ตอนที่ 310 วิญญาณกลางหิน
เสียงนี้ส่งเข้าสู่ภายในหม้อยักษ์ ขณะเดียวกัน เมื่อซูหมิงกล่าวคำที่สาม ทำให้มีเสียงระเบิดดังในความคิด เหมือนกับว่าวิญญาณออกจากร่าง และวนเวียนอยู่รอบหม้อฮวงคล้อยหลังพลังของคำนั้น
พลังสะท้อนกลับหยุดลงทันทีเมื่อซูหมิงกล่าวจบคำที่สาม
พร้อมกันนั้น เศษหินสีดำจากภูเขาทมิฬที่แขวนไว้ตรงหน้าอกซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์พลันเปล่งแสงอ่อน ภายใต้แสงอ่อนวูบวาบนี้ มันปกคลุมหม้อยักษ์ในชั่วพริบตา ตัวหม้อสั่นสะท้านอยู่ท่ามกลางแสง ค่อยๆ ย่อส่วนลงจนท้ายที่สุดมีขนาดเท่าฝ่ามือ จากนั้นลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนหย่อนลงกลางฝ่ามือซูหมิง
เหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้ผู้คนโดยรอบเบิกตากว้าง มีสีหน้าเหลือเชื่อ คนแบกหม้อจากสำนักทะเลตะวันออกเหล่านั้นล้วนสูดลมหายใจเข้าด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
ขณะเดียวกัน คนที่มองการกระทำของซูหมิงยังมีท่านชายรองและเหล่าชายชราที่ติดตามมางานประมูลจากสำนำทะเลตะวันออก กระทั่งผู้ดำเนินงานประมูลแซ่เฝิง รวมถึงจื่อซาน พวกเขาเหล่านี้ล้วนมองอยู่ว่าซูหมิงจะเก็บหม้อใบนี้อย่างไร
ควรรู้ว่า หม้อใบนี้อยู่สำนักทะเลตะวันออกมาหลายปีก็ยังทำให้มันเล็กลงมิได้ เหตุที่นำมาแผ่นดินเหมันต์สวรรค์ได้ ก็เพราะสำนักทะเลตะวันออกมีสิ่งของวิเศษบรรจุของได้เท่าภูเขา
ทว่าตอนนี้ พวกเขาเห็นกับตาว่าเพียงซูหมิงจับหม้อ มันก็พลันถูกแสงอ่อนปกคลุม แล้วย่อขนาดลงอย่างน่าอัศจรรย์
ผู้ที่เห็นภาพนี้ สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นในใจคือคำพูดของชายชราผมฟ้าในงานประมูล
‘สิ่งนี้มีเพียงผู้ต้องชะตาเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง มีเพียงผู้มีวาสนาเท่านั้นถึงจะเปิดมันออก!’
จื่อซานอยู่ในกลุ่มคน ยามนี้อ้าปากโดยไม่รู้ตัว นางรู้จักหม้อใบนี้ และรู้ด้วยว่ามันอยู่ในสำนักทะเลตะวันออกมาหลายปี ยังไม่เคยเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เหมือนกับเป็นของตาย ไม่รู้ว่ามีคนสำนักทะเลตะวันออกเท่าไรศึกษามัน หมายมั่นจะทำให้เป็นของตน ทว่าทำทุกวิถีทางแล้วก็ยังไร้ผล ต่อให้เป็นจ้าวสำนักทะเลตะวันออก สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมแพ้ กระทั่งปรมาจารย์หลีหลง บรรพบุรุษผู้น่าเกรงขามแห่งสำนักทะเลตะวันออกเคยพูดประโยคหนึ่ง
ประโยคนั้นก็คือสิ่งที่ชายชราผมฟ้ากล่าวในงานประมูล
กระทั่งสิ่งนี้ถูกส่งมายังแผ่นดินเหมันต์สวรรค์ได้ และเพราะเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของปรมาจารย์หลีหลง เขารู้สึกว่าในเมื่อของสิ่งนี้ไม่มีผู้ถูกเลือกในสำนักทะเลตะวันออก เช่นนั้นก็อย่าฝืนต่อไป มิเช่นนั้นจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่มาเยือน ดังนั้นจึงส่งมาแผ่นดินเหมันต์สวรรค์ ดูว่าที่นี่มีผู้ต้องชะตากับหม้อใบนี้หรือไม่
ยามนี้ ผู้อาวุโสสำนักทะเลตะวันออกที่ติดตามมางานประมูลเหล่านั้นล้วนหายใจกระชั้นถี่ อึ้งมองหม้อใบเล็กขยับแสงอ่อนวิบวับตรงกลางมือซูหมิง ขณะตื่นตะลึงก็ยังจดจำใบหน้าซูหมิงเอาไว้ให้แม่น
นัยน์ตาท่านชายรองฉายแววประหลาดใจ มองร่างซูหมิงอยู่ไกลๆ พร้อมยิ้มมุมปาก
“ยอดเยี่ยม ไม่เสียแรงที่ข้าเปลี่ยนความคิด ไม่มอบสิ่งนี้ให้จ้าวหมาน…..”
