Skip to content

สู่วิถีอสุรา 765

ตอนที่ 765 จุดเริ่มต้นจิตใจเปลี่ยนครั้งที่สาม

‘จิตใจเปลี่ยนครั้งแรกคือความรักกับไป๋ซู่…’ ซูหมิงกุมตรงหัวใจ ในความคิดผุดขึ้นมาเป็นภาพในตอนนั้น

‘จิตใจเปลี่ยนครั้งที่สองค่อนข้างเลือนราง ทว่าข้ารู้สึกได้ มันเริ่มขึ้นตอนข้าตระหนักรู้การเดินจากความตายสู่ความเป็นของสี่ฤดู จากหนาวไปถึงใบไม้ผลิ แล้วไปสิ้นสุดตอนตระหนักรู้โลหิตของฤดูใบไม้ร่วงในหอคอยรกร้างบูรพา’

“ตอนนี้จิตใจเปลี่ยนครั้งที่สามคือ…บ้าน” ดาราและดวงจันทร์บนฟ้าเลือนหายไปแล้ว มีเพียงดวงตะวันที่ส่องแสงและแผ่ไอความร้อนเท่านั้น วันใหม่มาถึงแล้ว มันสลายความมืดออกไป เปิดม่านการหลอกตัวเอง ทำให้ผู้คนบนดาวแดงเพลิงรู้สึกถึงความเหี้ยมโหดและความจริงอีกครั้ง

‘การผ่านจิตใจเปลี่ยนมีสามวิธี หนึ่งสู้ สองตัด สาม…ลืม’

‘ทว่าข้าไม่มีความรู้สึกแล้ว ไม่มีความเจ็บปวด ข้าไม่อยากตัดความคิดถึงบ้านและก็ไม่อยากลืม…ต่อให้สู้มันจะมีประโยชน์อะไร’ ซูหมิงหลับตา ปิดตะวันและจันทราในดวงตาไป

ผ่านไปพักใหญ่ ช่วงที่ลืมตาอีกครั้ง เขายืนขึ้นจากท่านั่งสมาธิมาตลอดหนึ่งปีช้าๆ พอยืนขึ้นแล้วเยวี่ยหงปังก็รีบห้อวิ่งเข้ามาทันที

ซูหมิงมองเยวี่ยหงปัง มองหินสีครามจำนวนมากที่รับมาตลอดหนึ่งปีไกลๆ ก่อนสูดกลิ่นอายความร้อนของที่นี่เข้าลึก

“ข้าจะออกไปข้างนอก เจ้ามีอำนาจจัดการเรื่องของเขตทางเหนืออย่างเต็มที่”

ซูหมิงมองทอดไกล เอ่ยเสียงเรียบๆ พลางขยับตัววูบไหว พร้อมกันนั้นหงส์งูเพลิงที่หลับใหลมาตลอดหนึ่งปีก็ขยับตัวแล้วส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง

มันบินมาอยู่ใต้เท้าซูหมิงก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวพาเขาออกไป ทั้งยังมีเงาดำของกระเรียนขนร่วงกระพือปีกตามอยู่ด้านหลังอย่างเร็วไว

เยวี่ยหงปังประสานมือคารวะ สายตามองซูหมิงห่างไปไกลจนกระทั่งลาลับขอบฟ้า เขารู้สึกรางๆ ว่าซูหมิงเหมือนจะต่างกับเมื่อปีก่อน แต่ต่างอย่างไรเขาเองก็ไม่แน่ใจ มันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น

ซูหมิงบินอยู่บนดาวแดงเพลิงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ข้ามผ่านยอดเขา ข้ามผ่านทะเลทรายรกร้าง เขาเจอพืชสีแดงชนิดหนึ่งบนยอดเขาหลายแห่ง มันจะเติบโตอยู่ในภูเขาไฟและให้ความรู้สึกร้อนระอุ

