Skip to content

สู่วิถีอสุรา 754

ตอนที่ 754 กินคนได้?

“ที่ท่านหมายถึงคือ…เจ้าปกครองโลกรึ?” ชายชราลังเลชั่วครู่ แล้วประสานมือคารวะถาม

จากคลื่นพลังในร่างชายชราคนนี้ จะเห็นได้ว่าเขาน่าจะมาจากเผ่าพันธุ์ใกล้เคียงกับเซียน มีพลังราวๆ จุดสูงสุดของก้าวที่สอง ฉะนั้นตอนที่เขาเอ่ยถึงระยะทาง เลยใช้คำว่าก้าวที่สามมาเป็นมาตรฐานความเร็ว

ทว่าความจริงแล้วแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตมีนักโทษจากสี่มหาโลกแท้จริงกับเผ่าพันธุ์ประหลาดลึกลับอยู่ ระดับขั้นพลังของที่นี่จึงค่อนข้างยุ่งเหยิง ต้องใช้คำเรียกตามสี่มหาโลกแท้จริงต่อไป

เจ้าปกครองโลก!

นี่คือมาตรฐานของขั้นพลัง ใช้เจ้าปกครองโลกเป็นแกนกลาง หากขั้นพลังเกินกว่ามาตรฐานนี้ก็จะแบ่งเป็นต้น กลาง ปลาย และสมบูรณ์สี่ระดับ เหนือกว่านั้นจะเป็นยอดผู้ฝึกฌานรองภัยพิบัติตะวันกับภัยพิบัติตะวันจริงๆ

ส่วนคนที่ขั้นพลังยังไม่ถึงเจ้าปกครองโลกมีจำนวนคนมาก เลยซับซ้อนยิ่งกว่า ถึงอย่างไรระบบการฝึกฝนของทุกเผ่าพันธุ์ก็ต่างกัน ทว่าหลายหมื่นปีมานี้ มาตรฐานขั้นพลังของสี่มหาโลกแท้จริงค่อยๆ เป็นที่ยอมรับของทุกคน และกลายเป็นบรรทัดฐานอย่างหนึ่งในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตด้วย

ต่ำกว่าเจ้าปกครองโลกลงไปคือฟ้า ดิน มนุษย์สามระดับ ขั้นพลังชายชราในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตคือจุดสูงสุดของก้าวที่สองในเผ่าพันธุ์เขา และก็เป็นจุดสูงสุดของระดับฟ้า

ส่วนซูหมิง ตอนที่ก้าวเข้าสู่ขั้นขาดชะตา ในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตจะถือว่าก้าวเข้าสู่ระดับดินตอนต้น หากเขาทะลวงผ่านขั้นขาดชะตาเข้าสู่ขั้นบรรลุชะตา ก็จะอยู่ระดับฟ้า

หากทะลวงผ่านบรรลุชะตาสู่โลกชะตาซึ่งเป็นขั้นพลังสุดท้ายในขอบเขตการสร้างชะตาแล้ว เขาจะอยู่จุดสูงสุดของระดับฟ้า สามารถข้ามผ่านไปยังเจ้าปกครองโลกได้

ทว่าเพราะความต่างของเผ่าพันธุ์ ขั้นพลังระดับเดียวกัน กลับแบ่งความอ่อนแอแข็งแกร่งต่างกันอย่างใหญ่หลวง บวกกับทรัพยากรในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตขาดแคลน พลังวิญญาณฟ้าดินน้อยนิด ฉะนั้นการแบ่งแยกความอ่อนแกร่งจึงถูกขยายไปกว้างกว่าเดิม

ส่วนขั้นพลังที่ต่ำกว่าระดับมนุษย์ ในแดนร้างต้นกำเนิดจิตไม่มีชื่อเรียก เพราะคนเหล่านี้เป็นได้เพียงมดปลวกของที่นี่

พอได้ยินชายชราเอ่ย นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ก่อนพยักหน้าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แม้เจ็ดแปดสิบคนนี้มีขั้นพลังไม่ธรรมดา แต่ซูหมิงรู้ว่าวิธีการปรากฏตัวของตนน่าตะลึงอย่างยิ่ง ทั้งยังมีสัตว์ร้ายหัวหงส์ที่แผ่กระจายกลิ่นอายพลังน่าสะพรึงกลัวอีก ดังนั้นคนเหล่านี้จึงตื่นตระหนก และเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นเจ้าปกครองโลกเดินทางมาที่นี่จากนอกอวกาศ

