Skip to content

สู่วิถีอสุรา 921

ตอนที่ 921 ขุดหลุม

“เสแสร้ง เสแสร้งเกินไปแล้ว!”

ขณะเรือรบสิบสามลำกำลังแล่นอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว บนเรือลำที่ใหญ่ที่สุดในนั้น กระเรียนขนร่วงมีสีหน้าอิจฉา มันบ่นพึมพำไม่หยุด

“ย่ากระเรียนมันเถอะ เรื่องเสแสร้งแบบนี้ควรเป็นข้าทำถึงจะถูก เฮ้อ…”

กระเรียนขนร่วงคอตก มังกรยมโลกข้างๆ เหลือบตามอง มันไม่อยากซ้ำเติมอีกฝ่าย และก็ไม่อยากเอ่ยถึงตอนที่สัตว์คลื่นเสียงปรากฏตัวเมื่อหลายวันก่อน แต่กระเรียนขนร่วงตกใจกลัวจนไม่กล้าออกจากประตูห้องด้วยซ้ำ

“เจ้าลองคิดดู ข้าผู้สง่างามกลางทะเลโลหิตลูกใหญ่ กำลังชะล้างกายอยู่กลางทะเลโลหิต โบกสะบัดมือถูหลัง สัตว์คลื่นเสียงพวกนั้นตายไปแสนตัว ระหว่างโบกมืออีกครั้งก็ถูหน้าอก สัตว์คลื่นเสียงที่เหลืออยู่ต่างคุกเข่าคารวะ ช่างน่าปลื้มอกปลื้มใจนัก แต่เขามันเสแสร้งมากเกินไป!

มาคิดๆ ดูแล้วเจ้านั่นก็ไม่ได้เรื่อง ทางซ้ายมีหญิงแมว ทางขวามีแม่นางน้อย ข้างหลังยังมีตาแก่เก้าคน ตรงหน้าเป็นนักรบมรณะหลายพันคน…” กระเรียนขนร่วงกัดฟันด้วยความโกรธ มีท่าทีริษยามาก

“หากข้ามีแบบนั้นบ้าง จะต้องให้ทุกคนเอาหินผลึกออกมา ทว่าเขาล่ะ อา? เขาล่ะ ไม่คิดเลยว่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องหินผลึก นะ นะ นี่มัน….เสียของเกินไปแล้ว ไร้ยางอายนัก แล้วก็น่าดูถูกอย่างยิ่ง

ไม่ได้ ข้าต้องไปหารือกับเขา มังกรยมโลก เจ้าอย่าขวางข้า วันนี้ท่านกระเรียนจะต้องไป!” กระเรียนขนร่วงตาแดงก่ำ โกรธจนจะเดินออกจากห้องไป ทว่าเดินออกไปไม่กี่ก้าว มันก็หันไปมองมังกรยมโลกที่นอนอยู่

“เจ้าอย่ามาขวางข้า!”

“ข้าไม่ได้ขวางเจ้า” มังกรยมโลกถอนหายใจ มันรีบย้ายที่ ทำท่าทีว่ามันไม่ได้ผิดอะไร

“เอ่อ…ช่างเถอะๆ เจ้าก็พูดถูก ข้าไม่ควรจะใจแคบเช่นนี้ ช่างเถอะ” กระเรียนขนร่วงกลอกตาแล้วรีบนั่งลง มีท่าทีว่าตนใจกว้างมาก

“ข้าพูดอะไรรึ?” มังกรยมโลกอึ้งงันไปแล้วเกาหัว

“หืม เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าไม่ให้ข้าไปไม่ใช่รึ?”

“หา? ข้าเปล่า”

“เจ้าพูด…”

“ข้าไม่ได้พูดจริงๆ…”

หนึ่งมังกรกับหนึ่งกระเรียนอยู่ในห้องนี้ เกิดการถกเถียงปัญหาข้อนี้กันอย่างดุเดือด คนนอกไม่ได้ยินเสียงพวกมัน ทว่าซูหมิงที่นั่งอยู่บนพื้นแข็งของเรือรบที่อยู่ไม่ไกลนักกลับได้ยินอย่างชัดเจนผ่านการเชื่อมกับกระเรียนขนร่วง

เขาไม่สนใจกระเรียนขนร่วง แต่ก้มหน้าคลำหน้าอก ตรงนั้นไม่มีเศษหินสีดำ แต่เขาชินกับการมีอยู่ของมันแล้ว แม้ตอนนี้มันจะอยู่ในจิตวิญญาณ แต่เขาก็ยังรู้สึกโดยจิตใต้สำนึกว่ามันยังแขวนอยู่ที่คอ