ชายชราแซ่นเฉินจากฝ่ายนภาข้างกาย ยามนี้แววตาเคร่งขรึม มองซูหมิงที่ยืนอยู่ไกลๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสนใจซูหมิงโดยมิใช่เพราะอาจารย์ของซูหมิง
เขาจำชายหนุ่มนามซูหมิงคนนี้เอาไว้แล้ว
เทียนหลันเมิ่งก็มองซูหมิงอยู่เช่นกัน ใบหน้าเผยรอยยิ้มบางอันงดงาม
ซูหมิงถูกผู้คนจับตามองอยู่โดยรอบ ยามนี้มีสีหน้าสับสน ผ่านไปพักหนึ่งจึงได้สติกลับมา เขามองหม้อใบเล็กในมือ ก่อนหมุนตัวกลับแล้วเดินเข้าไปในกระโจมตัวเองอย่างเงียบๆ
จื่อเชอเดินมานั่งขัดสมาธิอยู่นอกกระโจม กวาดสายตาเย็นชามองผู้คนโดยรอบที่จับจ้องมา
ผ่านไปพักใหญ่ เจ้าของสายตาที่มีสีหน้าซับซ้อน ริษยา และปลงอนิจจังเหล่านี้พากันละสายตากลับทีละน้อย แล้วกลับเข้าไปในกระโจมของตน
ฟ้ามืดแล้ว ดวงจันทร์สูงบนท้องฟ้าส่องสว่าง เพียงแต่เกล็ดหิมะโปรยปรายตลอด ทำให้สีเงินบนแผ่นดินถูกปกคลุมทีละชั้นๆ ทั้งชนเผ่าเงียบสงัดลง มีเพียงแสงเทียนที่ถูกครอบเอาไว้บางส่วนส่งเสียงไฟเปาะแปะท่ามกลางพายุหิมะ
ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในกระโจมพลางมองหม้อในมือ นัยน์ตาฮึกเหิม เขาใช้มือซ้ายลูบหม้อใบเล็ก ช่วงที่สัมผัสพลันเกิดเกิดความรู้สึกเหมือนเลือดเนื้อเชื่อมประสานเข้าด้วยกัน
“สมกับเป็นหม้อฮวงสำหรับการหลอมเม็ดโอสถจริงๆ …อีกอย่างชายชราผมฟ้าแห่งสำนักทะเลตะวันออกก็พูดถูก หม้อใบนี้…ไม่มีใครเปิดมันมานานแล้ว ในนี้…มีเม็ดโอสถอยู่!” ซูหมิงพึมพำ นัยน์ตาเปล่งประกายมากขึ้น
หัวใจเข้าเต้นแรงขึ้น เดิมทีเขาไม่เชื่อคำพูดนี้ ทว่าหลังจากใช้วิธีควบคุมหม้อฮวงย่อขนาดมันลงแล้ว เขาเริ่มรู้สึกเลาๆ ว่าในหม้อใบนี้จะต้องมีพลังชีวิตพิลึกอยู่
พลังชีวิตนี้ไม่เหมือนกับที่สิ่งมีชีวิตมี แต่เป็นตัวเม็ดโอสถเอง!