นี่คือสิ่งที่ซูหมิงไม่คาดคิด เดิมทีเขาตั้งใจจะใช้อำนาจของสัตว์ร้ายหัวหงส์มาสืบเรื่องที่นี่ ตนจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ง่ายขึ้น

‘หรือว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่จะผนึกขั้นพลังไว้…มิเช่นนั้นแล้ว ขั้นพลังข้าอยู่ในสายตาชายชราชัดเจนขนาดนี้ ก็ไม่น่าจะเกิดความเข้าใจผิดแบบนี้ได้’ ซูหมิงมีสีหน้าสงบ วิเคราะห์คร่าวๆ อยู่ในใจตามสีหน้าของคนเหล่านี้

“ดาวแดงเพลิงไกลจากศูนย์กลางของแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตมาก อีกทั้งยังใกล้กับแดนดาราโลกแท้จริง มีผู้รักษาการณ์ลาดตระเวนตรวจอยู่บ่อยครั้ง เจ้าปกครองโลกจึงมีเพียงสองท่าน สองท่านนี้หนึ่งอยู่ตะวันออก อีกหนึ่งอยู่ตะวันตก ปกติจะปิดด่านฝึกฝนไม่สนใจเรื่องทางโลก

นอกจากเจ้าปกครองโลกสองท่านนี้แล้ว ดาวแดงเพลิงก็ไม่มีเจ้าปกครองโลกคนที่สามอีก” ชายชราประสานมือกล่าว

“ที่นี่คือทางเหนือของดาวแดงเพลิง ห้าร้อยปีก่อนก็มีท่านเจ้าปกครองโลกอยู่คนหนึ่ง ทว่าตอนที่ผู้รักษาการณ์ลาดตระเวนอยู่นอกอวกาศดันเผยกลิ่นอายไม่เคารพออกมา เลยถูกผู้รักษาการณ์สังหารไป

นอกจากนี้ดาวแดงเพลิงยังมีสัตว์เทพดุร้ายจำนวนไม่น้อยที่มีพลังระดับเจ้าปกครองโลก” เยวี่ยหงปังบุรุษชุดคลุมม่วงด้านข้างประสานมือคารวะ พลางกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อม ขณะกล่าวก็มองหงส์งูเพลิงใต้เท้าซูหมิงแวบหนึ่ง เขาอยากจะผ่อนคลายความสัมพันธ์กับซูหมิงลง ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะสร้างปัญหาให้ตน จึงชิงพูดเรื่องที่ชายชรายังไม่บอก

“จากนี้ไปทุกครั้งที่พวกเจ้ามา ให้เอาศพมาเซ่นไหว้ดังเดิม แต่ต้องส่งของที่มีเฉพาะในดาวดวงนี้มาด้วยอีกเล็กน้อย หากแซ่ซูถูกใจจะมีรางวัลให้” ซูหมิงเอ่ยเรียบๆ ขณะมองเยวี่ยหงปัง

“พวกเจ้าไปได้ ส่วนเจ้าอยู่ก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”

เยวี่ยหงปังใจสั่นสะท้าน หลายคนด้านหลังเดินเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อยทันที พวกเขามีสีหน้าตื่นตัวเหมือนกัน แผ่กระจายคลื่นพลังจากทั้งกาย

ในใจคนเหล่านี้กล้ำกลืน ทว่าพอนึกถึงการดูแลของเยวี่ยหงปังในช่วงหลายปีมานี้ พวกเขากลับไม่สนแล้วว่าจะเป็นตายอย่างไร

ช่วงที่คนพวกนี้ปลดปล่อยคลื่นพลัง หงส์งูเพลิงใต้เท้าซูหมิงก็มองมาอย่างเย็นชาแล้วส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำ มีแรงกดดันซึ่งไม่ด้อยไปกว่าเจ้าปกครองโลกแผ่กระจายมาจากตัวมัน

เยวี่ยหงปังขนลุกทั้งตัว คนอื่นๆ โดยรอบเมื่อประสานมือคารวะซูหมิงแล้วก็พากันถอยไปอย่างไม่ลังเล ไม่สนใจว่าเยวี่ยหงปังจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

แม้แต่ชายชราผู้นำสุดยังประสานมือคารวะแล้วรีบถอย พริบตาเดียวคนเจ็ดแปดสิบคนที่นี่ก็กลายเป็นสายรุ้งยาวบินจากไปรอบๆ อย่างเร็ว