ภาพเมื่อหลายวันก่อนลอยขึ้นมาในความคิด คล้อยหลังกลุ่มสัตว์คลื่นเสียง พริบตาที่เขาเดินออกมาจากทะเลโลหิต ทะเลโลหิตก็รวมเข้ามาที่เขาพร้อมกัน สุดท้ายก็หายไปกับอากาศรอบตัว

แต่เขารู้สึกได้ว่าทะเลโลหิตเหล่านั้นไม่ได้หายไป แต่ถูก…เศษหินสีดำสูบไป

‘เมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิต…’ ซูหมิงหลับตาลง ผ่านไปพักใหญ่ถึงลืมตาอีกครั้ง ก่อนลดมือจากหน้าอกลง เรื่องเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิต เกี่ยวกับร่างแยกเอ้อชาง กระทั่งเกี่ยวกับกระเรียนขนร่วง ตอนนี้เขาพอจะเดาออกเล็กน้อยแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด

ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาหาหลักฐาน เขาต้องไปทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ไปตามหาเลี่ยซานซิว หากหาเจอจะดีที่สุด หากไม่มีเบาะแส เช่นนั้นเขาก็จะเตรียมตัว…พากลุ่มคนสำนักดาราสัจธรรมออกไปจากแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต!

ออกจากที่นี่ กลับโลกแท้จริงดาราสัจธรรม กลับบ้านเกิดของเขา!

กระทั่งหากกลับถึงโลกแท้จริงดาราสัจธรรม เขาตัดสินใจว่าจะหาอีกวิธีล้างแค้นทั้งสำนักดาราสัจธรรม วิธีนี้ไม่ใช่การเผชิญหน้าตรงๆ แต่เป็น….ทางด้านข้าง!

‘ข้าต้องเป็นจุดสูงสุดในหมู่คนแซ่เต้าทั้งหมดในสำนักดาราสัจธรรม ต้องค่อยๆ ควบคุมสำนักดาราสัจธรรม จนกระทั่ง…ควบคุมทั้งโลกแท้จริงแห่งนั้น ข้า…จะกลายเป็นเจ้าภัยพิบัติของโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ข้าจะกลายเป็นดาราสัจธรรม!

ถึงตอนนั้น เผ่าเซียนก็ดี ดวงจิตแห่งแดนมรณะหยินก็ดี จะต้องสูญสิ้นไป และมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ตี้เทียนไม่ทันรู้ตัว และทำให้ข้า…เอากายเนื้อของข้ากลับมา!’ นัยน์ตาซูหมิงแวววาว มุมปากยิ้มเย็นชา

เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มทึ่มทื่อในตอนนั้นอีก พูดได้ว่าเขาเป็นคนเจ้าแผนการแล้ว

วิธีนี้ ตี้เทียนย่อมคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน!

ซูหมิงมองไปรอบๆ ผู้ฝึกฌานทั้งหมดบนเรือรบสิบสามลำหรือลูกน้องของเขา ก่อนหน้านี้พวกเขายำเกรงเต้าคง ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม แต่ซูหมิงคือเต้าคง ดังนั้นแล้วคนเหล่านี้จึงเป็นกำลังสำคัญของเขา!

อีกอย่างผ่านเรื่องสัตว์คลื่นเสียงมา เขารู้สึกชัดว่าแม้คนเหล่านี้ยังมีท่าทีแบบเดิมต่อตน แต่นัยน์ตากลับมีความฮึกเหิมเพิ่มเข้ามา

ความฮึกเหิมนี้ไม่ใช่เพราะสำนักดาราสัจธรรม แต่เป็นเพราะเขาซูหมิง!

ส่วนเก้าผู้เฒ่ายมโลก ถึงจะมีสีหน้าปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก แต่ซูหมิงรู้สึกได้จากจุดเล็กๆ ว่าเหมือนมีความโล่งใจที่ผู้อาวุโสเห็นผู้เยาว์เติบโตขึ้นเพิ่มเข้ามาเล็กน้อย

นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ยังมีหญิงแมว นางเปลี่ยนไปเช่นกัน และแน่นอนคนที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือสวี่ฮุ่ย นางไม่ซ่อนตัวในความว่างเปล่าอีก แต่อยู่บนเรืออีกลำ สายตาเพ่งมองซูหมิงตลอดเวลา

