Skip to content

สู่วิถีอสุรา 981

ตอนที่ 981 ตัวประหลาดมาพร้อมกัน

ฟ้ากระจ่างดาวทะเลเพลิงแสนจั้งวนเวียนอย่างพร้อมเพรียงอยู่ท่ามกลางเสียงคำรามของย่วนเว่ย กลายเป็นน้ำวนยักษ์แห่งหนึ่ง เหมือนกับวัฏจักรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกลางฟ้าทะเลดาราต้นกำเนิดจิตแห่งนี้

ซูหมิงหลับตาที่แฝงด้วยความเหนื่อยล้า ภาพต่างๆ ของการเดินทางในโลกน้ำวนครั้งนี้ลอยขึ้นมาในใจ ผ่านไปพักหนึ่งตอนที่เขาลืมตาขึ้น นัยน์ตามีประกายวาววูบผ่าน

“พวกเราไป…เตาหลอมลำดับห้า!” ร่างกายที่ซูหมิงควบคุมอยู่ยกมือขวาลูบขน ย่วนเว่ย หลังจากส่งกระแสจิตไป หัวมังกรทั้งสองของม้าดำพลันเงยหน้าขึ้นส่งเสียงคำราม ย่วนเว่ยพุ่งไปข้างหน้า

ด้วยความเร็วของมัน แวบเดียวก็ไปไกลหมื่นจั้ง

เมื่อม้าดำห้อวิ่ง ทะเลเพลิงสีดำรอบๆ ก็เคลื่อนตามไปข้างหน้า เหมือนการย้อนเปลวเพลิงกลับไป

กลางฟ้ากระจ่างดาวของทั้งทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ในยามนี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมด หกตนรวมถึงซูหมิงกำลังมุ่งหน้าไปยังเตาหลอมลำดับห้า ในนั้นมีจื่อหลงเจินเหริน ผู้หล่อเหลาที่สวมเสื้อคลุมม่วง!

มีเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวที่กลายร่างจากตะขาบชั่วร้ายบ้าอำนาจ รวมทั้งคนมีขนหมูตรงคอซึ่งคำรามพลางวิ่งออกมาจากภูเขามองสามี แล้วก็บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกับชายร่างกำยำคิ้วเหลืองที่กินมันสมองของเทพบรรพชน

หกคนนี้ต่างใช้วิชาของตัวเองกลายเป็นสายรุ้งยาว เดินทางไปตามร่องรอยของทะเลเพลิงที่ต่างกัน มุ่งหน้าไปสู่แดนต้นกำเนิดของทะเลเพลิง

ในด้านเวลา นี่คือวันที่เจ็ดหลังเตาหลอมลำดับห้าปล่อยเปลวเพลิงสีฟ้า เมื่อวันนี้ผ่านไป ในวันที่สิบห้าหลังจากทะเลเพลิงปะทุ ท้ายที่สุดกลางเตาหลอมลำดับห้าก็ปรากฏ…เปลวเพลิงสีม่วง!

เปลวเพลิงสีม่วงเพิ่งปะทุ ก็ทำให้ทะเลเพลิงสีฟ้าเหมือนกับสั่นไหว เกิดเค้าลางจะมอดดับ ราวกับเพลิงสีฟ้ามีจิตวิญญาณ จึงไม่กล้าลุกไหม้ต่อหน้าเปลวเพลิงสีม่วง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เปลวเพลิงสีม่วงก็เกิดเสียงครึกโครมพร้อมปะทุออกไปรอบด้าน กลายเป็นทะเลเพลิงจากเตาหลอมลำดับห้าระลอกที่สาม การปกคลุมในครั้งนี้ยังคงกินเวลาเจ็ดวัน จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีดำแห่งการทำลายล้าง พอผ่านไปอีกเจ็ดวัน ภัยพิบัติทะเลเพลิงแห่งทะเลดาราต้นกำเนิดจิตถึงจะหายไป

วันที่สามหลังทะเลเพลิงสีม่วงแผ่กระจาย นอกเตาหลอมลำดับห้าที่มีเปลวเพลิง สีม่วงวนเวียน มีสายรุ้งยาวเส้นหนึ่งลากต้านเพลิงสีม่วงเข้ามา ภายในสายรุ้งเป็น ชายชราร่างซูบผอมคนหนึ่ง ดวงตามีประกายชั่วร้าย ร่างกายเปลือยมากกว่าครึ่ง ข้างหลังโก่งขึ้นสูง เส้นผมยังน้อยมาก มีตกลงมาเพียงไม่กี่เส้น กำลังปลิวไสวตามการห้อเหยียด

