ตอนที่ 968 เตาหลอมลำดับห้า
หากเอ่ยถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับซูหมิงในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต คงไม่พ้นการไปยังโลกแท้จริงที่ห้า แต่การจะไปโลกแท้จริงนั้นต้องใช้หินลำดับห้า!
ทว่าหินลำดับห้าหายากยิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าใครมีอยู่ รู้เพียงว่าจุดที่เกิดหินลำดับห้าก็คือในเตาหลอมลำดับห้า
แต่เตาหลอมลำดับห้าไม่มีเวลาการเปิดที่แน่นอน บางครั้งห่างกันหลายสิบปี บางครั้งก็หลายร้อยปี บางครั้งก็หลายพันปี กระทั่งนานที่สุดห่างไปสองหมื่นกว่าปี ที่นั่นเป็นหนึ่งในสถานลึกลับที่สุดไม่กี่แห่งในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ในเตาหลอมลำดับห้ามีอะไรกันแน่ นอกจากคนที่เข้าไปแล้วก็ไม่มีใครอื่นรู้ อีกทั้งต่อให้มีคนรอดชีวิตกลับมา ก็จะไม่พูดกับคนอื่นมากนัก ส่วนใหญ่จะกลายเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเผ่าพันธุ์ เพื่อให้เผ่าพันธุ์มีโอกาสมีคนเดินทางไปยังเตาหลอมลำดับห้าอีกครั้ง แต่ว่าที่ตั้งของเตาหลอมลำดับห้าเป็นความลับมาโดยตลอด เว้นก็แต่จะไปตามหาเปลวเพลิงที่ลุกลามไปทั่วทะเลดาราต้นกำเนิดจิตตอนมันเปิดออก ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ในเวลาปกติทำได้เพียงอยู่บนดาวแท้จริงและมองไปทางตะวันออก จึงจะเห็นดวงตะวันแปลกประหลาด และนั่นก็คือเตาหลอมลำดับห้า
ทว่าหากไปตามหา ต่อให้เดินไปจนสุดปลายก็หาเตาหลอมลำดับห้าไม่พบ ทุกอย่างราวกับเป็นภาพมายา แม้มองเห็น แต่พอยื่นมือไปกลับได้มาเพียงระลอกคลื่นกระเพื่อมเท่านั้น
ประโยคแรกของเสวียนซางคือเชื้อเชิญซูหมิงให้เข้าร่วม ซูหมิงไม่ได้แสร้งทำ แต่ไม่สนใจเท่าไหร่จริงๆ ในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมีซากปรักหักพังนับไม่ถ้วน มีแดนที่มีวิญญาณเทพหลับใหลเหลือคณนานับ พูดได้ว่าทุกที่ล้วนมีโอกาสเจอโชควาสนา มีสมบัติที่คนต้องแย่งชิง
เรื่องแบบนี้เขาไปทำคนเดียวก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปรวมกลุ่มกับคนอื่น อีกทั้งเขาก็ไม่ได้สนใจโชควาสนาเหล่านั้น แต่จะไปล้างแค้นสามเผ่าใหญ่ที่เหลือตามแผนการ ขณะเดียวกันก็รอเตาหลอมลำดับห้าเปิดไปด้วย
หากรอไหวจะดีที่สุด หากรอไม่ไหว คงได้แต่กลับโลกแท้จริงดาราสัจธรรมอย่างเสียดาย
ทว่า…ทันทีที่ประโยคที่สองของเสวียนซางเข้าถึงหู เขาพลันลืมตาจากสมาธิ ใช้มือขวาตบสัตว์อากาศธาตุ มันจึงหยุดนิ่งกลางฟ้ากระจ่างดาวในทันใด
เห็นสัตว์อากาศธาตุหยุดลง เสวียนซางก็รู้แล้วว่าคำว่าเตาหลอมลำดับห้ามีผลต่อการตัดสินใจ
ซูหมิงยืนขึ้นบนตัวสัตว์อากาศธาตุแล้วหันไปมองพวกเสวียนซางสี่คนไกลๆ จากนั้นเดินหน้าหนึ่งก้าว ทันทีที่เหยียบลง เขาก็ทะลวงผ่านอากาศมาอยู่ตรงหน้าเสวียนซาง
“พูดต่อ” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
“ข้าคือผู้รักษาการณ์หยินศักดิ์สิทธิ์ในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต!” เสวียนซางเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาด
“ควรจะพูดว่าตระกูลเสวียนของเรา ทุกยุคสมัยจะมีคนมาเป็นผู้รักษาการณ์ที่นี่ เรื่องนี้ต้องพูดตั้งแต่เมื่อหนึ่งหมื่นกว่าปีก่อน บรรพบุรุษรุ่นแรกในตอนนั้นได้ตรา ชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ
นี่คือตรามหัศจรรย์ ข้างในมีเพลิงไม่มอดดับชนิดหนึ่ง จากการศึกษามาหลายยุคสมัยของตระกูลเสวียน เปลวเพลิงในตรานี้…ไม่ใช่เพลิงธรรมดา แต่สุดท้ายก็ยังหาไม่ได้ว่าเพลิงนี้คืออะไรกันแน่
ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสก็เห็นสีของมันแล้ว เปลวเพลิงชนิดนี้ไม่มอดดับมาเกือบหมื่นปี มันเก็บซ่อนอยู่ในแผ่นตรา ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร ไม่รู้ว่าเกิดได้อย่างไร แต่ไม่ว่าที่ใดก็ตาม ขอเพียงเขย่าตรานี้จะเกิดเปลวเพลิงขึ้นมา สามารถแผดเผาได้ทุกสิ่ง…
เมื่อเจ็ดพันปีก่อน บรรพบุรุษท่านหนึ่งของตระกูลเสวียน ไม่รู้ว่าใช้วิธีใดถึงยืนยันฐานะตรานี้จากในงานประมูลดาวทมิฬได้ มันคือมรดกของจ้าวเผ่ารุ่นแรกของเผ่า ธุลีแผดเผา!
