ตอนที่ 922 ร่างนั้นบนคนยักษ์
ชายคนนี้รูปร่างไม่สูง มองแวบแรกเหมือนเป็นเด็กชายที่ยังไม่เติบใหญ่ แต่หากมองดีๆ จะเห็นจากเค้าโครงใบหน้าว่าเขาบรรลุนิติภาวะแล้ว
ไม่ใช่ว่าเขาตัวเตี้ย แต่ด้วยความผอมบาง จึงเหมือนว่าเพียงสายลมพัดก็ยกร่างเขาขึ้นได้แล้ว
ชายผอมบางคนนี้ไม่มองเรือรบสิบสามลำของซูหมิงแม้แต่หางตา สีหน้าเขาจดจ่ออยู่กับการใช้มือขวาขุดหลุมบนหินดาวผุพังไม่หยุด
เสียงปักๆ ดังกึกก้อง การกระทำของเขามีจังหวะ ภาพนี้อดสร้างความรู้สึกแปลกใจให้กับผู้พบเห็นทุกคนมิได้
ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือ สายตามองชายร่างผอมคนนั้น แม้จะกวาดสายตามอง แต่ชั่วขณะที่มองไป เขารู้สึกถึงระลอกคลื่นพลังจากตัวอีกฝ่าย
นั่นไม่ใช่…ระลอกคลื่นพลังของผู้ฝึกฌาน แต่เป็นระลอกคลื่นพลังเผ่าเชมันที่ซูหมิงคุ้นเคย กระทั่งเคยเจอมาก่อนแล้ว
นี่คือเชมัน!
เป็นเชมันนักสู้!
ซูหมิงหรี่ตาลง เขายกมือขวาสะบัดไป เรือรบสิบสามลำนั้นพลันหยุดนิ่งอยู่นอกชั้นหินดาวผุพังของทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ซึ่งอยู่ห่างจากชายร่างผอมบางบนหินไม่ไกลนัก
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ชายร่างผอมบางยังไม่มองพวกซูหมิงแม้แต่น้อย เขาขุดหลุมอยู่ตลอด จนกระทั่งผ่านไปราวครึ่งก้านธูป หลังจากที่เขาใช้มือขุดเป็นหลุมลึกแล้ว รอบๆ ตัวเขาก็มีหลุมแบบนี้ทั้งหมดแปดหลุม
การกระทำของเขาสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้กับผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรม ตอนที่พากันมองไป ซูหมิงส่ายศีรษะ ระลอกคลื่นเผ่าเชมันจากตัวชายผอมบางผสมปนเป ในนั้นยังมีกลิ่นอายพลังของเผ่าอื่นอยู่ด้วย ไม่ใช่เชมันบริสุทธิ์
“ไม่ต้องสนใจ ไปเถอะ” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
สิ้นเสียงซูหมิง เรือรบสิบสามลำก็เดินหน้าไปอย่างเนิบช้า พอเข้าไปใกล้ ช่วงที่พวกมันเข้าสู่ชั้นหินผุพัง ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องประหลาดเป็นคลื่นเสียงกระเพื่อมมาจากส่วนลึกของชั้นหินผุพังนั้น
สิ่งที่ตามเสียงนั้นมาคือสายรุ้งยาวเก้าสาย พวกมันรวดเร็วอย่างยิ่ง ขึ้นลงทะลวงผ่านอยู่ในหินผุพังแต่ละก้อน จนเข้ามาใกล้ในพริบตา มายืนอยู่บนหินที่มีหลุมใหญ่เก้าหลุม ยืนอยู่ตรงหน้าชายผอมบางคนนั้น
สายรุ้งยาวหายไป กลายเป็นเก้าคนที่เส้นผมยุ่งเหยิงและอาภรณ์ต่างกับผู้ฝึกฌานอย่างชัดเจน ดูแล้วเหมือนกับเสื้อทำจากหนังสัตว์ โดยเฉพาะบนใบหน้าเก้าคนนี้ มีสีสันจำนวนมากแต่งแต้มไว้ จึงมองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัด เห็นเพียงภาพสัญลักษณ์น่ากลัวบนใบหน้า