จนกระทั่งเขาเจอภูเขาลูกหนึ่ง เป็นภูเขาไฟเก่าที่ไม่มีการปะทุแล้ว รูปร่างของมันคล้ายกับยอดเขาลำดับเก้ายิ่งนัก ซูหมิงมองมันอย่างเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ก็ยกมือขวาขึ้นเรียกกระบี่สังหารออกมา ก่อนจะบินวนรอบยอดเขานี้ ร่างเงาตัวเขาคล้ายกับสายลมสายหนึ่ง

หินผาแตกหัก เศษฝุ่นฟุ้งกระจาย จนกระทั่งหนึ่งวันผ่านไป ด้วยการปรับเปลี่ยนของซูหมิง มันคล้ายกับยอดเขาลำดับเก้ามากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเขายังเปิดถ้ำห้องหนึ่งบนยอดเขา ตรงระหว่างภูเขามีลานของศิษย์พี่รอง ตรงกลางภูเขามีฐานราบของซูหมิงกับถ้ำอาศัยของหู่จื่อ ส่วนก้นภูเขามีที่ฝึกฌานของศิษย์พี่ใหญ่

ตอนที่ยอดเขานี้ปรากฏตรงหน้า เขามองมันอยู่นาน

จนกระทั่งฟ้ามืดลงดวงจันทร์ลอยสูงขึ้น แผ่นดินขมุกขมัว เขามองยอดเขาลำดับเก้าพลางยิ้ม รอยยิ้มช่างเย็นชานัก ไร้ความรู้สึกอย่างยิ่งราวกับสวมหน้ากาก ทว่านี่ไม่ใช่เจตนาเดิมของเขา ยิ้มไปยิ้มมา หัวใจภายใต้ความหนาวเหน็บก็เจ็บปวดอีกครั้ง

เพียงแต่ว่าความเจ็บปวดครั้งนี้ไม่ใช่แค่หัวใจ ยังมีดวงจิตที่ยิ่งใหญ่คล้ายมาเยือนบนสีหน้าเย็นชา ทำให้ใบหน้าเย็นชาเกิดการกระตุก แล้วเหมือนมีหน้ากากค่อยๆ ลอยขึ้นมา

ซูหมิงเข้าใจว่าการกระทำของตนในความหมายบางอย่างคือความรู้สึก ความคิดถึงบ้าน และความรู้สึกถึงบ้านเป็นสิ่งต้องห้ามในตัวเขา เป็นสิ่งที่ถูกตัดออกไป แต่วิธีทำในตอนนี้กลับตรงกันข้ามกับความเย็นชา ทำให้หน้ากากที่หายไปบนใบหน้าปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งยังมีดวงจิตจากหน้ากากพยายามขัดขวางซูหมิงเอาไว้

ซูหมิงมีโลหิตไหลตรงมุมปาก แต่ก็ยังก้าวเดินมาถึงยอดเขาเงียบๆ แล้วนั่งลงอย่างโดดเดี่ยว หงส์งูเพลิงนอนหมอบอยู่ใต้ยอดเขา มันเหมือนรู้สึกถึงคลื่นจิตใจของซูหมิง นั่นคือไม่อยากให้ใครมารบกวน

กระเรียนขนร่วงเหม่อมองทุกอย่างที่ซูหมิงทำตลอดทั้งวัน

มันที่มีนิสัยคึกคักพลันสงบเงียบลง มองยอดเขาลำดับเก้าพร้อมมาอยู่ข้างซูหมิงช้าๆ มันมองใบหน้าเย็นชาของซูหมิง มองโลหิตตรงมุมปาก และมองเขากุมหัวใจตัวเอง แล้วจึงเผยสีหน้าเศร้าโศก

