Skip to content

สู่วิถีอสุรา 494

ตอนที่ 494 เบาะแสของมังกรแดง

ร่างแยกของตี้เทียนสลายไป อีกทั้งลิ่วล้อที่ให้มาจับตาดูซูหมิงบนเผ่าหมานยังถูกจับ ทุกอย่างนี้ล้วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงกับโชคชะตาของซูหมิง

สิ่งเหล่านี้คือต้นตอความกลัวของชายชราคนนี้ เขารู้เยอะมาก ทว่ายิ่งรู้มากเขาก็ยิ่งกลัว สิ่งที่เขาพึ่งพาได้เพียงอย่างเดียวตอนนี้คือ ซูหมิงยังไม่ฟื้นความทรงจำกลับมาอย่างแท้จริง

“ข้ามีความอดทนมากพอ หากเจ้าไม่อยากพูดจริงๆ ก็ช่างเถอะ” ซูหมิงกดตรงหน้าอกชายชราอีกครั้ง มีเสียงโครมครามดังมาจากในร่างกาย เห็นด้วยตาเปล่าเลยว่าใต้ผิวหนังชายชราปรากฏน้ำวนขึ้นทีละวง

น้ำวนเหล่านี้หมุนอย่างรวดเร็วและเริ่มระเบิดตัวเอง พายุหมุนม้วนออกมาจากข้างใน ความเจ็บปวดนี้ทำให้ชายชราตัวสั่น มีเหงื่อเม็ดใหญ่หยดลงมา

“ข้าไม่ได้ต้องการรู้ทุกอย่างจากเจ้า สิ่งที่ข้าต้องการคือทรมานเจ้าไปเรื่อยๆ …จริงๆ แล้วระหว่างเจ้ากับข้าก็ไม่เคยมีความอาฆาตแค้นอะไรกันขนาดนั้น เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้?” ซูหมิงส่ายศีรษะ ยกมือขวาสะบัดไป

พายุหมุนในร่างชายชรารุนแรงยิ่งขึ้น ถาโถมใส่อวัยวะภายในประดุจตีข้างในร่างกายให้เป็นของเหลว ด้วยความรู้สึกคล้ายถูกฉีก ชายชราจึงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา

ภายใต้ดวงจันทร์นอกถ้ำ เสียงร้องเช่นนี้ดังต่อเนื่องกันมากกว่าครึ่งคืน ชาวเผ่าชะตาชีวิตในหุบเขาล้วนได้ยินอย่างชัดเจน

จนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่าง เสียงร้องถึงค่อยเบาลง ซูหมิงมองชายชราที่ยังคงตัวสั่น ยกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือแล้วชี้ไป พลันปรากฏระฆังเขาหานขึ้น หลังจากหุ้มชายชราเอาไว้แล้ว เสียงระฆังก็ดังดังวาน

เสียงระฆังสำหรับคนนอกได้ยินแค่เสียงดังแก๊งๆ ทว่ากับชายชราในระฆังเขาหาน เสียงกลับสั่นสะเทือนแก้วหูเขา ปานมีผู้คนนับไม่ถ้วนตะโกนในความคิด ร่างกายยิ่งสั่นระริกขึ้น กระทั่งเลือดเนื้อยังฉีกขาด กระดูกราวจะป่นปี้

“ข้าจะให้เวลาเจ้าตรึกตรองเต็มที่” ซูหมิงกล่าวเนิบๆ ไม่สนใจชายชราอีก แต่หลับตาลงอย่างสงบนิ่ง ตกอยู่ในห้วงการบำรุงจิตแรก

จิตแรกของเขาปรากฏมาได้ไม่นาน หากจะใช้จิตสัมผัสทั้งหมดก็ต้องใช้เวลาหล่อเลี้ยงสักช่วงระยะหนึ่ง

ขณะซูหมิงกำลังบำรุงจิตแรก เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็หนึ่งเดือน ในหนึ่งเดือนนี้ชาวเผ่าชะตาชีวิตทั้งหุบเขาได้ยินเสียงระฆังเป็นบางครั้ง บ้างก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวน

สำหรับการทรมานชายชรา ซูหมิงไม่ใช้สายลมเพียงอย่างเดียวอีก แต่ใช้คู่กับวิชาสายฟ้าและหมานเพลิง อีกทั้งยังมีวิชาคำสาป

