Skip to content

สู่วิถีอสุรา 986

ตอนที่ 986 แยกกัน

ขณะเดียวกับที่เสียงร้องแหลมดังติดกันไม่หยุด วิญญาณเพลิงที่ตื่นขึ้นในมวลอากาศรอบๆ ต่างพุ่งมายังแท่นราบด้วยความเร็วสูงยิ่ง

อีกทั้งเมื่อพวกมันส่งเสียง ก็มีวิญญาณเพลิงตื่นขึ้นมากกว่าเดิม เสียงคำรามแหลมดังสะเทือนฟ้าดินในเวลานี้ เหมือนหากไม่สังหารทุกคนก็จะไม่ยอมหยุด

พวกมันร้องคำรามพร้อมกับพุ่งไปยังแท่นราบ คลื่นความร้อนบรรลุถึงระดับ น่าตะลึงในพรวดเดียว

ในเวลาเดียวกัน ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองขยับวูบไหวพุ่งเข้าไปในม่านแสงอันหนึ่ง ด้วยความเร็วของเขาจึงหายไปในพริบตา การกระทำของจื่อหลงเจินเหรินแทบจะไม่ต่างกับชายร่างกำยำคิ้วเหลือง เขาหายไปในอีกม่านแสงในพริบตาเช่นกัน

ส่วนเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวกับจูโหย่วไฉรวมถึงบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง สามคนนี้กระจายออกพร้อมกัน มุ่งหน้าไปยังม่านแสงต่างกันในทันที บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงยังเหมือนมองซูหมิงตามอำเภอใจแวบหนึ่ง ดวงตาขยับประกายวาว ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

ทว่าตอนนี้วิญญาณเพลิงจำนวนมากเข้ามาใกล้ เขาจึงไม่มีเวลาตรึกตรองมากนัก ทำได้เพียงเดินไปยังม่านแสงที่อยู่ใกล้ที่สุด

ซูหมิงก็เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงเช่นกัน หนึ่งก้าวเหยียบบนตัวย่วนเว่ย ย่วนเว่ยมีความเร็วมากกว่าตน ดังนั้นตอนนี้การอาศัยกำลังของมันจึงเป็นทางเลือกที่ ดีที่สุด

ย่วนเว่ยก็รู้สึกถึงแรงกดดันจากเสียงคำรามในมวลอากาศข้างบนเช่นกัน มันจึงขยับวูบไหวตัวพุ่งไปอีกหนึ่งม่านแสงปานสายฟ้า

แต่ซูหมิงไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เขาพบว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ตนยังไม่ขึ้นมาอยู่บนตัวย่วนเว่ย วิญญาณเพลิงจากรอบทิศเหมือนหลั่งทะลักเข้ามา ถึงข้างหูจะดังก้องไปด้วยเสียงแหลม แต่พวกมันเหมือนไม่มองตนเลย ทว่าเมื่อตนอยู่กับย่วนเว่ยแล้ว วิญญาณเพลิงเหล่านี้ก็พุ่งกระโจนเข้ามาอย่างเร็วไว

ซูหมิงไม่ทันใคร่ครวญ ย่วนเว่ยก็ใช้ความเร็วสูงยิ่งพุ่งเข้าไปกลางม่านแสง ร่างเงาตัวเขาก็หายไปพร้อมกับย่วนเว่ย

ขณะเดียวกันมีวิญญาณเพลิงจำนวนมากพุ่งเข้าไปในม่านแสงที่ทุกคนเข้าไปพร้อมกัน แทบเป็นช่วงที่พวกมันเข้าไป ม่านแสงเก้าแห่งรอบๆ แท่นราบหมุนโคจรอย่างเร็วไว ระหว่างนั้นยังเกิดเสียงดังอึกทึก เปล่งแสงสว่างหมื่นจั้ง การโคจรแบบนี้เหมือนกับว่าเตาหลอมลำดับห้ากำลังหมุนโคจร

…………

ทางด้านซูหมิง ชั่วขณะที่เดินออกมาจากม่านแสงก็แผ่ขยายจิตสัมผัสออกไปรอบๆ ในทันที ส่วนย่วนเว่ยใต้ร่างก็ห้อเหยียดต่อไปโดยไม่หยุด

นี่เป็นท้องฟ้าสีคราม แผ่นดินมีต้นไม้ใบหญ้างอกงาม ดูแล้วเงียบสงบมาก เหมือนเป็นสถานที่ที่ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อให้ซูหมิงขยายจิตสัมผัสไปก็ยังไม่พบอันตรายใดๆ

แต่ว่าตรงส่วนลึกในใจเขากลับไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย ที่นี่คือหนึ่งในมิติจำนวนมากในเตาหลอมลำดับห้า ที่นี่ไม่มีทางที่จะไม่มีอันตรายใดๆ