ชายชราคนนี้คือบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง เขาอยู่ห่างจากที่นี่ใกล้ที่สุดจึงมาถึงเป็นคนแรก เขากลืนกินเปลวเพลิงมาตลอดทาง ต่อให้เป็นทะเลเพลิงสีม่วงก็ยังถูกเขาลองสูบไปเล็กน้อย

นอกเตาหลอมลำดับห้า นัยน์ตาเขาฉายประกายละโมบ ยามนั่งยองอยู่กลางทะเลเพลิงสีม่วง สายตาจ้องเตาหลอมที่ถูกเปลวเพลิงอาบเขม็ง ตรงจุดที่เขาอยู่ดูเหมือนใกล้กับเตาหลอมมาก แต่ความจริงยังห่างอยู่บ้าง ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็ส่งเสียงร้องแหลม ก่อนขยับวูบไหวพุ่งเข้าไปยังเตาหลอมลำดับห้า

เสียงโครมดังขึ้น แรงสะท้อนกลับรุนแรงพลันส่งมาจากในเตาหลอมลำดับห้า แผ่กระจายอยู่ในระยะแสนจั้ง สั่นสะเทือนจนชายชราที่เพิ่งจะเข้าไปในระยะนี้ถูกดีดกระเด็นออกมาทันที หลังจากถอยไปหมื่นจั้งแล้วถึงหยุดลง แววตาเขาฉายแววเหี้ยมโหด ขณะดวงตาขยับประกายแวบหนึ่ง เขาคำรามเสียงต่ำเพื่อกดความโหดเหี้ยมลง

‘ยังไม่ถึงเวลา…เพลิงสีม่วงของที่นี่กำลังสมบูรณ์ ต้องรอช่วงที่มันหายไปและกำลังจะระเบิดเพลิงสีดำแห่งการทำลายล้าง ถึงจะมีโอกาสเข้าไปได้’ ชายชรามีสีหน้าครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหัวเราะเสียงเย็นชา จากนั้นนั่งยองอยู่ในทะเลเพลิง เฝ้ารอให้ช่วงที่เพลิงม่วงหายไปและเพลิงดำปะทุมาถึง

ชายชราคนนี้ร่างกายซูบผอม ทว่าศีรษะกลับไม่เล็ก ทั้งตัวดูไปแล้วไม่สมส่วนยิ่ง อีกทั้งผิวหนังส่วนใหญ่ยังมีรอยย่น หากมองไปคงยากจะห้ามไม่ให้ใจเกิดความรู้สึกรังเกียจ

เขานั่งยองอยู่ตรงนั้น ผ่านไปสักระยะหนึ่งก็ฮัมเพลง ร้องเพลงเฉพาะของเผ่าหุ่นเชิดเพลิงขึ้นมา

“ติงตงติง….ตงติงตง…กูหลู่กูหลู่…ฮาวาฮาวา…” เสียงเขาดังวนเวียนไปรอบๆ ตามทะเลเพลิง มาพร้อมท่วงทำนองที่ค่อนข้างแปลก โดยเฉพาะเมื่อเขานั่งยองอยู่ในทะเลเพลิง ก้มหน้ากางนิ้วมือเขย่าไปมาไม่หยุด เดิมทีร่างเงาเขาก็ดูประหลาดอยู่แล้ว พอประกอบกับเสียงเพลงพิลึก จึงทำให้ตัวเขามีกลิ่นอายที่มากพอจะทำให้คนขนหัวลุกได้

ขณะเขาฮัมเพลงที่เต็มไปด้วยความน่าสยดสยอง ในวันที่สี่หลังทะเลเพลิงม่วงลุกลาม นอกเตาหลอมลำดับห้าก็มีสายรุ้งยาวเส้นหนึ่งตรงเข้ามา

สายรุ้งยาวนี้รวดเร็วอย่างยิ่ง แทบจะข้ามผ่านมวลอากาศ ครู่ต่อมาก็เข้ามาใกล้ แล้วกลายเป็นคนอ้วนอย่างยิ่งผู้หนึ่ง เขาเพิ่งเข้าใกล้ก็ทำให้ทะเลเพลิงของที่นี่เกิดเสียงดังสนั่นอย่างรุนแรง