ภาพสัญลักษณ์นี้ดูดุดันอันตรายเป็นสีขาวตัดกับสีแดง เมื่อจับคู่กับดวงตาเย็นชาวาววับแล้วให้ความรู้สึกอันตรายอย่างยิ่ง
มองอายุเก้าคนนี้ไม่ออก เห็นเพียงว่าในพวกเขาไม่มีสตรี โดยเฉพาะคนตรงหน้า มือถือไม้เท้ากระดูกสีดำหนาอันหนึ่ง ดูจากลักษณะไม้เท้ากระดูกแล้ว เห็นชัดเลยว่าเป็นกระดูกขาของสัตว์ร้าย
ด้านบนเป็นเส้นสีแดงตัดสลับกัน เปล่งแสงพิลึกและชั่วร้าย
การปรากฏตัวของเก้าคน ทำให้มีกลิ่นอายพลังดึกดำบรรพ์และป่าเถื่อนโชยเข้ามากระทบใบหน้าคนสำนักดาราสัจธรรมทุกคน
“เผ่านักสู้เผ่านี้อยู่รอบนอกทะเลดาราต้นกำเนิดจิต เป็นกลุ่มธรรมดา ชาวเผ่ามีราวๆ เกือบพันคน ชาวเผ่านักสู้ทุกคนล้วนชอบการเข่นฆ่า มีนิสัยเหี้ยมโหดอย่างยิ่ง อีกทั้งยังไม่ค่อยติดต่อกับโลกภายนอก ในบันทึกของดาวทมิฬ เผ่านี้เป็นเผ่าที่ไม่มีวัฒนธรรม” หญิงแมวข้างกายซูหมิงพูดขึ้นเสียงเบา
แทบเป็นช่วงที่เสียงหญิงแมวเข้าหูซูหมิง ชาวเผ่านักสู้เก้าคนบนหินผุพังต่างเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าพร้อมกัน ประกายเย็นชาในแววตาเข้มข้น อันดับแรกพวกเขามองพวกซูหมิงก่อน จากนั้นก็ใช้ความเร็วพุ่งตรงไปหาชายร่างผอมบาง
“ขาดอีกหนึ่งหลุม…” ตอนที่น้ำเสียงเย็นเยียบและเฉยชาดังมาจากปากชายร่างซูบผอม เขาพลันเงยหน้าขึ้น เส้นเลือดดำตรงมือขวาปูดโปน จากนั้นเขาจึงร้องคำราม ฟันในปากเป็นประกายเย็นเยือก อีกทั้งในตอนนี้ฟันยังเกิดการเปลี่ยนแปลง แหลมขึ้นไม่น้อย
อันดับแรกเขาหยิบสมุนไพรต้นหนึ่งมาจากอกเสื้อแล้วเอาใส่ปากเคี้ยว จากนั้นก็ก้มลงเก็บหินที่ขุดมาจากหลุมก้อนหนึ่ง แล้วขยับกายวูบไหวตรงไปหาเก้าคนนั้น
นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย เกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่ได้สนใจชายคนนี้ แต่สนใจสมุนไพรที่อีกฝ่ายเคี้ยวอยู่ ด้วยความที่เข้าใจเรื่องสมุนไพร ทำให้มองแวบเดียวก็พอคาดเดาออกคร่าวๆ แล้ว สิ่งนี้ไม่ได้มีผลรักษา แต่น่าจะมีพิษบางอย่าง
ทว่าความสนใจนี้ก็ไม่ได้มากมายนัก ไม่ได้ทำให้เขาหันไปมองบ่อยครั้ง เรือรบ สิบสามลำยังคงเดินหน้าไป ค่อยๆ เฉียดผ่านหินผุพัง กำลังจะบินไกลออกไป
บนหินผุพัง ชายร่างผอมบางร้องคำรามพร้อมเข้าปะทะกับชาวเผ่านักสู้คนหนึ่ง ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ตรงหน้าอกเขาบาดเจ็บสาหัส แต่กลับแสยะยิ้มไม่สนใจแม้แต่น้อย ก่อนจะใช้ศีรษะชนกับหน้าผากชาวเผ่านักสู้คนนั้น ทั้งยังอ้าปากกัดคออีกฝ่ายแล้วกระชากออกไป โลหิตสดสาดกระจาย ส่วนตัวเขาถอยออกมาในพริบตา
