวียนอีใจเต้นระรัว เขายังพูดไม่จบ แทบจะเพิ่งกล่าวขึ้นก็ถูกจักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยตะโกนขัดเอาไว้

“เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมาก บุตรสาวเจ้าไม่ยอมแต่งงานกับเขา ไฉนเจ้าต้องวางผนึกในตัวนางมากมายด้วย ไม่เพียงแค่ผนึกความคิด แต่ยังผนึกวิญญาณ เจ้าปฏิบัติต่อครอบครัวตัวเองแบบนี้ เจ้าพยายามประจบข้า แต่ช่างน่าผิดหวัง ไร้ยางอาย!

วันนี้ข้ายุ่งเรื่องของคนอื่นมามากแล้ว ข้าทนมองเรื่องนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ข้าทน ไม่ไหวแล้ว!” ขณะกล่าว จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยดึงความสนใจแทนการมาของ ซูหมิงสำเร็จ กลายเป็นที่จับตามองของทุกคนที่นี่ เขายกมือขวาชี้ไปยังอวี่เซวียน ทันใดนั้นกระดิ่งที่เขามอบให้อวี่เซวียนก่อนหน้านี้พลันสั่นไหวเอง จากการกระทบกันจึงเกิดเป็นเสียงติ้งไพเราะดังต่อเนื่องกัน

ทุกครั้งที่เสียงดังก้อง อวี่เซวียนจะมีสีหน้าดิ้นรน แววตาเหมือนเต็มไปด้วยหมอกทีละนิด อีกทั้งหมอกยังเหมือนกำลังถูกสายลมถาโถมอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ ใสขึ้น จนกระทั่งเสียงกระดิ่งสิ้นสุดลง อวี่เซวียนตัวสั่น ผนึกทุกอย่างในร่างกายหายไป มีสติกลับมาครบถ้วน

พอเห็นถึงตรงนี้ เหยียนเผยถอนหายใจโล่งอกอยู่ภายใน แอบคิดว่าโชคดีที่ก่อนหน้านี้มอบกระดิ่งให้ ดังนั้นทุกอย่างจึงแก้ไขอดีตได้ ไม่ให้ใครเห็นพิรุธใดๆ เลย ไม่น่าจะล่วงเกินตัวประหลาดน่าสะพรึงคนนั้นเท่าไรนัก

พออวี่เซวียนมีสีหน้าสดใสร่างกายสั่นไหวเบาๆ แล้ว นางนึกอะไรออกมากมาย ถึงอย่างไรเหยียนเผยก็เป็นจักรพรรดิรุ่งอรุณ การลงมือของเขาไม่ได้ลบเพียงผนึกในตัวนางตลอดช่วงนี้เท่านั้น แต่ยังลบผนึกในตัวนางที่อยู่มานานหลายปีด้วย ทำให้ อวี่เซวียนที่สับสนมาไม่รู้กี่ปี…ตื่นขึ้นในความหมายแท้จริงเป็นครั้งแรก!

นางมองแวบแรกเห็นซูหมิงที่กำลังมองทุกอย่างด้วยรอยยิ้มทีเล่นทีจริงอยู่ไกลๆ แวบเดียวนี้นางไม่อาจเบนสายตาออกไปอีก กลายเป็นน้ำตาทำให้โลกตรงหน้า เลือนราง แต่มีเพียงร่างเงาเดียวในโลกนั้นที่ไม่ว่าผ่านวัฏจักรไปกี่ครั้งก็ยังชัดเจน

ความทรงจำเยาว์วัยลอยขึ้นมาในความคิด เด็กหนุ่มที่ร่างกายอ่อนแอ นอนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นคือพี่ชายของนาง ไม่ใช่ญาติพี่น้อง แต่เป็นเหมือนพี่น้อง เติบโตมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันทุกวัน พี่ชายที่พูดไม่ได้และลืมตาไม่ได้คนนั้นคือ ญาติพี่น้องที่ล้ำค่าที่สุดในความทรงจำ

นางจำได้ว่าอยู่เป็นเพื่อนเขา บอกเขาว่าฟ้าสีคราม กลางคืนมืดมิด บอกเขาถึงการฝึกฝนของตน บอกถึงความคับอกคับใจของตน บอกถึงอนาคต…

นางกุมมือเขาเอาไว้ ให้ความหนาวเย็นในมือเขาค่อยๆ เกิดความอบอุ่น ช่วงเวลานั้นนางมีความสุขมาก แม้จะฝึกฝนอย่างลำบากทุกวัน แม้จะถูกคนรังแกหัวเราะเยาะบ่อยๆ แต่นางก็ยังเข้มแข็ง จะปกป้องพี่ชาย ปกป้องไปตลอดชีวิต

จนกระทั่งวันหนึ่งนางถูกพาตัวไป นางยังจำได้ว่าก่อนถูกพาไป ตอนที่มองเขาเป็นครั้งสุดท้าย เขายังคงนอนอยู่ตรงนั้น แน่นิ่ง ลืมตาไม่ได้ อ้าปากไม่ได้ วันนั้น…นางร้องไห้

คนที่พานางไปบอกว่าขอแค่นางเชื่อฟัง จะมีวันหนึ่งที่เขาตื่นขึ้น ดังนั้นนางเลยเลือกเชื่อฟัง เลือกจากไป การจากไปครั้งนี้…แทบเป็นหนึ่งภพชาติ