แรงกดดันที่ทำให้คนหายใจติดขัดแผ่มาจากรอบตัวคนอ้วนผู้นี้ เห็นๆ กันว่าอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว ทว่าคนอ้วนกลับยังคงหอบหายใจแรง ภายในเสียงหอบหายใจจะได้ยินเสียงเหมือนกับหมู

เขาก้าวเท้ายาวมาหยุดอยู่นอกเตาหลอมลำดับห้า ระหว่างสายตามองเตาหลอม ดวงตาเปล่งประกายสีแดงฉาน ด้วยความที่หอบหายใจจึงเผยให้เห็นเขี้ยวยาวอยู่ เต็มปาก

“จูโหย่วไฉ…วาฮาวาฮา จูโหย่วไฉ….” เสียงแหลมดังก้องกังวาน บรรพบุรุษ หุ่นเชิดเพลิงเขย่าตัวพลางเงยหน้ามองคนอ้วน

“คนอื่นมองสามี เจ้าเองก็มีสามีผู้เฟื่องฟู….ติงตงติง….คนอื่นเศร้าโศก เจ้าเองก็เคียดแค้น…” ตอนที่บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกล่าวขึ้น ในคำพูดยังมีท่วงทำนองประหลาดด้วย เหมือนไม่ได้พูด แต่กำลังร้องเพลงอยู่

คนอ้วนมองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงด้วยความเย็นชา

“เจ้าเพิ่งตื่น สงสัยคงยังกินไม่อิ่ม” เขากล่าวเสียงเย็นชา

คำถามนี้มากะทันหันจนทำให้ชายชราซูบผอมนิ่งอึ้งไป ตอนที่เห็นเขาอึ้งงัน คนอ้วนที่ถูกเรียกว่าจูโหย่วไฉพลันพุ่งเข้าไปยังชายชรา จุดที่เคลื่อนผ่านทะเลเพลิงจะพุ่งขึ้นวนเวียนรอบตัวจูโหย่วไฉ เพียงพริบตาเดียวตัวเขาก็กลายเป็นลูกเพลิงยักษ์

เสียงโครมดังขึ้น เขาปะทะเข้ากับชายชราซูบผอม

การปะทะครั้งนี้สั่นสะเทือนฟ้ากระจ่างดาว สั่นสะท้านจนทะเลเพลิงม้วนตลบไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง ราวกับเกิดคลื่นเพลิงยักษ์ขึ้น

ในเวลาเดียวกัน ชายชราซูบผอมกระเด็นถอยไป ตอนที่เขาถอยไปถึงพันจั้งก็เงยหน้าขึ้นทันที แล้วอ้าปากเผยฟันสีดำอมเหลืองเต็มปาก ส่วนชายอ้วนก็กระเด็นออกไป สายตาจ้องบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเหมือนกัน

สองคนมองกันอยู่พักหนึ่ง นัยน์ตาเผยจิตสังหารทีละน้อย

ทว่าทันใดนั้นเอง พวกเขาสองคนพลันหันหน้ามองฟ้ากระจ่างดาวไกลๆ

ผ่านไปหลายลมหายใจ ก็เห็นว่ามีชายร่างกำยำคนหนึ่งเดินอยู่กลางผืนฟ้าดวงดาว เขาเดินโซเซเข้ามา ในมือยังถือน้ำเต้าไว้อันหนึ่ง เดินไปพลางดื่มไปพลาง บ้างก็ยังเรอหลังจากอิ่ม

เขามีเส้นผมดำ แต่คิ้วกลับเป็นสีเหลืองยาวตกมาตามข้างหู บนตัวมีกลิ่นหอมประหลาดกระจายรอบๆ กลิ่นนั้นหอมมากจนจิตใจคนเคลิบเคลิ้ม

พอเข้ามาใกล้แล้ว ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองก็ชำเลืองมองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกับจูโหย่วไฉ ใบหน้าเผยรอยยิ้มบาง แล้วจึงนั่งลงข้างๆ หลังจากดื่มสุราในน้ำเต้าไปอึกหนึ่งก็ถอนหายใจ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

“พวกเจ้าสองคนสู้กันไม่ได้เรื่อง…”

เขาเพิ่งกล่าวจบก็ส่งเสียงอุทานเบาๆ หันหน้าไปมองฟ้ากระจ่างดาวข้างหลัง ส่วนบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกับคนอ้วนก็มองไปอีกครั้ง