ขณะเดียวกัน ตอนที่งานประมูลดาวทมิฬยังไม่จบลง เขายังเคยเห็น…ทะเลเพลิงจากการเปิดของเตาหลอมลำดับห้า ถึงทะเลเพลิงนั้นจะส่งมาไม่ถึงดาวทมิฬ แต่ก็เห็นได้จากดาวทมิฬ มันเป็นที่เพลิงสุดจะบรรยาย สีของเพลิงออกหม่นๆ และมัน…ก็คือเพลิงในตรานี้!” เสวียนซางกล่าวด้วยความสงบ
“เตาหลอมลำดับห้าเกี่ยวข้องกับเผ่าธุลีแผดเผาอย่างนั้นรึ?” ดวงตาซูหมิงขยับประกาย สายตามองเสวียนซาง
“จะต้องเกี่ยวแน่นอน!” เสวียนซางพยักหน้า
“ดังนั้นหลายปีมานี้ ตระกูลเสวียนจึงเป็นผู้รักษาการณ์ทุกยุคสมัยเพื่อแอบตามหาเส้นทางไปยังเผ่าธุลีแผดเผา ใช้เวลาหลายพันปี ผู้รักษาการณ์หลายยุคสมัยออกค้นหา จนในที่สุดก็เจอเศษแผนที่ส่วนหนึ่ง ในนั้นทำสัญลักษณ์เป็นเบาะแสเล็กน้อยในวงแหวนชั้นในของทะเลดาราต้นกำเนิดจิต และก็มีสัญลักษณ์ของเผ่าธุลีแผดเผา” เสวียนซางมองซูหมิงพลางพูดเนิบๆ
“เผ่าธุลีแผดเผาเป็นหนึ่งในสี่เผ่าใหญ่ พวกเขามีผู้กุมชะตาเกิดดับ พวกเจ้า…ใช้สิทธิ์อะไรถึงไปที่นั่นได้” ซูหมิงเอ่ยถามเรียบๆ
“ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างบรรพบุรุษตระกูลเสวียนรุ่นหนึ่งกับคน โลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น เขามอบสมบัติล้ำค่าชนิดหนึ่งให้กับบรรพบุรุษตระกูลเสวียน ต่อให้เป็นผู้กุมชะตาเกิดดับก็ยังหาเบาะแสที่ซ่อนด้วยสมบัตินี้ไม่พบ
สมบัติชิ้นนี้ ความหมายของสัญลักษณ์ยิ่งใหญ่กว่าประโยชน์ของมันอีก เพราะมีสมบัตินี้อยู่ ทำให้ตระกูลเสวียนอยู่ในโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์มาได้หลายหมื่นปี มิหนำซ้ำยังไม่มีใครกล้าชิงของชิ้นนี้ง่ายๆ นอกจากสมบัติล้ำค่านี้จะเชื่อมต่อกับสายเลือดตระกูลเสวียนแล้ว ที่สำคัญกว่าคือคนที่มอบสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ให้ในปีนั้นเป็น….ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบัน!” เสวียนซางกล่าวจบก็มองซูหมิง
“และยังมีวิชาผนึกวิญญาณของสหายหวา วิชาหมอกกลืนกินแปรเปลี่ยน รวมถึงอภินิหารยอดวงปีของสหายเหนียน น่าเสียดายมีสหายอีกสามคนตายไป มิเช่นนั้นแล้ว หากพวกข้าเจ็ดคนร่วมมือกันและใช้สมบัติล้ำค่าเชื่อมต่อ จะทำให้พวกข้าเจ็ดคนกลายเป็นคนเดียวได้” เสวียนซางถอนหายใจ
นัยน์ตาซูหมิงมีประกายวาววูบผ่าน ก่อนแย้มยิ้ม
“เจ้าคงคิดจะปลอมตัวเป็นชาวเผ่าธุลีแผดเผาและแอบแทรกซึมเข้าไปกระมัง อีกทั้งน่าจะใช้ฐานะของบุตรที่หายตัวไปของจ้าวเผ่าธุลีแผดเผารุ่นก่อน หากข้าเดาไม่ผิด ตอนนั้นบรรพบุรุษรุ่นแรกตระกูลเสวียนของเจ้าคงไม่ได้มาเพียงตราชิ้นหนึ่ง แต่เป็น…ศพคน!” คำพูดซูหมิงเรียบนิ่ง แต่เมื่อกล่าวออกไป เสวียนซางยังมีสีหน้าเหมือนปกติ ทว่าในใจกลับเกิดคลื่นลูกใหญ่
เขามองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ซูหมิงตรงหน้าผู้นี้เป็นคนแรกในชีวิตเขาที่หาความจริงจากเบาะแสคำพูดของตนพบ