‘หม้อใบนี้อยู่มานาน…หากหนึ่งพันปีไม่มีใครเปิดเลย เช่นนั้นเม็ดโอสถในนี้ก็จะเป็นของที่อยู่มาหนึ่งพันปี หาก….หนึ่งหมื่นปีไม่มีใครเปิดได้…’ ซูหมิงหัวใจเต้นรัวแรงขึ้นเรื่อยๆ จ้องหม้อสามขาในมือ แววตาเริ่มลังเลใจ หลังจากพิจารณาหม้อเล็กอย่างละเอียดแล้ว แววตาก็ยังตื่นตะลึงต่อเนื่อง
ซูหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึม ถือหม้อใบนี้เอาไว้ตรงหน้า เมื่อลองดมดีๆ แล้ว สีหน้าก็ตื่นตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งยังเหลือเชื่อเล็กน้อย
‘กลิ่นโอสถไม่เข้มข้น…เรื่องนี้มีข้อสรุปสองอย่าง หากมิใช่เพราะเม็ดโอสถในนี้ล้มเหลวก็ยังหลอมไม่เสร็จสมบูรณ์…’
‘ทว่าหากเม็ดโอสถไม่ทราบชื่อนี้ล้มเหลว แม้บอกว่ากลิ่นโอสถอาจจะไม่เข้มข้นเองตามธรรมชาติ แต่ผ่านกาลเวลามานานขนาดนั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไม่เข้มข้น แต่มันน่าจะหายไปเลยถึงจะถูก! เว้นแต่มันจะมีอายุต่ำกว่าพันปี มิเช่นนั้นแล้วเม็ดโอสถนี้ก็ต้องหลอมไม่เสร็จ…’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย จ้องหม้อใบเล็กอยู่นานก่อนยกมือซ้ายขึ้น แล้วหยักนิ้วมือเป็นท่าทางประหลาด
นี่คือท่ามือที่ใช้เปิดหม้อฮวงเมื่อหลอมโอสถเสร็จในความทรงจำเขา เมื่อใช้คู่กับพยางค์เสียงพิลึกเหล่านั้นก็จะสามารถเปิดหม้อฮวงและสิ้นสุดการหลอมเม็ดโอสถ
ซูหมิงรู้ดีว่า ยามนี้เพียงแค่ท่องพยางค์เสียงคู่กับท่ามือก็จะเปิดหม้อได้ทันที แต่เขามองหม้อเล็กแล้วเกิดความลังเล
‘หากเม็ดโอสถในนี้ไม่ล้มเหลว แต่ยังหลอมไม่เสร็จสมบูรณ์ เช่นนั้นหากข้าเปิดมันตอนนี้ก็จะเสียเปล่าจริงๆ …’ ซูหมิงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ลดท่ามือลง แล้วใส่หม้อใว้ในถุงเก็บวัตถุ
‘ที่นี่มิใช่ที่ศึกษา รอกลับยอดเขาลำดับเก้าก่อนค่อยคิดอีกที’ ซูหมิงไม่ผลีผลาม เมื่อเก็บหม้อเล็กแล้วจึงหลับตาทำสมาธิ
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเช้าตรู่วันที่สองมาถึง ซูหมิงเดินออกจากกระโจมแล้วไปยังลานประมูลพร้อมกับจื่อเชอ งานประมูลในวันนี้ ซูหมิงมิได้เข้าร่วมเคาะประมูล เป้าหมายของเขามีเพียงหนึ่งเดียวนั้นคือคนแคระสีดำที่ถูกผนึกในหิน
สิ่งนี้ยังไม่ปรากฏในงานประมูลวันที่สอง จนงานประมูลวันสุดท้ายมาถึง หลังจากดำเนินงานไปแล้วมากกว่าครึ่ง เมื่อบรรยากาศในลานประมูลซบเซาลงเนื่องจากดำเนินงานติดกันหลายวัน ในที่สุดชายชราผมฟ้าผู้เป็นคนดำเนินงานก็นำของที่ซูหมิงต้องการออกมา
สิ่งนั้นเป็นหินภูเขาสูงเท่าคนก้อนหนึ่ง ทุกส่วนโปร่งใส ภายในมีคนแคระสีดำนั่งอยู่ ดูสมจริงราวกับมีชีวิต!