พบว่าทะเลเพลิงสีม่วงบนฟ้าพลันเดือดพล่านอย่างรุนแรง ระหว่างหมุนตลบยังเกิดน้ำวนยักษ์แผ่กระจายออกไป จากนั้นจึงเผยเป็นเปลวเพลิงสีดำภายในที่ต่างกับเพลิงสีม่วง

ชั่วขณะที่เห็นเปลวเพลิงสีดำ สามคนตรงนี้ต่างหรี่ตาลง พวกเขาสามคนต่างรู้จักกันและกัน มาเจอกันที่นี่จึงไม่รู้สึกแปลกอะไร แต่น้ำวนบนฟ้ากระจ่างดาวรวมถึงเพลิง สีดำกลับทำให้พวกเขาสามคนรู้สึกแปลกตาอย่างยิ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง น้ำวนเปลวเพลิงสีดำกลางฟ้าในสายตาพวกเขาสามคนก็เข้ามาใกล้ ขณะเดียวกันน้ำวนยังหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเมื่อมาถึงนอกเตาหลอมลำดับห้า น้ำวนก็หายไป เผยเป็นร่างย่วนเว่ยที่มีหัวมังกรสองหัว

ร่างจากสมบัติล้ำค่าที่ซูหมิงควบคุมกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังย่วนเว่ย ตอนนี้ ลืมตาขึ้น มองสามคนที่กำลังมองตนอย่างเย็นชาเช่นกัน

ส่วนย่วนเว่ย มันเงยหน้าขึ้น มองสามคนนั้นอย่างเย็นชา สีหน้าหยิ่งยโส

ทันทีที่เห็นสามคนนี้ ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ ทว่าในใจกลับตื่นตัว สามคนนี้มีรูปลักษณ์แปลก ทว่าแรงกดดันจากตัวพวกเขากลับไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเป็น… ยอดฝีมือขั้นกุมชะตาเกิดดับ

และก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาเป็นขั้นกุมหรือว่า….ขั้นชะตา!

ระหว่างที่ซูหมิงกำลังพิจารณาขั้นพลังของสามคนนี้ พวกเขาสามคนก็พิจารณา ซูหมิงเช่นกัน กลิ่นอายแปลกตาจากตัวซูหมิง ทำให้พวกเขามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าขั้นพลังอีกฝ่ายยุ่งเหยิงเล็กน้อย ขั้นพลังที่ยุ่งเหยิงแบบนี้ อ่อนแอที่สุดก็ภัยพิบัติจันทรา อย่างแกร่งที่สุด…ก็เหนือกว่าภัยพิบัติตะวัน สามารถสู้กับขั้นกุมได้

อีกอย่างม้าดำที่ซูหมิงนั่งอยู่ก็ดึงดูดสายตาพวกเขาสามคน แรงกดดันจากตัวมันคือขั้นกุม เห็นได้ชัดว่าม้าตัวนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง นอกจากนี้พวกเขาสามคนยังมองออกอีกว่าการปรากฏตัวของม้าดำทำให้ทะเลเพลิงสีม่วงเปลี่ยนสี เหมือนจะไม่ใช่ สีม่วงอีก แต่กำลังกลายเป็นสีดำ ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้พวกเขาสามคนจดจ่อ และล้มเลิกความคิดจะหยั่งเชิงไป

ถึงอย่างไรคนที่ต้านเพลิงสีม่วงมาที่นี่ได้ย่อมไม่มีผู้อ่อนแออยู่แล้ว

ซูหมิงละสายตากลับ เขาไม่พูดใดๆ แต่นั่งอยู่บนหลังย่วนเว่ย หลับตาลงพลางโคจรขั้นพลังเพื่อพักฟื้นอย่างสงบ ถึงสามคนนี้จะเป็นยอดฝีมือ แต่เขาไม่เกรงกลัวใดๆ ด้วยพลังของย่วนเว่ยและกำลังรบจากร่างสมบัติตอนนี้ เขามั่นใจว่าจะรับมือไหว

มิหนำซ้ำเขายังมีโอกาสเรียกวิญญาณดินทรายให้ลงมืออีกสองครั้ง

ทุกอย่างนี้คือจุดสำคัญที่ทำให้เขามาที่นี่ และมั่นใจว่าจะได้หินลำดับห้าไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!