“พวกเจ้าถอยไป ไปรอข้าอยู่ข้างนอก” เยวี่ยหงปังลังเลครู่หนึ่งถึงกัดฟันเอ่ยขึ้น เหตุที่ขั้นพลังเขาบรรลุถึงระดับฟ้าได้ นอกจากคุณสมบัติตัวเขาเองแล้วก็มีส่วนเกี่ยวกับอุปนิสัยด้วย ในมุมมองเขา หากอีกฝ่ายคิดจะสังหารตนจริงๆ ก็ไม่น่าจะทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ แต่ตอนนี้ให้ตนอยู่ที่นี่ผู้เดียว บางที…นี่อาจเป็นโอกาส

พอนึกถึงตรงนี้ เยวี่ยหงปังก็ใจสั่นไหว

หลายคนด้านหลังเขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ครั้นเห็นเยวี่ยหงปังมีสีหน้าเด็ดขาดจึงถอยออกไปไกลอย่างเงียบๆ

ทั้งในและนอกปากภูเขาไฟยามนี้ นอกจากหงส์งูเพลิงขนาดเล็กและใหญ่สองตัวแล้ว ก็เหลือเพียงซูหมิงกับเยวี่ยหงปัง

“ในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตแบ่งขั้นพลังกันอย่างไร” ซูหมิงมองเยวี่ยหงปัง ครู่ต่อมาก็กล่าวขึ้น

เยวี่ยหงปังมีสีหน้าเช่นปกติ พอได้ยินซูหมิงถามแล้วกลับใจเต้นดังตึกๆ เขารู้แล้วว่าการวิเคราะห์ของตนเมื่อครู่ไม่ถูกต้อง บุคคลตรงหน้านี้ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่มาจากแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต แต่เป็น…

วินาทีนี้เอง เยวี่ยหงปังหายใจกระชั้นเล็กน้อย เขาพลันเงยหน้ามองซูหมิง พอนึกถึงครั้งแรกตอนที่ตนเห็นอีกฝ่ายในใจก็มั่นใจยิ่งกว่าเดิม เขารีบประสานมือคารวะซูหมิง ก่อนอธิบายเรื่องฟ้าดินมนุษย์สามระดับกับคำเรียกเจ้าปกครองโลกอย่างละเอียด

“ส่วนแดนดาราโลกแท้จริง ที่นั่นคือจุดที่สี่มหาโลกแท้จริงรวมกันอยู่เพื่อกำราบแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต และก็เป็นทางออกเดียวของที่นี่

อีกทั้งผู้แข็งแกร่งของสี่มหาโลกในแดนดาราโลกแท้จริงจะส่งคนมาลาดตระเวนข้างนอกบ่อยครั้ง พวกเขาเข้าใกล้ศูนย์กลางแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตมากเกินไปไม่ได้ แต่จะลาดตระเวนแถวดาวแท้จริงจำนวนมากในรอบนอก คนที่ถูกส่งมาเหล่านี้ก็คือผู้รักษาการณ์!”

“ดาวทมิฬแห่งแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตที่โอวหยางซั่งพูดถึงก่อนหน้านี้มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นหนึ่งในดาวแท้จริงที่เป็นสัญลักษณ์ของแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต เป็นดาวดวงเดียวที่ไม่ถูกทิ้งร้าง และยังพอมีพลังวิญญาณอีกด้วย”

“โอวหยางซั่งคือชายชราคนเมื่อครู่ เขาเข้าใจผิดคิดว่าท่านเป็นผู้แข็งแกร่งจากดาวทมิฬ เพราะในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตจะมีเจ้าปกครองโลกผู้เฉยชาต่อความตายกล้าข้ามผ่านฟ้ากระจ่างดาวมาเป็นบางครั้ง เพื่อไปตามหาวัตถุดิบจำเป็นสำหรับการฝึกฝนในดาวดวงอื่น”

เยวี่ยหงปังมองซูหมิงพลางกล่าวเสียงต่ำ

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

“แซ่เยวี่ยคิดว่าท่านไม่ได้มาจากดาวทมิฬ แต่เป็น….นักโทษยุคแรกเริ่มที่เพิ่งถูกสี่มหาโลกแท้จริงส่งมาที่นี่!” ตอนที่เยวี่ยหงปังเอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเล สีหน้าเขามีความคาดหวังมากกว่าเดิม

“คนที่มีความทรงจำจากโลกภายนอกและถูกส่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกล้วนเป็นนักโทษยุคแรกเริ่ม พวกเขาขยายเผ่าพันธุ์อยู่ที่นี่ และให้กำเนิดคนอย่างพวกข้าในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตไม่น้อย ตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีใครเคยออกจากที่นี่ไปได้เลย

ไม่ทราบว่าท่านมาจากโลกใดในสี่มหาโลกแท้จริง?” เยวี่ยหงปังสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวด้วยความเคารพ