ในสายตานั้นมีความลังเล ซับซ้อน และมีความประหลาดใจที่อธิบายไม่ได้เล็กน้อย

ซูหมิงหลับตาลง ไม่สนใจโดยรอบอีก

เขารู้สึกว่าขั้นพลังของตนตอนนี้คือ เจ้าปกครองโลกตอนกลาง ส่วนร่างกายเทียบเท่าเจ้าปกครองโลกตอนปลาย ประกอบกับพลังต้นกำเนิดจิต ตอนนี้เขาสู้กับเจ้าปกครองโลกสมบูรณ์ได้แล้ว หากใช้พลังของร่างแยกเอ้อชางหรือให้ร่างแยกเอ้อชางมาเอง เมื่อผสานรวมกับร่างแยกอื่น เช่นนั้นกำลังรบของซูหมิง…แม้ว่ายังไม่อาจปะทะกับผู้กุมชะตาเกิดดับ ทว่าคนระดับภัยพิบัติจันทราก็อ่อนแอแล้ว ต่อให้เจอตัวประหลาดระดับภัยพิบัติตะวันร่างแยกเอ้อชางก็ยังสู้ไหว

ขั้นพลังแบบนี้ ตอนที่ซูหมิงออกจากเผ่าหมานเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อน แต่ตอนนี้ได้มาอยู่ในมือแล้ว ขณะนี้เขาคลำถุงเก็บวัตถุเงียบๆ ในนั้นยังมีช้างมงคลสมบัติแห่งต้นกำเนิดจิตอยู่ และยังมีภูเขาวิถีเต๋าที่เปิดใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ สิ่งเหล่านี้คืออาวุธสังหาร

และที่สำคัญกว่าคือเขามีผึ้งพิษ! มีผึ้งพิษที่มีน้ำหวานดอกผนึกจิต มันคือต้นกำเนิดที่ทำให้พลังเขาเพิ่มขึ้นตลอดเวลา พอนึกถึงตรงนี้เขาก็ก้มหน้าลงมองนิ้วชี้มือขวาตัวเอง

นิ้วชี้ดูปกติ ทว่ามีเพียงเขาที่รู้ว่าในปลายนิ้วมีน้ำหวานดอกผนึกจิตอยู่ สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกเก็บมันเอาไว้

แม้มันจะนำพาอันตรายมาให้ แต่ขอเพียงควบคุมไม่ให้มันกระจายไปข้างนอกก็จะหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะรอบตัวเขาที่กำลังนั่งฌานอยู่ตอนนี้มีม่านอยู่สิบสามชั้น นี่คือการคุ้มกันที่รวมเรือรบสิบสามลำเข้าด้วยกัน ประกอบกับพลังและผนึกของเขาเอง จึงกันไม่ให้กลิ่นหอมน้ำหวานดอกผนึกจิตกระจายไปข้างนอกได้

ระหว่างที่ลองละลายน้ำหวานดอกผนึกจิตต่อ ซูหมิงก็ทำความเข้าใจกับความทรงจำของเต้าคงทั้งหมด และยังหาวิธีใช้และความมหัศจรรย์ของเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราพบ

เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราเป็นของที่มีเพียงศิษย์สายตรงของสำนักดาราสัจธรรมเท่านั้นถึงจะมีได้ แน่นอนว่ามันย่อมมีจุดแข็งของมันอยู่ จากการทำความเข้าใจอยู่หลายวัน บวกกับความทรงจำเต้าคง ตอนนี้ซูหมิงเข้าใจมันแล้ว

‘ยิ่งมีทาสมากเท่าไร พลานุภาพของเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ก็จะมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งดูจากเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ของเต้าคงแล้ว บวกกับความทรงจำเขา ตอนนี้ในสำนักดารา สัจธรรม เขามีผู้รับใช้อยู่เกือบแสนคน

ผู้รับใช้แสนคนนี้มีขั้นพลังไม่ธรรมดา มิหนำซ้ำเขายังมีสี่ยอดองครักษ์ ทุกคนล้วนมีพลังเจ้าปกครองโลกตอนปลาย เพียงแต่ว่าเพราะความพิเศษของแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต พวกเขาจึงตามมาไม่ได้ เลยต้องรออยู่ข้างนอก’ ซูหมิงใช้มือขวาคลำ เสื้อคลุม ใบหน้ายังเผยรอยยิ้มวูบผ่าน

‘เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดารามีประสิทธิผลอยู่สามข้อใหญ่ๆ หนึ่งคือป้องกัน กระตุ้นพลังป้องกันของมัน เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์แต่ละตัวมีความอ่อนแข็งต่างกัน เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ของเต้าคงสามารถรับการโจมตีอย่างสุดกำลังของระดับภัยพิบัติจันทราได้หนึ่งครั้ง!

