ตอนที่ 1312 หืม?
ตั้งแต่ที่กลิ่นอายพลังนี้ปรากฏจนหายไปใช้เวลาสิบกว่าลมหายใจ เมื่อเศษหินขนาดเท่าเล็บมือชิ้นนี้ในมือไม่มีกลิ่นอายพลังที่ไม่ใช่ของซางเซียงอีก ดวงตาซูหมิงขยับประกายบางๆ
‘โลกนอกตัวซางเซียงหรือ…’ ซูหมิงมีสีหน้าขบคิด จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยข้างกายเห็นท่าทีซูหมิงแล้วก็อึ้งไป เขาก็เคยสัมผัสถึงกลิ่นอายพลังจากในหินนี้เช่นกัน เพียงแต่ว่ารู้สึกแปลกตา นอกจากนี้ก็ไม่มีความรู้สึกอื่นอีก
หินเหล่านี้ล้วนเป็นเศษหินจากแท่นบวงสรวงที่สอง เพียงแต่ด้วยความพิเศษของกลิ่นอายพลังนี้ อีกทั้งยังหายไปไม่หยุด บางทีอีกไม่กี่ปีก็จะหายไปจนหมด ดังนั้น เผ่าลายหมีจึงใช้วิธีนี้เก็บส่วนสุดท้ายเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว
แต่การเก็บรักษาก็ไม่ได้สมบูรณ์ ฉะนั้นหินทุกก้อน หากถูกเปิดผนึกออกจะมีเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจในการสัมผัสกลิ่นอายพลังนี้ เมื่อหมดเวลามันจะหายไปทั้งหมด
ไม่เพียงแต่เหยียนเผยที่นิ่งอึ้งไป ชาวเผ่าลายหมีหลายสิบคนที่นี่พอเห็นซูหมิง ตรึกตรองแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าเหตุใดซูหมิงถึงเป็นเช่นนี้
กลิ่นอายพลังนี้มีเพียงความแปลกตา นอกจากนี้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะศึกษาอย่างไรก็หาประโยชน์อื่นไม่พบ
‘แท่นบวงสรวงที่สองนั่น ดูจากลักษณะแล้วเป็นวงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายจริงๆ แต่ไม่ใช่เคลื่อนย้ายในแต่ละโลกของซางเซียงกับสามรกร้าง แต่…ส่งคนออกจาก ผีเสื้อซางเซียงได้…’ นึกถึงตรงนี้ในใจก็เกิดการสั่นไหว ด้วยพลังของเขา หลายปีมานี้จึงเป็นแบบนี้น้อยมาก แต่กลิ่นอายพลังกับแท่นบวงสรวงนี้กลับทำให้เขานึกถึง ความเป็นไปได้หนึ่ง!
บางทีระหว่างที่สี่ปีกผีเสื้อซางเซียงซ้อนทับและแยกออกกันในแต่ละยุค ผู้ฝึกฌานบางคนเลือกหลอมรวมกับตัวเองอีกคนและมีชีวิตรอด บ้างก็เลือกยึดครอง บ้างก็ฝากวิหารเหล่าเทพไว้เป็นมรดก แต่ขณะเดียวกันก็มีคน…เลือกออกจากที่นี่
การออกไปนี้คือการออกไปในความหมายแท้จริง ออกจากร่างของผีเสื้อซางเซียงไปโลกข้างนอก ไปยังจักรวาลกว้างใหญ่ที่ผีเสื้อซางเซียงอีกแปดตัวอยู่
ที่นั่นมีอะไรอยู่กันแน่ซูหมิงไม่รู้ ต่อให้เขาบรรลุถึงขั้นพลังอย่างตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเทียบกับทั้งจักรวาลแล้ว เขา…อ่อนแอราวกับมดปลวก
ขณะตรึกตรอง ดวงตาซูหมิงพลันขยับประกายวาว ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเหยียนเผย
“เอาหินแบบนี้มาให้ข้าทั้งหมด!”