สายตาซูหมิงเย็นชา เขาไม่ปฏิเสธและไม่ตอบคำถามเยวี่ยหงปัง แต่ตบหงส์งูเพลิงใต้ร่างเบาๆ มันร้องคำรามทีหนึ่งก่อนกลับเข้าไปในปากภูเขาไฟ พาร่างเขาหายลับไปจากสายตาเยวี่ยหงปัง

เยวี่ยหงปังยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก ครู่ต่อมาก็โค้งคารวะปากภูเขาไฟแล้วหมุนตัวจากไปโดยเร็ว ในใจเกิดความสงสัยอีกครั้ง การวิเคราะห์ก่อนหน้านี้มีการคาดเดาอื่นๆ เพิ่มมา

‘หรือว่าเขาจะแสร้งถามเพื่อโน้มนำข้า…’ เยวี่ยหงปังไม่มีคำตอบในใจ นึกย้อนไปเมื่อครู่นี้ สิ่งที่ลึกซึ้งที่สุดในความทรงจำคือสายตาเย็นชาของอีกฝ่าย ในแววตาไร้ปรานีนั้นราวกับแฝงไว้ด้วยความเฉยชาต่อทุกคน

‘ไม่ว่าบุคคลผู้นี้จะเป็นใคร จะล่วงเกินไม่ได้ และจะพูดในสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ด้วย’ เยวี่ยหงปังตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ร่างเงาค่อยๆ ลาลับไกลออกไป

เวลาในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตเหมือนผ่านไปเร็วนัก ซูหมิงอยู่ในปากภูเขาไฟ ครึ่งตัวแช่อยู่ในหินหนืด ผ่านไปหนึ่งปีเต็มแล้ว ในหนึ่งปีนี้ พวกเยวี่ยหงปังมาทั้งหมดสี่ครั้ง ครั้งสุดท้ายจำนวนของพวกเขาเหลือไม่ถึงห้าสิบคนจากเจ็ดแปดสิบคน

การมาสี่ครั้งนี้ นอกจากศพที่ต้องเอามาแล้ว ยังมีวัตถุของดาวแดงเพลิงอีกไม่น้อย ตอนนี้สิ่งที่ลอยอยู่ตรงหน้าซูหมิงคือหินผลึกสีครามที่มีรูปลักษณ์ผิดแปลกไป ในหินผลึกมีสิ่งเจือปนไม่น้อย สิ่งเจือปนเหล่านี้คล้ายกับเส้นกล้ามเนื้อ หนำซ้ำยังไม่มีพลังวิญญาณอยู่

ทว่าหินก้อนนี้กลับดึงดูดสนใจซูหมิง

หลังจากตรวจสอบอยู่ชั่วครู่แล้ว เขาก็ยกมือขวาขึ้น มือขวาพลันแห้งเหี่ยวด้วยความเร็วระดับสายตา จนกระทั่งแห้งเหี่ยวทั้งแขนคล้ายหนังหุ้มกระดูกแล้ว เขาก็คว้าหินก้อนนั้นมา

แสงสีครามขยับวูบวาบภายในก้อนหิน ขนาดมันเล็กลงอย่างเร็วรี่ จนสุดท้ายกลายเป็นเศษละเอียดในมือ แต่มือขวาเขากลับค่อยๆ เหมือนมีเลือดเนื้อ ฟื้นจากสภาพหนังหุ้มกระดูกมาเล็กน้อย

‘วัดตามขั้นพลังแล้ว ข้ายังยากจะเปรียบกับคนส่วนใหญ่ที่นี่ แต่…..ไม่นึกเลยว่าที่นี่จะมีวัตถุที่เผ่าหมีซื่อใช้ฝึกฝนร่างกายอยู่ด้วย!’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววประหลาดใจพลางจ้องมือขวา

‘แดนรกร้างต้นกำเนิดจิตลึกลับจริงๆ ไม่อยากเชื่อว่าในหินไร้ประโยชน์บนดาวแดงเพลิงตรงแถบชายแดนจะมีพลังแห่งเลือดเนื้ออยู่’ ซูหมิงจับหินหนืดข้างกาย หยิบหินสีครามขนาดเท่ากำปั้นอีกก้อนออกมา หรี่ตาลงมองสิ่งเจือปนคล้ายลายเส้นกล้ามเนื้อในหิน

‘หรือว่าดาวแดงเพลิงดวงนี้จะกินคนได้ มิเช่นนั้นแล้ว เหตุใดในหินถึงมีเลือดเนื้ออยู่!’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!