ซูหมิงตรึกตรองอย่างหนักขณะห้อเหยียด เขารู้ว่าแท่นเหยียบวิญญาณที่ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองพูดถึงเมื่อครู่นี้คืออะไร มันคือวัตถุแท่นราบที่พวกเขาอยู่ก่อนหน้านี้

ในแผ่นหยกที่บรรพบุรุษธุลีแผดเผามอบให้ก็มีการอธิบายเกี่ยวกับแท่นเหยียบวิญญาณอยู่ เดิมทีมันไม่ได้มีนามนี้ แต่ถูกคนรุ่นหลังตั้งชื่อให้ พอนานเข้าส่วนใหญ่ก็เลยอธิบายด้วยนามนี้

การใช้งานจริงๆ ของมันหายไปในแม่น้ำประวัติศาสตร์แล้ว บางทีเผ่าธุลีแผดเผาอาจจะรู้ ทว่ากลับไม่ได้เอ่ยถึงในแผ่นหยก ตอนนี้การใช้งานมัน เพราะตำแหน่งที่ มันอยู่ ดังนั้นมันจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อคนที่เข้าเตาหลอมลำดับห้าทุกคน

หากแบ่งมิติจำนวนมากของเตาหลอมลำดับห้าเป็นในและนอก ก็จะมองมันเป็นลักษณะกลมยักษ์ได้ มิตินับไม่ถ้วนกระจัดกระจาย ในนั้นมีหลักและรอง แต่ระหว่างในและนอกมีชายขอบอยู่สามชั้น ชายขอบสามชั้นนี้รวมขึ้นจากแท่นราบจำนวนมากที่ล้อมกันเป็นวงกลม และแบ่งทั้งเตาหลอมลำดับห้าให้เป็นพื้นที่สี่ส่วน

มิติที่มีสมบัติล้ำค่าไม่ได้อยู่ในสุดเสมอไป แต่พื้นที่ในสุดมีมิติที่มีสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน

ที่ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองพูดถึงเมื่อครู่นี้ก็คือตรงชายขอบชั้นแรก ความหมายของเขาคือหากทุกคนผ่านไปได้อย่างราบรื่นก็จะไปรวมกันที่นั่น แล้วเข้ามิติเตาหลอมลำดับห้าที่อยู่ระหว่างชายขอบชั้นสองกับชั้นสามพร้อมกัน

แต่หินลำดับห้าที่ซูหมิงต้องการอยู่แต่ในส่วนลึกสุดของเตาหลอมเท่านั้น และก็มีโอกาสอยู่ในวงแหวนชายขอบชั้นสามด้วย หินลำดับห้าชนิดนี้ การใช้งานโดยละเอียดในเตาหลอมของมันก็คือการกำราบ!

กำราบสมบัติล้ำค่าแก่กล้า!

ซูหมิงตาขยับประกาย ระหว่างที่ย่วนเว่ยห้อเหยียดเขายังแผ่ขยายจิตสัมผัสไม่หยุดเพื่อตามหาทางออกของที่นี่ พื้นที่ฟ้าดินนี้ไม่ได้กว้างใหญ่นัก คาดเดาได้ว่าที่นี่น่าจะเป็นหนึ่งในมิติสมบัติรอง อีกทั้งบนฟ้ายังไม่มีแสงสว่างล้ำค่าด้วย เห็นได้ชัดว่า…สมบัติรองของที่นี่ถูกคนเอาไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน

ยิ่งเป็นสถานที่แบบนี้ ความจริงแล้วกลับยิ่งอันตราย หากมีสมบัติก็ยังพอว่า ขอเพียงไม่คิดจะเอาสมบัติ วิญญาณร้ายส่วนใหญ่ในนี้ก็จะไม่โจมตีก่อน

ทว่าตอนนี้อยู่ในสถานที่เช่นนี้ เพราะสมบัติล้ำค่าถูกเอาไปก่อนแล้ว วิญญาณร้ายที่นี่จึงโจมตีผู้เข้ามาทุกคน

ซูหมิงตื่นตัวในใจ ขณะเดินหน้ายังไม่ลืมสังเกตข้างหลัง ราวสิบกว่าลมหายใจเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี เขาสังเกตเห็นว่าข้างหลังตรงจุดที่เขาเคลื่อนย้ายมาก่อนหน้านี้ มีวิญญาณเพลิงสามตัวพุ่งออกมาและไล่ตามมา

ซูหมิงขมวดคิ้ว วิญญาณเพลิงสามตัวนี้ไม่ได้แกร่งเป็นพิเศษ ในนั้นมีสองตัวมีกำลังรบราวๆ ภัยพิบัติตะวัน ตัวสุดท้ายค่อนข้างอ่อนแอ มีแรงกดดันเทียบเท่ากับภัยพิบัติจันทราเท่านั้น