เหยียนเผยมีสีหน้าตกตะลึง แววตาซูหมิงบ่งบอกว่าห้ามสงสัย ทำให้เขา เกิดความเครียดและหวาดกลัวขึ้นมา ไม่กล้าเอ่ยแม้แต่คำเดียว จึงหันไปมอง จ้าวเผ่าลายหมีอย่างไม่ลังเลโดยพลัน
จ้าวเผ่าลายหมีหน้าเปลี่ยนสีต่อเนื่องกัน เขากัดฟันบินออกไปเอง ชั่ววูบเดียวก็บินไกลออกไป เพียงครึ่งก้านธูป ในครึ่งก้านธูปนี้โดยรอบเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไร ที่นี่จึงเต็มไปด้วยแรงกดดันไร้รูปทีละน้อย กดทุกคนจนโคจรพลังไม่ราบรื่น
ครึ่งก้านธูปต่อมา ชายร่างกำยำเผ่าลายหมีบินกลับมา เขาไม่ได้มอบให้จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผย แต่มอบกล่องหยกสามกล่องให้ซูหมิงอย่างเคารพด้วยตัวเอง เมื่อซูหมิงรับไปก็มองชายร่างกำยำตรงหน้าแล้วพยักหน้าให้
“แซ่ซูจะไม่ใช้ของเผ่าเจ้าอย่างเปล่าประโยชน์…” ซูหมิงกล่าวขึ้นพร้อมยกมือซ้ายกดระหว่างคิ้วชายร่างกำยำ ความเร็วในการกดเร็วจนชายร่างกำยำไม่ทันตั้งตัว ร่างเขาสั่นสะท้านโดยพลัน ชั่วขณะที่ถอยไปหลายก้าว เขากระอักเลือดสีดำมาหนึ่งคำ ระหว่างที่ร่างกายสั่นไหวมีโลหิตสีดำไหลมาจากในรูขุมขนทั่วร่าง
ขณะที่ชาวเผ่ารอบๆ หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ชายร่างกำยำพลันยกมือขึ้นบอกชาวเผ่าว่าอย่าตระหนก เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก สีหน้าดูดีใจ ตื่นเต้นและเหลือเชื่อ
เขารู้สึกอย่างชัดเจนว่าสายเลือดตนเหมือนบริสุทธิ์ขึ้นสิบเท่าในพริบตา เมื่อปรากฏโลหิตสีดำ เงามายาหมียักษ์ข้างหลังเขาใหญ่ขึ้น อีกทั้งไม่ใช่มายาอีก แต่เกือบจะเป็นของจริง พูดได้ว่านี่คือโชควาสนาครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขา ทำให้สายเลือดบริสุทธิ์ พลังเพิ่มขึ้น กลิ่นอายพลังแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ชายร่างกำยำคารวะซูหมิงลงลึกด้วยความตื่นเต้น
“ขะ…ขอบคุณที่ท่านมอบชีวิตใหม่ให้!” ชายร่างกำยำกล่าวอย่างตื่นเต้น ซูหมิงไม่ได้ตอบกลับ แต่ก้มหน้ามองกล่องหยกในมือด้วยสีหน้ามืดทะมึน ครู่ต่อมาก็มีสีหน้าเด็ดขาด
‘อยากรู้นักว่าโลกที่อยู่ของกลิ่นอายพลังนี้…เป็นแบบใดกันแน่’ ซูหมิงยกมือขวาโบกไปอย่างไม่ลังเลอีก พลันเกิดเสียงปุงปังดังวาน กล่องหยกห้าใบรอบตัวเขามี สองกล่องแตกออก เผยเป็นหินประหลาดสองก้อนภายใน ทั้งยังมีกลิ่นอายแปลกตาเข้มข้นแผ่กระจายมา
เมื่อกลิ่นอายพลังนี้แผ่กระจายออก ซูหมิงใช้มือขวาคว้าอากาศ ทันใดนั้น กลิ่นอายพลังเหล่านี้รวมกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลูกกลมเล็กที่กำลังหายไป อย่างรวดเร็วกลางมือเขา จากนั้นซูหมิงจึงกดมันลงตรงระหว่างคิ้วพร้อมกับหลับตาลง
ทันทีที่หลับตาลง ดวงจิตปะทุขึ้น ไปรวมอยู่ที่ลูกกลมเล็กตรงระหว่างคิ้วในทันใด เมื่ออัดอยู่ในนั้นจนแน่นแล้วก็เกิดเสียงดังสนั่นในความคิด เขาอาศัยกลิ่นอายพลังนี้เป็นตัวเหนี่ยวนำ ใช้ดวงจิตตนเป็นสะพานเชื่อม ใช้วิชาแห่งเวลาเป็นอภินิหารใช้งานวิชาจิตย้อนเวลาที่มีเพียงเขาที่ใช้ได้!