จุดนี้แกร่งกว่าคนสายเลือดตรงสำนักดาราสัจธรรมที่ข้าเคยสังหารในอดีตไม่น้อย เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น แม้แต่ตาแก่สามคนในผนึกกลางวิญญาณข้ายังต้านไม่ไหว ดูเปราะบางอย่างเห็นได้ชัด’ ภาพในตอนนั้นลอยขึ้นมาตรงหน้า ตอนนี้มองไป สามคนในผนึกวิญญาณเขาก็อยู่ระดับใกล้เคียงกับชื่อหั่วโหว

‘สอง คือผนึกอภินิหาร ที่เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งก็เพราะประสิทธิผลข้อนี้เป็นในหนึ่งจุดสำคัญ หลังจากผนึกอภินิหารของคนอื่นแล้ว มันก็จะศึกษาด้วยตัวมันเอง แต่การจะใช้วิชานี้จำเป็นต้องมีขั้นพลังกับผู้รับใช้ที่มากพอถึงจะใช้ได้

ส่วนข้อสามคือ…..กลายร่างเป็นดวงดารา! แต่จะทำแบบนี้ได้ต้องเผาวิญญาณของผู้รับใช้ แล้วกลายเป็นดวงดารา ควบคุมต้นกำเนิดแห่งหนึ่งโลก ต่อให้เผชิญหน้ากับระดับภัยพิบัติตะวัน ก็พอจะต้านการโจมตีอย่างสุดกำลังได้หนึ่งครั้ง

มิหนำซ้ำเมื่อเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์แกร่งขึ้น สุดท้ายก็จะกลายร่างเป็นทะเลดาราได้ ดังนั้นแล้ว พลานุภาพจะข่มระดับภัยพิบัติตะวันได้

น่าเสียดาย การกลายร่างเป็นดาราไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ยังไม่ถึงระดับนั้น เสื้อคลุมตัวนี้เป็นเพียงเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ ห่างจากระดับเก้าอีกไกลโข

นอกจากนี้ในความทรงจำเต้าคง เหมือนว่าหากเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราถึงระดับเก้าแล้ว ยังมีวิชาอภินิหารอื่นๆ ซ่อนเอาไว้อีก กระทั่งสีของมันยังเปลี่ยนไปด้วย จากรูปลักษณ์ในตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีเงิน ในความทรงจำเขา ในคนสายเลือดตรงสำนักดาราสัจธรรม ในพวกคนที่อยู่มาแต่โบราณมีบางคนเสื้อคลุมเป็นสีเงินอยู่

ส่วนในกลุ่มคนรุ่นนี้ ก่อนหน้าที่เต้าคงจะมาแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต ยังไม่มีใครบรรลุถึงสีเงินเลย’ ซูหมิงคลึงตรงระหว่างคิ้ว หลับตาลงและนั่งฌานกำหนดลมหายใจอย่างเงียบๆ

เวลาผ่านไปช้าๆ เรือรบสิบสามลำเดินหน้าไป ตลอดทางค่อนข้างราบรื่น ไม่เจอกับกลุ่มสัตว์อย่างเช่นสัตว์คลื่นเสียงอีก ต่อให้เจอกลุ่มสัตว์กระจัดกระจายกัน หากไม่เลี่ยงไปก็จะสังหาร ดังนั้นจึงถือว่าสถานการณ์สงบสุข

จนกระทั่งผ่านไปสามเดือน….

ตลอดการเดินทางนี้ ในที่สุดซูหมิงก็มาถึงรอบนอกทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ในนั้นมีหินผุพังลอยอยู่สุดลูกหูลูกตา และเล่าลือกันว่าพวกมันโอบล้อมทั้งทะเลดาราต้นกำเนิดจิตเอาไว้ นี่คือสัญลักษณ์ หากเข้าไปในนี้ก็จะหมายความว่าเข้าสู่…..รอบนอกทะเลดาราต้นกำเนิดจิต

ฉึกๆ ฉึกๆ

ตอนที่เรือรบสิบสามลำเข้าใกล้หินชั้นหินผุพัง พลันมีเสียงนี้แว่วมา เสียงมีแบบแผนอย่างมาก เหมือนว่าทุกครั้งที่เสียงดังแว่วมา ช่วงเวลาจะห่างกันพอดีกัน

ซูหมิงลืมตาอยู่นานแล้ว ผู้ฝึกฌานแทบทั้งหมดรวมถึงเขาต่างเห็นว่าบนหินผุพังก้อนหนึ่งห่างไปไม่ไกลนัก มีชายซูบผอมคนหนึ่ง สีหน้าเฉยชา กำลังนั่งยองอยู่บนหินผุพัง มือขวาขุดหลุมบนพื้นเป็นจังหวะ

มองไปรอบๆ มีหลุมใหญ่อยู่เจ็ดแปดหลุม จะเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนขุดหลุมหินผุพังจำนวนมากที่ลอยอยู่ข้างๆ เหล่านี้ด้วยมือตัวเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!