“สิ่งนี้คืออะไรข้าเองก็ไม่รู้ เคยถามมาหลายคนนัก ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จักมันเช่นกัน สิ่งนี้มิใช่ของสำนักทะเลตะวันออก ทว่ามีแขกพิเศษท่านหนึ่งส่งมาร่วมประมูลเมื่อหลายวันก่อน แขกท่านนั้นเรียกสิ่งนี้ว่าวิญญาณกลางหิน เขาเคยบอกว่าเขามีหินแบบนี้อยู่สามก้อน ทว่าเปิดไปสองก้อน คนแคระสีดำด้านในตายไปหนึ่ง กลายเป็นก้อนผลึกสีดำ อีกหนึ่งกลายเป็นสายลมดำหนีไป จนถึงตอนนี้เป็นตายอย่างไรไม่ทราบ
สิ่งนี้เป็นก้อนสุดท้าย เขาไม่อยากเสี่ยงกับมันอีกเลยนำมาประมูล เขาไม่ต้องการราคาสูง แต่มีเงื่อนไขหนึ่งข้อคือ คนที่จะซื้อคนสุดท้ายต้องบอกชื่อของมัน อีกทั้งต้องพิสูจน์ด้วยว่าเป็นจริง หากพอใจเขาจะมอบให้ท่านโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังมอบก้อนผลึกสีดำที่เคยเปิดไปแล้วให้ด้วย บุคคลนี้จะคุยกับท่านตัวต่อตัว ไม่ต้องกังวลว่าผู้อื่นจะรู้
ของสิ่งนี้ เริ่มประมูลที่หนึ่งแสน!” ชายชราผมฟ้ากล่าวช้าๆ เพราะความพิสดารของมันจึงดึงความสนใจของผู้คนไม่น้อย ทว่าส่วนใหญ่แล้วก็ไม่คุ้นเคยกับของสิ่งนี้ ไม่เคยเห็นมันมาก่อน ไม่รู้ว่ามีประวัติและประโยชน์อย่างไร จึงไม่เคาะประมูล
“หนึ่งแสนห้าหมื่น!” มีเสียงดังแว่วเข้ามาจากในกลุ่มคน เขาเป็นชายวัยกลางคนซูบผอม บุคคลนี้ไม่ปิดบังใบหน้า แต่นั่งอย่างไม่สนใจ อาภรณ์เขาดูพิเศษยิ่งนัก เป็นสีขาวดำสองสีรวมกัน
อาภรณ์แบบนี้บนแผ่นดินเหมันต์สวรรค์มีเพียงชนเผ่าตี๋หลัวเท่านั้นถึงจะมี ชนเผ่านี้ชำนาญการสร้างรูปปั้นน้ำแข็ง อีกทั้งยังใช้วิธีการพิเศษบางอย่างมอบชีวิตให้มัน ทำให้กลายเป็นสมบัติล้ำค่าประจำตัว
ขั้นตอนในการสร้างเป็นความลับยิ่งนัก นอกจากบันทึกที่เผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์เก็บเอาไว้แล้ว คนอื่นๆ หลายคนแทบไม่มีใครรู้
ราคาหนึ่งแสนห้าหมื่น สำหรับผู้คนที่มางานประมูลในครั้งนี้ถือว่าเล็กน้อย เพียงแต่ว่าคนที่รู้ประวัติและประโยชน์ของมันน้อยยิ่งนัก ฉะนั้นจึงมีการแย่งชิงกันน้อย
“สองแสน!” ซูหมิงยืนอยู่บนแท่นเปิด มองคนแคระสีดำในหินโปร่งใส เขาเห็นสองมือของคนแคระนั้นอย่างชัดเจนว่ามีสามนิ้วมือ!
เมื่อมั่นใจแล้วว่าคนแคระนี้เป็นวัตถุดิบในการหลอมโอสถมอบจิตจริงๆ แล้ว ซูหมิงจึงเคาะประมูล
“สามแสน!” ชาวเผ่าตี๋หลัวขมวดคิ้ว
“ห้าแสน!”
“เจ็ดแสน!”
“หนึ่งล้าน!” ซูหมิงกล่าวเนิบนาบ มองหินโปร่งใสตลอด
“ท่านอย่าฝืนประมูลเลย ท่านไม่รู้จริงๆ หรอกว่ามันคืออะไร ก็แค่ประมูลไปอย่างนั้น สุดท้ายแล้วหากบอกประวัติกับประโยชน์ของมันไม่ได้ ท่านก็เอามันไปไม่ได้อยู่ดี!” ชายวัยกลางคนซูบผอมจากเผ่าตี๋หลัวเงยหน้าขึ้นมองซูหมิง
“ข้าไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนนำมันมาประมูล แต่ดูท่าแล้วท่านคงจะอยู่ที่นี่ ข้าจะบอกให้ สิ่งนี้มีแค่ข้าคนเดียวที่รู้ ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร และยิ่งไม่รู้ด้วยว่ามันใช้งานอย่างไร!” ชาวเผ่าตี๋หลัวยืนขึ้น กล่าวขึ้นกับทุกคนโดยรอบ