“ข้าจะไม่ตัดความคิดถึงบ้านและจะไม่ลืม…ข้าจะขอเจ็บปวด! ให้ความเจ็บปวดหัวใจจดจำความรู้สึกนี้เอาไว้ ให้ข้ารู้สึกถึงความเจ็บปวดนี้ตลอดเวลา มีแต่แบบนี้เท่านั้นข้าถึงจะจำได้ตลอด ไม่มีวันลืม” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขากลัวว่าวันหนึ่งจะลืมความคิดถึงบ้านไป กลัวว่าตนจะอยู่ในความเย็นชาและไร้ความรู้สึกจนหลงอยู่ในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต

ฉะนั้นเขาต้องจำความเจ็บปวดนี้เอาไว้

เขาหยิบพืชสีแดงที่เก็บมาตลอดทางจากในถุงเก็บวัตถุออกมา ก่อนถักเป็นปมหญ้าทีละปม จนกระทั่งยามรุ่งอรุณมาถึง ตรงหน้าเขามีตุ๊กตาหญ้าตัวหนึ่ง

ตุ๊กตานี้ไม่มีหัว

ภายในตัวมันมีโลหิตจากปลายลิ้นของเขาอยู่ โลหิตนี้มอบร่องรอยชีวิตให้กับมัน ทำให้มันสมจริงราวกับมีชีวิต

รูปลักษณ์ของมันไม่เหมือนศิษย์พี่ใหญ่ ในสายตาซูหมิงมันไม่ใช่เขา แต่คือศิษย์พี่ใหญ่!

ซูหมิงมองตุ๊กตาสีแดงอันเป็นตัวแทนของศิษย์พี่ใหญ่ด้วยใบหน้าเย็นชา อ่านใจเขาไม่ออก แต่สีหน้าจดจ่อมุ่งมั่นนี้คล้ายจะเป็นตัวแทนของทุกอย่างแล้ว

เพียงแต่ว่าตอนนี้ หน้ากากที่หายไปในยามค่ำคืนปรากฏมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันแผ่ดวงจิตยิ่งใหญ่กว่าเดิม ทำให้ซูหมิงตัวสั่นสะท้าน ใบหน้าเกิดเค้าลางถูกกัดกร่อนและยังมีควันดำลอยโชย แม้ไม่มีความเจ็บปวด ทว่าดวงจิตจากหน้ากากกลับพยายามจะหยุดซูหมิง

ซูหมิงตัวสั่น เขารู้สึกว่าควบคุมสองมือไม่ได้ ประหนึ่งว่าดวงจิตจากหน้ากากกำลังควบคุมร่างกายเขา ทำให้เขากระอักเลือดกองใหญ่ออกมาโดยทันที

นัยน์ตาเขาเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ครั้นกระอักเลือดแล้วกลับกัดฟันพยายามยกมือขวาขึ้น หยิบพืชสีแดงจำนวนหนึ่งออกมาอีกครั้ง แล้วค่อยๆ ผูกปมทั้งที่มือยังสั่นไหว การขยับง่ายๆ ตอนนี้กลับยากเย็นยิ่ง แต่เขาก็ยังยืนหยัดต่อไป

ผ่านไปสามวันก็ถักตุ๊กตาสีแดงตัวที่สองเสร็จ ภายในตุ๊กตามีโลหิตของเขาอยู่ ใบหน้ามันคล้ายกำลังยิ้ม ราวกับไม่ว่าอย่างไรหรือที่ใดก็จะมีรอยยิ้มอบอุ่นเช่นนี้เสมอ

วินาทีที่ถักตุ๊กตาตัวที่สองเสร็จ แสงตะวันร้อนแรงอย่างยิ่ง มันสะท้อนแถบใบหน้าตุ๊กตา ทำให้รอยยิ้มของมันมีความทรงจำที่ซูหมิงเห็นแล้วต้องเหม่อลอย

ท่ามกลางความทรงจำนั้น หน้ากากบนใบหน้าซูหมิงกัดกร่อนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดวงจิตจากหน้ากากส่งเสียงระเบิดดังในความคิดเขา ตรงมุมปากมีโลหิตไหล ถึงเขาจะไร้ความเจ็บปวด แต่ก็ล้มลงข้างๆ