เทีนบกับพวกมันแล้ว ซูหมิงสนใจว่าในฟ้าดินที่เหมือนเงียบสงบนี้มีวิญญาณร้ายแบบใดมากกว่า ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การไล่วิญญาณเพลิงข้างหลัง แต่เป็นการออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ดวงตาซูหมิงเป็นประกาย ย่วนเว่ยใต้ร่างก็เข้าใจความคิดเขาจึงเร่งความเร็วขึ้นอีก นอกจากนี้เขายังส่งกระแสจิตไปยังพวกเสวียนซางสี่คนที่ยังคงตื่นเต้นที่ได้มา เตาหลอมลำดับห้า

ไม่นาน จิตสัมผัสของพวกเสวียนซางสี่คนรวมถึงสวี่ฮุ้ยก็มารวมที่เขา จากนั้นเขาควบคุมให้แผ่กระจายไปข้างนอก พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั้งฟ้าดินในนี้ให้อยู่ใน จิตสัมผัส

‘เป็นตรงนั้น!’ นัยน์ตาซูหมิงเพ่งสมาธิ

เขาสังเกตเห็นว่ามวลอากาศในพื้นที่หนึ่งไกลออกไปเกิดการบิดเบี้ยวเล็กน้อย การบิดเบี้ยวนี้เหมือนกับผิวน้ำสงบนิ่งเกิดระลอกคลื่น เห็นได้ชัดว่าตรงนั้นมีพลังแห่งการเคลื่อนย้ายอยู่

‘เป็นอย่างที่แผ่นหยกของบรรพบุรุษธุลีแผดเผาเขียนไว้จริงๆ ขอเป็นเพียงมิติ มีทางเข้าก็ต้องมีทางออกอย่างแน่นอน นี่คือกฎตายตัว….’ ย่วนเว่ยใต้ร่างเร่งความเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย กลายเป็นสายรุ้งยาวที่เกือบมองเห็นไม่ชัดหายวับไป ไปปรากฏตัวอีกทีอยู่ข้างพื้นที่บิดเบี้ยว ขณะกำลังจะเข้าไปนั้น ซูหมิงพลันหรี่ตาลง

‘ไม่ถูกต้อง มิติไม่น่าจะง่ายขนาดนี้…’ ซูหมิงหยุดชะงักอย่างไม่ลังเลทันที ระหว่างที่ยกมือขวาขึ้นก็ส่งจิตสัมผัสของอวิ๋นโหยวหนึ่งในพวกเสวียนซางเสี้ยวหนึ่งออกไป นี่คือความสามารถของวิญญาณหลัก อวิ๋นโหยวจึงปฏิเสธไม่ได้

จิตสัมผัสพลันหายไปในพื้นที่บิดเบี้ยว ทว่าไม่นานซูหมิงก็หน้าเปลี่ยนสี เขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากอวิ๋นโหยวดังขึ้นในจิตใจ

ซูหมิงรีบถอยห่างโดยพลัน ทว่าขณะนั้นเองกลับมีระลอกคลื่นออกมาจากมิติบิดเบี้ยวตรงนั้นแล้วกลายเป็นปากใหญ่ ภายในเป็นแสงดำน่าสะพรึงกลัว มันอ้าปากเขมือบมาทางซูหมิง

ในเวลาเดียวกัน เดิมทีรอบตัวเขาเป็นมวลอากาศกว้างโล่ง ทว่าทันใดนั้นกลับเกิดการบิดเบี้ยวสิบกว่าแห่ง มีปากใหญ่แบบนี้สิบกว่าอันโผล่ออกมา ก่อนพุ่งไปหาซูหมิงพร้อมด้วยกลิ่นคาวและเสียงคำรามต่ำ

ท้องฟ้าสีครามก็เปลี่ยนเป็นขุ่นมัวในทันใด รอยแยกยักษ์ที่มากพอจะทำให้ผู้คนตกตะลึงโผล่ออกมา หากมองดีๆ จะเห็นว่านี่มันใช่รอยแยกที่ไหนกัน แต่มันคือ ปากใหญ่ยักษ์น่าสยดสยองกำลังอ้าปาก!