เสียงร้องโหยหวนดังกังวาน ชาวเผ่านักสู้ที่ถูกกัดคอก็ถอยไปเช่นกัน เขากุมคอตัวเอง แม้จะห้ามเลือดเอาไว้ได้ แต่กลับหยุดการลุกลามของสีดำไม่ได้ นั่นคือพิษร้ายแรง เป็นพิษของสมุนไพรที่เคี้ยวเมื่อครู่จากฟันชายผอมบาง
‘พิษนี้ถือว่าไม่เลว’ ซูหมิงมองทุกอย่างไว้ ก่อนละสายตากลับ
ชายร่างผอมบางบนหินผุพังรวดเร็วอย่างยิ่ง ครั้นถอยไปแล้วก็หมุนตัวกลับ มือขวาบีบหินจนแตก กลายเป็นผงที่ถูกเขาตวัดขึ้น จากนั้นก็ตบหน้าอกตัวเองอย่างแรงทีหนึ่ง เขากระอักโลหิตออกมา โลหิตหลอมรวมกับผงหินก็ลุกไหม้ขึ้นทันที ก่อร่างเป็นนกเพลิงตัวหนึ่งตรงไปหาชาวเผ่านักสู้อีกคน
ขณะเดียวกัน เขาร้องคำรามทีหนึ่งแล้วพุ่งไปหาอีกคนหนึ่ง
เพียงครู่เดียว เสียงร้องโหยหวนดังก้อง มีชาวเผ่านักสู้อีกสองคนตายด้วยมือชายร่างผอมบาง การลงมือของเขาจะมาพร้อมกับความบ้าคลั่งและกระหายเลือด ทุกจุดของร่างกายล้วนเป็นอาวุธสังหารคมกริบได้
ทว่าหลังชาวเผ่านักสู้สิ้นหวังตายไปสี่คน นัยน์ตาชาวเผ่าประหลาดที่ถือไม้เท้ากระดูกมีแสงหม่นวูบผ่าน เขาอ้าปากกัดไม้เท้ากระดูกเสียงดังแกรก จนแตกออกเป็นกระดูกชิ้นเล็ก เคี้ยวอยู่ในปากพลางชูไม้เท้ากระดูกขึ้นกดตรงระหว่างคิ้วตน
พร้อมกันนั้นเขาตัวสั่นอย่างรวดเร็ว ร่างกายผอมบางลง พริบตาเดียวก็กลายเป็นหนังหุ้มกระดูก เส้นสีแดงบนไม้เท้ากระดูกยังขยับยึกยือตาม แทบเป็นช่วงที่เผ่าประหลาดคนนั้นผอมบางลง ไม้เท้ากระดูกพลันระเบิดหมอกหนาสีดำออกมา
ไอหมอกหนาแน่น พอระเบิดมาแล้วก็หมุนวนกลายเป็นงูหมอกสีดำตัวหนึ่งที่ร้องคำรามพลางพุ่งไปหาชายผอมบาง
ยามนี้เรือรบสิบสามลำของซูหมิงออกห่างจากหินผุพังที่ชายผอมบางอยู่แล้ว และเข้าสู่ชั้นหินดาวผุพัง ซูหมิงไม่สนใจการต่อสู้และเข่นฆ่าด้านหลังมากนัก เขามองออกว่าไม่ว่าจะเป็นชายผอมบางคนนั้นหรือชาวเผ่านักสู้เหล่านั้น ก็ล้วนเหมือนไม่เห็นพวกตนอยู่ในสายตา เข่นฆ่ากันต่อหน้าพวกเขาโดยไม่สนใจอะไรเลย
แต่ซูหมิงก็ไม่ได้ออกคำสั่งไป ผู้ฝึกฌานทั้งหมดบนเรือรบสิบสามลำจึงลงมือโดยพลกาลไม่ได้ เพียงแค่มองไปอย่างเย็นชาขณะเรือรบเดินหน้า
ชายร่างผอมบางเห็นงูหมอกเข้ามาจึงหรี่ตาลง ร่างถอยไปอย่างเร็วไว แต่ว่าชาวเผ่านักสู้สี่คนที่เหลือกลับไล่ตามไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับความกระหายเลือดและจิตสังหาร
นัยน์ตาเขาฉายแววเหี้ยมโหด ฝีเท้าหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ถอยแต่กลับบุกเข้าไปหาสี่คนนี้
สองฝ่ายปะทะกันในเสี้ยวพริบตา เสียงโครมครามพลันดังกึกก้อง เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น สี่คนนั้นหนึ่งถูกหักคอ หนึ่งถูกควักหัวใจ หนึ่งถูกฉีกร่างออก ส่วนอีกคนถูกชายผอมบางใช้หัวชนจนแตก