เจ็ดวันต่อมา ซูหมิงลืมตาขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ร่างกายบอบบางอย่างยิ่ง ความรู้สึกบอบบางนี้เหมือนกำลังทำร้ายจิตใจ ทว่าพอเขาลืมตาก็หยิบพืชสีแดงออกมาอีกครั้ง แล้วถักต่อไปพร้อมกับมือที่ยังสั่นไหว

การถักครั้งนี้ ซูหมิงถูกดวงจิตระเบิดใส่จนหมดสติไปสามครั้ง จนกระทั่งหนึ่งเดือนต่อมา ทั่วร่างเขาไม่มีแสงแวววาวใดๆ แต่ตรงหน้ามีตุ๊กตาตัวที่สาม

มันเป็นตุ๊กตาที่มีสีหน้าซื่อๆ และทึ่มทื่อ เขามองตุ๊กตาตัวนี้พลางหัวเราะ เสียงหัวเราะเย็นชาไม่มีความรู้สึกใดๆ ทว่าในความรู้สึกกระเรียนขนร่วง ทุกอย่างตลอดหนึ่งเดือนมานี้รวมถึงเสียงหัวเราะเย็นชาในตอนนี้กลับจริงใจกว่าทุกอย่างในโลก

“เจ้าตัดความรู้สึกหลังจากนี้ของข้าได้ แต่ตัดความคิดถึงในอดีตข้าไม่ได้…” ซูหมิงหยิบพืชสีแดงขึ้นมา ทันทีที่และเริ่มถักตุ๊กตาตัวที่สี่ บนใบหน้ามีโลหิตหยดไหลลงมา ขณะเดียวกัน ดวงจิตจากหน้ากากก็แกร่งจนทำให้จิตวิญญาณเขาสั่นสะท้าน

เขาเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า

สองมือสั่นเทา ลองผูกปมหญ้าหลายต่อหลายครั้ง จนผ่านไปอีกเดือนหนึ่ง ตรงหน้าก็มีตุ๊กตาตัวที่สี่ปรากฏ

มันเป็นตุ๊กตาสตรี เป็นหญิงสาวที่หันมามองแล้วยิ้ม นางก็คือไป๋ซู่

หลังจากถักตุ๊กตาตัวนี้แล้ว สองมือซูหมิงปริแตก ความอ่อนแอถึงขีดจำกัด เกือบจะเหมือนไฟตะเกียงมอดดับ ทว่าตะวันในตาซ้ายและจันทร์ในตาขวาภายในดวงตาเย็นชากลับชัดเจนขึ้น และยังกินพื้นที่ทั้งหมดในดวงตา

เขาหยิบพืชสีแดงออกมาอีกเล็กน้อย แล้วถักตุ๊กตาตัวที่ห้า…อวี่เซวียน

ทว่าในครั้งนี้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ผูกปมแรกไม่ได้ ทุกครั้งที่จะผูกปมแรกเสร็จ ในใจเขาจะปรากฏร่างหนึ่งซึ่งกำลังหลับตาและลอยไกลออกไปจนคว้าไม่ถึง

ลองอยู่หลายครั้งก็ยังผูกปมไม่ได้ หน้ากากบนใบหน้าเขาเปล่งแสงหม่น ขณะเดียวกับที่ปกคลุมใบหน้า นัยน์ตาภายในหน้ากากก็เย็นชาไร้ความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ

“เจ้ามาที่นี่หลายวันแล้ว จะมองแซ่ซูไปจนถึงเมื่อไร” ซูหมิงมองพืชสีแดงที่ยังผูกปมแรกไม่ได้ในมือ เขาไม่เงยหน้าขึ้น เพียงกล่าวเนิบๆ น้ำเสียงแฝงด้วยความหนาวเข้ากระดูก