ด้วยความเร็วของย่วนเว่ย เสี้ยวชั่วขณะเดียวก็วิ่งไกลออกไป มันหลบการเขมือบของปากใหญ่สิบกว่าปากนั้นได้ แต่หลบปากน่าสยดสยองที่เหมือนเปลี่ยนจากทั้งท้องฟ้าและกดทับลงมาจากข้างบนไม่พ้น

ตอนที่มองไป ประหนึ่งว่าทั้งท้องฟ้ากำลังลดระดับลงอย่างรวดเร็วหมายจะเขมือบพื้นดิน

ซูหมิงมีสีหน้ามืดทะมึน เขาในตอนนี้เห็นรูปลักษณ์วิญญาณร้ายของที่นี่ชัดเจนแล้ว มันเป็นสัตว์ร้ายคล้ายลูกกบร่างกึ่งโปร่งใส รูปร่างไม่ใหญ่ แต่หัวกลับใหญ่กว่าร่างหลายร้อยเท่า พออ้าปากแล้วจะน่าสะพรึงกลัวไปอีก

ถึงจะมีเพียงสิบกว่าตัว ทว่าทุกตัวแผ่กระจายกำลังรบเทียบเท่าภัยพิบัติตะวัน และยังมีความบ้าคลั่งและเคียดแค้น โดยเฉพาะสัตว์ร้ายที่เข้ามาแทนที่ฟ้า แรงกดดันของมันคือยอดฝีมือขั้นกุม

ตรงหน้าซูหมิงเป็นสัตว์ร้ายสิบกว่าตัว เหนือศีรษะเป็นปากใหญ่เต็มฟ้า ด้านหลังเป็นวิญญาณเพลิงสามตัวกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกมันสามตัวนี้ไม่มีสติปัญญา ดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยจิตสังหาร เหมือนว่า…มีเพียงพื้นดินเท่านั้นที่จะปลอดภัย

ซูหมิงมองพื้นดินแวบหนึ่งก่อนยิ้มเยาะมุมปาก ยิ่งดูเหมือนปลอดภัยมากเท่าไรมันกลับยิ่งมีอันตรายมากเท่านั้น จุดนี้เห็นได้จากเหตุการณ์เมื่อครู่

เขาพลันหยุดชะงักครู่หนึ่งกลางอากาศ หลับตาลงและลืมตาอีกครั้ง กลิ่นอายพลังเอ้อชางปะทุออกมาจากในร่างกาย เมื่อเติมใส่ร่างกายสมบัติล้ำค่าแล้ว นัยน์ตาจึง แวววาว เขาไม่ถอยแต่กลับเดินหน้าหนึ่งก้าวไปยังวิญญาณร้ายสิบกว่าตัวข้างหน้า

ยกมือขวาขึ้นตบฝ่ามือไปข้างหน้า

ตอนที่ตบฝ่ามือไป ในดวงตาซูหมิงมีตะวันจันทราและดาราวูบผ่าน ฝ่ามือกลายเป็นเงามายายักษ์ตรงหน้า เงามายาขยายออกอย่างรวดเร็วกลายเป็นฝ่ามือขนาดหลายร้อยจั้งข้างหนึ่ง เมื่อปะทะกับวิญญาณร้ายเหล่านั้นแล้วก็เกิดเสียงครึกโครมดังสนั่น หากมองไกลๆ จะเห็นว่าวิญญาณร้ายเหล่านี้ถูกฝ่ามือตบจนม้วนถอยไป ทำให้เปิดเป็นเส้นทางตรงหน้า

ซูหมิงขยับวูบไหวพุ่งไปข้างหน้า ในเวลาเดียวกันก็ออกจากตัวย่วนเว่ย พุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปยังปากใหญ่ที่กำลังกดทับลงมา พร้อมกันนั้นย่วนเว่ยยังเงยหน้าขึ้นจ้อง ปากใหญ่บนฟ้าพลางส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้า

ภายใต้เสียงคำราม เปลวเพลิงสีดำนับไม่ถ้วนพลันปะทุออกมาจากสี่ขาของย่วนเว่ย ในเปลวเพลิงมีความแค้นไม่มีสิ้นสุด มันปกคลุมไปรอบๆ สร้างขึ้นเป็นลูกกลมสีดำยักษ์พาตัวมันพุ่งขึ้นไปยังปากใหญ่บนฟ้า

ซูหมิงกับย่วนเว่ยห้อเหยียดไปจากสองทาง เพียงไม่กี่ลมหายใจก็ปะทะกับ ปากใหญ่ทีละคน เสียงดังสนั่นมาพร้อมกับเสียงคำรามดังกึกก้อง ทั้งท้องฟ้าม้วน ถอยไป เห็นได้ชัดว่าวิญญาณร้ายยักษ์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูหมิงกับย่วนเว่ยที่ร่วมมือกัน มันจึงถอยไปไม่หยุดจนเผยเป็นท้องฟ้าแท้จริง

มันเป็นท้องฟ้าผุพังที่มีรอยแตกมากมาย ดวงตาซูหมิงขยับประกายวาว จากนั้นส่งเสียงลากยาวพร้อมกับพุ่งเข้าไปในรอยแยกนั้นอย่างไม่ลังเล ส่วนย่วนเว่ยรวดเร็วยิ่งกว่า ขณะห้อวิ่งอยู่นี้มันยังไปรวมกับซูหมิง แวบเดียวก็พุ่งเข้าไปในรอยแตกและ หายวับไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!