มิใช่ว่าเขาใช้ทั้งหมดในครั้งเดียว แต่ค่อยๆ ส่งเข้าไป หลังจากอีกฝ่ายรับรู้ถึงการฉีกทึ้งของสายลมแล้ว เขาจะเพิ่มสายฟ้าให้ทะลวงผ่านเส้นเอ็นกับเลือดเนื้อ ให้อีกฝ่ายต้องทนรับการทรมานปานภัยพิบัติจากสวรรค์

จนเมื่อชายชราชินกับสายลมและสายฟ้าแล้ว ซูหมิงจึงเพิ่มความร้อนของหมานเพลิงเข้าไปอีก ให้เผาทำลายภายนอก ทำลายเส้นชีพจรและทรมานร่างกาย ทำให้ชายชรารู้สึกเจ็บปวดจนอยู่ไม่สู้ตาย

เขาอยากตายทว่าตายไม่ได้ เพราะในร่างกายเขามีคำสาปที่ซูหมิงยังถอนออกไม่หมด แต่เหลือเอาไว้เล็กน้อย เขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ เพราะคำสาปนี้ จึงไม่อาจระเบิดตัวเองและตายได้

รวมกับเสียงระฆังเขาหาน ในช่วงที่ผ่านมานี้ ชายชราต้องทนรับกับความเจ็บปวดราวอยู่ในยมโลกอย่างที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต

หากมิใช่เพราะการจากไปของเถี่ยมู่ การทรมานกับการบำรุงจิตแรกของซูหมิงคงจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และซูหมิงคงไม่ออกมาจากถ้ำในเวลาสั้นๆ แน่

เถี่ยมู่ สุดท้ายก็ไม่อาจหลีกหนีความตาย ในยามโพล้เพล้ของวันนี้ ท่ามกลางฝนปรอยๆ จากท้องฟ้า เขานอนหลับตาอยู่

ซูหมิงเคยช่วยหลายครั้ง ทว่าเถี่ยมู่มาถึงบั้นปลายชีวิตแล้ว และไม่มีกำลังพอจะเอาชนะความตาย

ฝนตกปรอยๆ ฝนในโลกเก้าหยินใช่ว่าจะหายาก อีกทั้งหากเกิดฝนติดกันหลายเดือน ทั้งฟ้าดินจะขมุกขมัวกลางสายฝน จึงมองไกลๆ ไม่ชัด

เผ่าชะตาชีวิตหลายร้อยคนในหุบเขาล้วนเดินออกมาจากถ้ำ มองเถี่ยมู่ที่นอนอยู่ตรงนั้นใต้ก้นหุบเขา เถี่ยมู่ที่มีชาวเผ่าบังฝนให้อยู่หลับตาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ตรงกันข้ามกลับมีความรู้สึกหลุดพ้นอย่างหนึ่ง

โดยรอบเงียบสงบยิ่งนัก ต่อให้มีเสียงร้องไห้ก็ยังถูกเสียงสายฝนกลบไป

ซูหมิงเดินออกมาจากถ้ำเช่นกัน เขายืนอยู่ข้างศพเถี่ยมู่ มองใบหน้าคุ้นตานี้ เรื่องในครั้งนั้นผุดขึ้นในความทรงจำ แม้จะรู้จักกันไม่นาน ทว่าก็ยังนับเป็นสหายเก่า

ซูหมิงเห็นความเป็นตายมาเยอะ แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป เขามองเถี่ยมู่ ตรงหน้าลอยขึ้นเป็นฉากตอนเขาต่อสู้กับอีกฝ่าย

หนานกงเหินยืนอยู่ข้างซูหมิงด้วยสีหน้าเศร้าโศก เรื่องแบบนี้เขาเจอมานับครั้งไม่ถ้วนในเวลาสิบห้าปี เดิมทีเขาคิดว่าตนเฉยชาแล้ว ทว่าเวลานี้กลับพบว่าทำไม่ได้ จะเฉยชาได้อย่างไร…

“เดิมทีผู้อาวุโสเถี่ยมู่ออกไปในตอนนั้นได้…แต่ก็ให้คนในเผ่าไปก่อน สุดท้ายวงแหวนอาคมก็พังลงและออกไปไม่ได้อีก…