เวลาเหมือนยาวนานมาก นานจนความทรงจำเลือนราง กระทั่งเหมือนว่า นางไม่อยากให้มันเลือนราง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกลับลืมไปจนหมดสิ้น

นางกลายเป็นคนสายตรงของตระกูลหนึ่งในโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก มีบิดามารดา มีญาติพี่น้อง ช่วงเวลานั้นนางมีความสุขมาก ทว่าทุกครั้งยามกลางดึก เงียบสงัด นางจะมีความรู้สึกเหมือนลืมคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป

แต่นางนึกไม่ออก ในความฝันมักจะมีเงาแผ่นหลังหนึ่ง เงาแผ่นหลังที่เลือนรางจนมองไม่ชัด…

จวบจนมารดานางสิ้นชีพลง นางน้ำตาไหลมองมารดาที่หลับตาลงช้าๆ ในตอนนั้น มารดาลืมตาขึ้น ในช่วงที่ใกล้จะหมดลมหายใจ มารดามองอวี่เซวียนอย่างมีความหมายลึกซึ้ง แฝงไว้ด้วยความสงสารและไม่อยากจาก เหมือนอยากจะพูดบางอย่างแต่กลับหยุด ก่อนพูดออกไปประโยคหนึ่ง

“เซวียนคือพืชลืมทุกข์ เจ้าคือพืชกลางสายฝน…แม่หวังว่าเจ้าจะมีความสุขไปชั่วชีวิต ไม่มีความทุกข์…”

ตอนนั้นนางยังงุนงงกับประโยคนี้ จากนั้นก็คิดมาตลอดว่าตนเข้าใจแล้ว แต่จนถึงตอนนี้นางถึงได้รู้ความหมายแฝงในประโยคนั้น

บางทีร่างเงาในความฝันอาจจะเป็นอารมณ์ความรู้สึกในความทรงจำที่ต่อให้เป็นผนึกที่แกร่งกว่านี้อีกก็ยังผนึกไม่ได้ นางหนีไปก่อนงานแต่งงานครั้งใหญ่ นางที่สับสนไม่รู้ว่าจะไปที่ใดกลับไปยังโลกแท้จริงดาราสัจธรรมอย่างไม่คาดคิด

นางนึกออกแล้ว ตอนที่ตนหนี ตอนที่ตนจับมังกรยมโลกตัวนั้น นางเหมือนเห็นร่างเงาหนึ่ง แต่หันไปมองกลับไม่มี นางในตอนนี้เข้าใจแล้ว นั่นคือ ร่างเงาบิดา ของนาง เขายืนมองตนเงียบๆ อยู่ไม่ไกล มองตนจากไปไกลเหมือนกับส่งลาด้วย ความอาลัยอาวรณ์

ในระหว่างที่ซูเซวียนอีปิดด่านนั่งฌาน อวี่เซวียนมาที่โลกแท้จริงดาราสัจธรรม มาตามความรู้สึกที่ตนไม่แน่ชัด จนนางกลับมายัง…แดนมรณะหยินที่นางกำเนิด!

ความรู้สึกที่พอเจอซูหมิงแล้วก็อยากกวนใจและยังไม่เกิดความแปลกหน้าใดๆ เลย นั่นไม่ใช่เพราะนิสัยของนาง แต่เป็นเพราะกลิ่นอายพลังที่ติดมากับชีวิตนางใน ความทรงจำที่ถูกผนึก

สิ่งที่นางไม่รู้คือหลังจากนางปรากฏตัวตรงหน้าซูหมิงแล้ว เสียงเรียกว่าพี่ชายในความฝันซูหมิงค่อยๆ หายไป

พอนึกทุกอย่างออกตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ ความทรงจำทั้งหมดลอยขึ้นมา ในความคิดอวี่เซวียน พอผนึกหายไป อวี่เซวียนเหม่อมองซูหมิง ตรงหางตามี น้ำตาเชื่อมกันพันปีไหลลงมา

“ข้าคืออวี่เซวียน พืชลืมทุกข์กลางสายฝน บิดาข้าคือเทพหมานรุ่นสอง บ้านข้าอยู่แดนหมาน…” อวี่เซวียนพึมพำ ตอนที่นางเงยหน้าขึ้นมองซูหมิงอีกครั้ง นางกัด ริมฝีปากพูดเบาๆ ประโยคหนึ่งที่เคยดังในความฝันซูหมิงมาหลายปี

“พี่ชาย…”

ซูหมิงเดินเข้ามาใกล้ ในมหาโลกสามรกร้างนี้ ไม่มีพลังใดหยุดเขาได้แล้ว ตอนที่อวี่เซวียนเงยหน้าขึ้น ซูหมิงเดินมาอยู่ตรงหน้านางแล้ว กอดนางที่น้ำตารินไหลไว้ในอ้อมกอดเบาๆ

“ข้าเคยรับปากเจ้าว่าสักวันหนึ่งจะมาหาเจ้า วันนี้ก็คือตอนนี้” ซูหมิงลูบผมยาวของนาง ขณะกล่าวยังเงยหน้ามององค์ชายสามที่เงียบอยู่ข้างๆ สองคนสบตากัน ซูหมิงเห็นความซับซ้อนขององค์ชายสาม และเหลยเฉินก็เห็นถึงความปลงอนิจจังในแววตาซูหมิงเช่นกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!