เป็นอย่างที่ซูหมิงว่าจริง สิ่งที่บรรพบุรุษตระกูลเสวียนพบในตอนนั้นเป็นศพคน ไม่ใช่หนึ่งร่าง แต่เป็นครึ่งร่าง!
“ดังนั้นแล้ว สมบัติล้ำค่าชิ้นนั้นของตระกูลเสวียน นอกจากจะปิดซ่อนกลิ่นอายพลังแล้ว ยังแปลงกายได้อีก แผนการนี้จึงไม่เผยเงื่อนงำใดๆ” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ
เสวียนซางฝืนยิ้ม เขาประสานมือคารวะซูหมิง ถึงจะไม่เอ่ยอะไร แต่สองฝ่ายก็รู้กันอยู่แล้ว ส่วนผู้ฝึกฌานสามคนข้างๆ ตอนนี้มองซูหมิงด้วยสายตาหวาดกลัว
เหตุที่หวาดกลัวไม่ใช่เพราะขั้นพลังและความแกร่งของซูหมิง แต่เป็นเพราะความละเอียดรอบคอบ
“มิกล้าปิดบังผู้อาวุโส แซ่เสวียนมีความคิดนี้จริงๆ และนี่ก็เป็นข้อสรุปจากการวิเคราะห์มาหลายยุคสมัยของคนตระกูลเสวียนด้วย มีเพียงแอบเข้าไปในเผ่าธุลีแผดเผาวิธีเดียวเท่านั้น ถึงอย่างไร…พวกเราตระกูลเสวียนก็ไม่มีผู้กุมชะตาเกิดดับ
ดังนั้น พวกเราจึงติดต่อไปยังสหายเก่าจากโลกแท้จริงอื่นๆ และได้มาทั้งหมดเจ็ดคน พวกเราเข้ามาแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตเมื่อสามพันปีก่อน เตรียมตัวอยู่นานมาก หลังจากต่างฝ่ายต่างประสานงานกันอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ก็เข้ามาในวงแหวนชั้นในของทะเลดาราต้นกำเนิดจิต
น่าเสียดาย ระหว่างทางยังต้องเจอกับอันตรายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง มีสหายสามคนสิ้นชีพไป” เสวียนซางกล่าวช้าๆ ด้วยสีหน้าขมขื่น
“แต่ว่าได้มาเจอผู้อาวุโส ทำให้พวกเรามั่นใจการเดินทางในครั้งนี้ขึ้นมากนัก มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย ตามแผนการของพวกเราแล้ว จะต้องหาความลับของเตาหลอมลำดับห้าเจออย่างแน่นอน
กระทั่งมีโอกาสสูงมากที่จะเข้าไปในเตาหลอมลำดับห้า!” นัยน์ตาเสวียนซางฉายแววยึดมั่นและเฝ้ารอคอย
ซูหมิงมองเสวียนซาง เขาชี้ขาดได้ว่าคำพูดอีกฝ่ายเป็นจริงหรือเท็จ ในนั้นมีจุดที่ไม่พูดออกมาอยู่ เรื่องนี้เข้าใจได้ เพราะหากบอกกับคนอื่นหมด ดูจากสติปัญญาของอีกฝ่ายก็คงไม่มีชีวิตมาถึงตอนนี้ และไม่มีทางมีขั้นพลังเจ้าปกครองโลกตอนปลาย
“จะแบ่งงานกันอย่างไร” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ เขาพูดแบบนี้ก็เพราะอยากรู้ว่าในเตาหลอมลำดับห้ามีสมบัติอะไรกันแน่ นอกจากหินลำดับห้าแล้ว เขาก็ไม่รู้รายละเอียดในนั้น แต่ดูจากความยึดมั่นของสี่คนนี้แล้ว แน่นอนว่าจะต้องมีของบางอย่าง เป็นของที่พวกเขาต้องได้มาครอง
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีของที่เจาะจงว่าต้องได้มาหรือไม่?” เสวียนซางกล่าวขึ้นทันที เขาเลี่ยงคำถามซูหมิง จะเห็นได้ว่าไม่อยากพูดถึงของที่พวกตนต้องการ
ซูหมิงยิ้มๆ ไม่เค้นถามต่อ แต่กล่าวออกไปอย่างเด็ดขาด
“ข้าต้องการเพียงหินลำดับห้า!”