สิบห้าปีมานี้ ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ตายตามกันไปทีละคน จนกระทั่งห้าปีก่อนเหลือผู้อาวุโสเถี่ยมู่เป็นเชมันระดับปลายคนเดียว และตอนนี้…เขาจากไปแล้ว” หนานกงเหินกล่าวเบาๆ ด้วยความขมขื่น

ข้างศพเถี่ยมู่มีชายหนุ่มคุกเข่าอยู่คนหนึ่ง ชายหนุ่มคนนี้มีสีหน้าเศร้าโศก เขาคือเด็กหนุ่มที่หนานกงเหินพามาในตอนนั้น เขาเสียแขนขวาไป ยามนี้คุกเข่าลง น้ำตารินไหล

“ส่งผู้อาวุโสเถี่ยมู่!” หนานกงเหินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเนิบช้า

เมื่อกล่าวจบ ชาวเผ่าชะตาชีวิตโดยรอบล้วนคุกเข่าลงด้วยสีหน้าเศร้าหมอง น้ำฝนตกลงบนตัว มันช่างหนาวเหน็บนัก แต่กลับไม่มีใครหลบ

รอบๆ เถี่ยมู่มีชาวเผ่าเดินมาสองคน แล้วแบกศพขึ้น เดินไปตามทางหุบเขาทีละก้าวจนไกลออกไป

ชายหนุ่มคนนั้นหลั่งน้ำตา ติดตามอยู่ข้างหลัง หนานกงเหินมองซูหมิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปทางนั้นเช่นกัน

ขณะซูหมิงเงียบงันก็รับน้ำฝนจากท้องฟ้า คุกเข่าคารวะพร้อมกับชาวเผ่าชะตาชีวิต จากนั้นจึงเดินเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา

ส่วนลึกของหุบเขาเป็นแท่นบวงสรวงกระดูกสัตว์ และก็เป็นจุดที่ชาวเผ่าชะตาชีวิตใช้ฝังกระดูกมาตลอดสิบห้าปีนี้….

กระดูกขาวมากมาย ป้ายศิลาสลักชื่อเอาไว้เรียงกันแน่นขนัด ท่ามกลางความขมุกขมัวของสายฝน มันมิได้แฝงไว้ด้วยความมืดทะมึน แต่เป็นความเศร้าโศกอย่างลึกซึ้ง

ซูหมิงไม่ได้รู้สึกถึงความเศร้าโศกมากนัก ทว่าหนานกงเหิน ทุกครั้งที่มาที่นี่ หัวใจเขาจะถูกแทงลึกลงไป

หลังจากฝังเถี่ยมู่และสร้างป้ายหินบนหลุมขึ้นมาแล้ว ก็สลักชื่อเขากับเผ่าชะตาชีวิต บันทึกวีรกรรมตลอดชีวิตเขาเอาไว้ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น หนานกงเหินก็คารวะอย่างเงียบเชียบ ก่อนหมุนตัวจากไปพร้อมกับความโศกเศร้า

ซูหมิงกวาดสายตามองแท่นบวงสรวง ฝนตกหนักยิ่งขึ้น ท่ามกลางความขุ่นมัวของฝน เขาเหมือนเห็นวิญญาณผู้กล้านับไม่ถ้วนที่ปกป้องชาวเผ่าในหุบเขานี้มาสิบห้าปี…

การจากไปของเถี่ยมู่กลายเป็นความเศร้าโอบล้อมจิตใจของคนทั้งเผ่าชะตาชีวิต หลายวันหลังจากนี้ทุกคนจึงเงียบซึม

สายฝนข้างนอกตกหนักยิ่งขึ้นตามกาลเวลา เสียงซ่าๆ ยังคงดังอยู่ หมอกฝนปกคลุมโดยรอบจนมัวมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเชื่อมกับฟ้าดิน กลายเป็นม่านฝนผืนเดียว

ซูหมิงอยู่ในถ้ำของเขา ได้ยินเสียงซ่าๆ จากข้างนอก นั่งฌานสมาธิและทรมานลิ่วล้อของตี้เทียนต่อไม่มีหยุด

การตายของเถี่ยมู่ไม่ได้สะเทือนจิตใจเขามากนัก ความเศร้าที่โอบล้อมอยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่มาสิบห้าปี ฉะนั้นจึงไม่มีความทรงจำอะไรมากมาย

ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจเขาถึงรู้สึกอึดอัด

“เมื่อตายกลับไม่อาจหวนคืนบ้านเกิด ต้องฝังกระดูกอยู่ต่างถิ่น…ต่อให้เป็นเชมันระดับปลายก็ยากจะกำหนดความเป็นตายของตัวเอง…เขายังดี อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าบ้านเกิดอยู่ที่ใด และรู้ว่าจะกลับบ้านเกิดอย่างไร

ทว่าบ้านเกิดข้า…ภูเขาทมิฬอยู่ที่ใดกันแน่…บางทีภูเขาทมิฬอาจไม่ใช่บ้านเกิดข้าจริงๆ …ท่านปู่เคยบอกข้าว่าต้องไปเขาแดนหมาน” ซูหมิงพึมพำเบาๆ นัยน์ตาสับสน ภาพภูเขาทมิฬที่ลอยขึ้นตรงหน้าเขาค่อยๆ เลือนรางแล้ว

เวลาเดินหน้าอีกครั้ง ค่อยๆ ผ่านไปหนึ่งเดือน ซูหมิงบำรุงจิตแรกมาสองเดือนแล้ว ค่อยๆ เติมเต็มจนอยู่ในระดับสมบูรณ์

เมื่อบำรุงจิตแรกเสร็จ จิตสัมผัสของเขาก็บรรลุถึงระดับสูงสุด

แม้บอกว่าไม่อาจขยายจิตสัมผัสปกคลุมหนึ่งล้านลี้ ทว่ามังกรแดงฉานและศพพิษ รวมถึงหุ่นเชิดจีอวิ๋นไห่จะต้องตอบสนองอย่างแน่นอน

ในวันนี้ ซูหมิงกำลังนั่งฌานด้วยสีหน้าจริงจัง เขาค่อยๆ ขยายจิตสัมผัสออกไป จุดสำคัญอยู่ที่การตอบสนองของศพพิษ ร่างแยก และมังกรแดงฉาน ขณะเดียวกัน สีหน้าเขาเริ่มคร่ำเคร่ง

หลังจากแผ่ขยายจิตสัมผัส ซูหมิงก็ขยายความรู้สึกตามไป เมื่อร้องเรียก ไม่นานก็มีระลอกคลื่นมาจากทางตะวันตก

ระลอกคลื่นนั้นเบาบางยิ่งนัก ช่วงที่ปะทะกับจิตสัมผัสของซูหมิง มีภาพรางๆ แล่นผ่านความคิดเขา

ในภาพนั้นเป็นวิหารใหญ่ยักษ์ วิหารนี้สร้างอยู่บนยอดเขา ภายในมีรูปปั้นยักษ์อยู่แปดรูป บนพื้นตรงกลางรูปปั้นมีโครงกระดูกคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ แขนขาถูกล่ามโซ่และยังถูกตอกติดกับพื้น

ระลอกคลื่นตอบสนองไม่ได้มาจากรูปปั้นนี้ และมิใช่โครงกระดูกนี้ แต่เป็นภาพสัญลักษณ์บนผืนดินตรงโครงกระดูก

ภาพสัญลักษณ์นั้นนูนขึ้นมา วนรอบๆ ผืนดิน ลักษณะของมันคือมังกรแดงฉานในขนาดย่อส่วน!

เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่สีแดงฉาน แต่สีอ่อนจางลงไปมาก มีสีหน้าเจ็บปวด แน่นิ่งไม่ขยับ หากมองดีๆ จะเห็นว่ารูปปั้นแปดตัวนี้เหมือนเหยียบภาพมังกรแดงฉานเอาไว้ ส่วนโครงกระดูกตรงกลางที่ถูกตอกติดกับพื้น บริเวณที่ตอกก็คือศีรษะของมังกรแดง!

หลังจากภาพในความคิดวูบผ่านก็หายวับไป จากนั้นก็ปรากฏภาพใหม่ ในภาพนั้นเป็นบึงน้ำ ตรงส่วนลึกของบึงมีดวงตาสีเขียวคู่หนึ่งกำลังขยับวูบไหวอยู่ในความมืด เหมือนมีเสียงคำรามแว่วออกมา ก่อนที่ภาพนี้จะหายไป

ซูหมิงลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววเย็นชา

“เผ่าวิญญาณหยิน!” ซูหมิงยืนขึ้นทันควัน หลังจากทิ้งจิตสัมผัสเอาไว้ที่นี่แล้วก็เดินไปยังนอกถ้ำ ร่างพลันหายวับไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version