ซูหมิงสั่นสะท้านไปทั่วร่าง ยามนี้ดวงจิตเขาเหมือนข้ามผ่านกาลเวลาไม่มีที่สิ้นสุด เดินทางไปทีละยุค จนกระทั่งตรงหน้าปรากฏเป็นจักรวาลกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง…
ความกว้างใหญ่นี้เหมือนกับโลกที่มีผีเสื้อเก้าตัวบินอยู่อย่างที่เขาเคยเห็น ทุกประการ
หมอกไม่มีที่สิ้นสุดหมุนตลบไม่หยุด กระทั่งตอนที่ซูหมิงมองไปทางหมอกเหล่านั้น เขามีความรู้สึกเด่นชัดว่าพลังจากการที่หมอกเหล่านี้ม้วนตลบทุกครั้งสามารถสังหารผู้แข็งแกร่งขั้นไม่อาจกล่าวได้ในพริบตา ต่อให้เป็นซูหมิง ภายใต้หมอกหมุนตลบนี้ หากสัมผัสจริงๆ จะต้องรับได้ไม่มากแน่
และนี่เป็นเพียงหมอกหมุนตลบที่พบเห็นบ่อยที่สุดในจักรวาลกว้างใหญ่นี้เท่านั้น!
นอกจากนี้กลางหมอกนั้นจะเกิดสายฟ้าหลายสายเป็นบางครั้ง สายฟ้าทุกสายล้วนบิดเบี้ยวให้ความรู้สึกดุร้าย พวกมันไม่ใช่สายฟ้าจริงๆ แต่เป็นเพียงเส้นที่มี แสงสว่างแต่ไร้กฏเกณฑ์ ทว่า…เส้นที่ไร้กฎเกณฑ์แบบนี้ทำให้ซูหมิงรู้สึกถึงความตาย!
เขาคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าด้วยร่างกายและพลังของเขาตอนนี้ จะต้องวิญญาณสูญสลายไปในสายฟ้านี้อย่างแน่นอน เหลือเพียงดวงจิต ทว่าถึงจะเหลือ เพียงดวงจิต แต่หากปะทะกับสายฟ้านี้หลายครั้งจะต้องมีจุดจบสิ้นชีพแน่ๆ
ซูหมิงเงียบ เขาตามการชี้นำของกลิ่นอายพลังนั้นไป ข้ามผ่านอยู่ในกาลเวลา เดินทางในการหมุนตลบของหมอกกับสายฟ้าของปลอม จนกระทั่งเขาเห็นว่ามีผีเสื้อตัวหนึ่งในหมอกหลายชั้น!
นั่นไม่ใช่ซางเซียง เพราะลายภาพบนปีกต่างกัน ผีเสื้อตัวนี้กำลังตัวสั่น กำลังสลายไป ด้านบนมีเข็มทิศขนาดพอๆ กับตัวมันอยู่อันหนึ่ง กำลังสูบอะไรบางอย่างจากใน ตัวผีเสื้อไม่หยุด จนกระทั่งผีเสื้อตัวสั่นสะท้านแล้วกลายเป็นจุดแสงผลึกถูกเข็มทิศนั้นสูบไปทั้งหมด ซูหมิงเห็นว่ามีชายหนุ่มชุดคลุมดำคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเข็มทิศ ในมือกำไข่มุกพวงหนึ่ง
“วิญญาณหวนคืนลำดับหกอยู่ในมือข้าแล้ว ไม่รู้ว่าวิญญาณหวนคืนลำดับเจ็ด…ซ่อนอยู่ที่ใด” นี่คือเสียงของชายหนุ่มชุดคลุมดำคนนั้น ทันทีที่เสียงเขาเข้าถึงหูซูหมิง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาประหนึ่งแฝงไว้ด้วยอากาศธาตุมองซูหมิงแวบหนึ่ง
“หืม?”