มีเสียงถอนหายใจแว่วมาจากบนฟ้า ก่อนปรากฏร่างเงาของเถียนหลิน เขามองหน้ากากสีดำบนใบหน้าซูหมิงด้วยความซับซ้อน มองตุ๊กตาหลายตัวตรงหน้าอีกฝ่ายกับพืชสีแดงที่เต็มไปด้วยรอยจับจีบในมือ

“เจ้าไม่เห็นต้องทำเช่นนี้ เห็นอยู่ว่าหน้ากากของเจ้ามีพลังแห่งผนึกอยู่ เหตุใดต้องต่อต้านมัน?” เถียนหลินเพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ ซูหมิงก็เงยหน้าขึ้น วินาทีที่ดวงตะวันในตาซ้ายและดวงจันทร์ในตาขวามองเถียนหลิน เถียนหลินเงียบงันในทันที ช่วงที่สบตากับซูหมิงก็มีเสียงอึกทึกดังสนั่นในจิตใจ

ตอนที่เกิดเสียงโครมคราม ซูหมิงกับยอดเขาตรงหน้าหายไป ก่อนจะปรากฏเป็นที่ราบแห้งแล้ง บนที่ราบมีผู้คนอยู่หลายครัวเรือน ยามนี้มีเสียงเล็กแหลมแว่วมา ผู้รักษาการณ์เสื้อคลุมแดงคนหนึ่งกำลังเข่นฆ่าอยู่ สุดท้ายผู้รักษาการณ์ร่างกำยำผู้นี้ก็แผ่กระจายกลิ่นคาวเลือด ชายหนุ่มผู้มีสีหน้าหวาดกลัวคนหนึ่งต้านรับไว้อย่างต่อเนื่อง ทว่าทุกครั้งจะถูกผู้รักษาการณ์อัดจนกระอักเลือดและกระเด็นถอยไป เขาเอ่ยเรียบๆ ด้วยความเย็นชาและเหยียดหยาม

“รู้ว่าสู้ไม่ได้ยังกล้ามาต่อกรกับข้าอีก ช่างเถอะ จะไว้ชีวิตสัตว์น้อยทายาทรุ่นห้าของเถียนขุยไว้สักคน ถือว่าข้าเมตตาแล้วกัน”

หลังการต่อสู้สิ้นสุดลง ผู้รักษาการณ์จากไปแล้ว ชายหนุ่มคนนี้เงยหน้าคำรามเสียงแหลม คุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาหลั่งไหลเป็นสายเลือด

แม้ทุกอย่างจะหายไปในพริบตา เถียนหลินกลับตัวสั่น ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา นี่คือความเจ็บปวดที่ซ่อนลึกที่สุดในจิตใจ มันเกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน ณ บ้านเกิดในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต!

ลมหายใจเถียนหลินกระชั้น มองซูหมิงทันที

“นี่คือวิชาอะไร!”

“ดวงตะวันเป็นตัวแทนของความจริง ดวงจันทร์เป็นตัวแทนของความหวัง ดวงดาว…..คือบ้านเกิด นี่คือสิ่งที่ข้าแซ่ซูตระหนักรู้มา ภาพมายาตะวันจันทราและดารา ส่วนเมื่อครู่นี้ที่ถามว่าเหตุใดแซ่ซูถึงต้องต่อต้านมัน คำตอบก็เหมือนกับที่ว่าเหตุใดเจ้าถึงต่อต้านผู้รักษาการณ์” ซูหมิงถือตุ๊กตาสี่ตัวไว้ตรงหน้า ก่อนนำโลหิตของเขาแฝงไว้ภายใน แล้วนำตุ๊กตาผสานรวมเข้าสู่ร่างกาย เหมือนกับว่าซูหมิง…..อยู่ด้วยกันกับพวกเขา

ซูหมิงรู้ว่าจิตใจเปลี่ยนครั้งที่สามเพียงเพิ่งเริ่มต้น มันยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อเขาถักตุ๊กตาของทุกคนและผสานรวมเข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็จะข้ามผ่านจิตใจเปลี่ยนครั้งที่สามไปได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!