พริบตาเดียวชาวเผ่านักสู้สิ้นหวังสี่คนนี้ล้วนร้องโหยหวนและสิ้นใจไป ส่วนชายร่างผอมบางร่างซวนเซ เขาขยับแขนขวาไม่ได้แล้ว ตรงท้องก็มีบาดแผลจุดหนึ่งซึ่งมีโลหิตไหลไม่หยุด
แต่เขากลับไม่มองแม้แต่สายตา เพียงขยับตัวพุ่งไปหาชาวเผ่านักสู้คนสุดท้ายที่ถือไม้เท้ากระดูก ทันใดนั้นเอง สี่คนที่ตายไปลืมตาขึ้นพร้อมกันอย่างน่าตกใจ ในดวงตามีสีเทาวูบผ่าน
แทบจะทันทีที่เกิดแสงสีเทา ชายร่างผอมบางพลันตัวสั่นสะท้าน ราวกับว่าในสายตาชาวเผ่านักสู้ที่ตายไปสี่คนนั้นมีพลังผนึกแผ่มา ผนึกร่างกายเขาไว้จนขยับไม่ได้แม้แต่น้อย
ฉับพลันนั้นงูหมอกคำรามและตรงเข้ามา วนรอบชายร่างผอมบางในทันที แล้วใช้ปากกัดศีรษะเขาเอาไว้ เหมือนอยากจะกลืนกินร่างเขา
ชาวเผ่านักสู้ตัวซูบผอมคนที่ถือไม้เท้ากระดูกนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ยิ้มมุมปากเย็นชา ทว่าเพิ่งจะยิ้มก็เปลี่ยนเป็นความตื่นตกใจ
ตอนนี้เอง ซูหมิงที่อยู่บนเรือรบสิบสามลำซึ่งบินไกลออกไปแล้วกลับตัวสั่นสะท้าน เขาลุกพรวดขึ้น หมุนตัวกลับไปจ้องสนามรบบนหินผุพังข้างหลัง
ลมหายใจเขากระชั้นอย่างรุนแรง จึงยกมือขวาสะบัด เรือรบสิบสามลำพลันหยุดนิ่งอยู่กลางชั้นหินผุพัง
เสียงครึกโครมดังขึ้น ในสายตาซูหมิง เขาเห็นงูหมอกที่พันอยู่รอบตัวชายผอมบางระเบิดเป็นชิ้นๆ ชายร่างผอมบางในนั้น ด้านหลังปรากฏร่างมายายักษ์ร่างหนึ่ง เป็นยักษ์มีผมและขนตามตัวสีดำ
ตรงหัวคนยักษ์มีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง ร่างกายเป็นมายาเหมือนกับคนยักษ์จึงมองเห็นไม่ชัดเจน ยักษ์ก็ดี ชายชราก็ดี พวกเขาคือเทพเชมันของชาวเผ่าเชมัน หลังจากได้รับการกราบไหว้จากเผ่าเชมันมานานปี จะทำให้ชาวเผ่าเชมันยืมใช้อภินิหารวิชาได้ คล้ายๆ กับเทวรูปหมานของเผ่าหมาน
สิ่งที่ทำให้ซูหมิงลืมตัวเสียกิริยาไม่ใช่คนยักษ์ แต่เป็นชายชราตรงหัวมัน ชั่วขณะเมื่อครู่นี้ ตอนที่ชายร่างผอมบางเรียกใช้เทพเชมันของเผ่าเขา ซูหมิงรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยที่เด่นชัดทันที มันทำให้ใจเขาสั่นสะท้าน และพอเห็นชายชราบนหัวคนยักษ์กับตาตัวเองแล้ว จิตใจก็สั่นไหวขึ้นมา ถึงรูปลักษณ์ชายชราคนนั้นจะเลือนราง ถึงจะเป็นร่างมายา แต่อาภรณ์ขาวที่สวมอยู่ และความทรงจำที่ชาตินี้ซูหมิงก็ไม่มีวันลืม ทุกอย่างทำให้เขาตัวสั่น
“อาจารย์…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ มีเพียงตัวเขาที่ได้ยินเสียงตัวเอง ร่างมายาบนหัวคนยักษ์นั้นก็คือ…เทียนเสียจื่อ!