เสวียนซางพยักหน้าทันที สามคนที่เหลือข้างกายก็แอบถอนหายใจโล่งอก ถึงจะรู้จักซูหมิงไม่มาก ทว่าจากความรู้สึกและลางสังหรณ์ระหว่างคนกับคน ซูหมิงไม่เหมือนคนผิดคำพูด ส่วนหินลำดับห้า แม้พวกเขาก็อยากได้เหมือนกัน ทว่าเทียบกับเป้าหมายจริงๆ แล้วก็มองข้ามสิ่งนี้ไปได้
“เช่นนั้น…” เสวียนซางยิ้มบางๆ เขากดความตื่นเต้นในใจลงไป เขารู้ว่าความมั่นใจครั้งนี้เพิ่มขึ้นมาแล้ว ขณะกำลังจะพูดต่อ สวี่ฮุ่ยข้างกายซูหมิงก็หัวเราะเบาๆ
“ข้าต้องการหยกชาด”
สิ้นเสียง สี่คนก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยในทันใด
“มีปัญหาอะไรรึ หรือขั้นพลังอย่างข้าจะเข้าร่วมด้วยมันไม่คุ้มค่า?” สวี่ฮุ้ยยิ้มพลางเอ่ยขึ้น
เสวียนซางยิ้มเฝื่อน เขามองทางเหนียนอิ๋น เหนียนอิ๋นเงียบอยู่พักหนึ่งก็กัดฟันพยักหน้า หยกชาดคือหนึ่งในสองสิ่งที่เขาเฝ้าปรารถนา
“ยังมีท่านกระเรียนผู้นี้ด้วย ข้าต้องการหินผลึก หินผลึกจำนวนมาก!”
กระเรียนขนร่วงเห็นซูหมิงกับสวี่ฮุ่ยได้ผลประโยชน์ไปแล้ว มันจึงพลันมีชีวิตชีวา แล้วตามด้วยการตะโกนเสียงดัง
กล่าวจบ เพื่อเป็นการเพิ่มแรงโน้มน้าว มันพลันไหวตัวกลายเป็นรูปลักษณ์ซูหมิง จากนั้นก็ไหวตัวอีกครั้งเหมือนจะกลายร่างเป็นเหมือนสวี่ฮุ่ย ทว่าตอนที่สวี่ฮุ้ยยิ้มหยีตามองมา หัวใจมันก็เต้นสะดุด การเปลี่ยนร่างหยุดกลางคันทันที จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเป็นเสวียนซาง เวลาพักเดียวมันเปลี่ยนร่างไปไม่หยุด เป็นอวิ๋นโหยว หวาอวี้ และเหนียนอิ๋น กระทั่งยังกลายร่างเป็นชาวเผ่าขวางสวรรค์
“เป็นอย่างไรบ้าง เฮอะๆ มีท่านกระเรียนคนนี้ร่วมด้วย จะอย่างไรก็คุ้มค่าหินผลึกหลายร้อยล้านก้อนกระมัง” สุดท้าย กระเรียนขนร่วงก็มองพวกเสวียนซางสี่คนที่กำลังเบิกตาค้างอ้าปากกว้างอย่างลำพองใจ
“หินผลึกทั้งหมดในนั้นมอบให้เจ้าหมดเลย!” เสวียนซางมีสีหน้าตื่นเต้น การแปลงกายของกระเรียนขนร่วงถือว่าทำให้ขั้นตอนสุดท้ายในการลอบเข้าไปในเผ่าธุลีแผดเผาของเขาสมบูรณ์แบบ