Skip to content

สู่วิถีอสุรา 995

ตอนที่ 995 ย้ายเคราะห์ภัยไปบูรพา

ไม่ใช่เพียงแค่ซูหมิงที่มองแท่นราบที่หก ตอนนี้สี่คนที่เหลือต่างพากันมองไป โดยเฉพาะจูโหย่วไฉ เขามีสีหน้าลังเลใจเล็กน้อยยิ่งกว่า เขาไม่เข้าใจมากว่าเพราะเหตุใดบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงถึงมาหลังสุด

ส่วนเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวร่างแปลงตะขาบ ดวงตากลับมีประกายแสงหม่น ตอนที่มองแท่นราบที่หก สีหน้ามีการคาดเดาอยู่ส่วนหนึ่ง

พูดได้ว่าซูหมิงธรรมดาที่สุดในคนเหล่านี้ เขากำลังมองแสงวิบวับบนแท่นราบที่หก รอคอยการปรากฏตัวของบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง เขาอยากรู้มากว่าบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงจะกล้าพูดความจริงหรือไม่

แสงจากแท่นราบที่หกวูบวาบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีร่างเงาเลือนรางเผยขึ้นบนแท่นราบ ทว่าชั่วเวลาที่ร่างเงานี้ปรากฏตัว ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองกับ จื่อหลงเจินเหรินต่างอุทานเบาๆ พร้อมกัน

ดวงตาจื่อหลงเพ่งสมาธิ จ้องร่างเลือนรางบนแท่นราบที่หกพลางยืนขึ้นช้าๆ นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจทันใด ก่อนจะมองเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว

การยืนและสายตาของเขาทำให้เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวงุนงงทันใด โดยเฉพาะสายตาประหลาดใจของจื่อหลงยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจอีกเล็กน้อย เขามองไม่ออกว่าเหตุใด จื่อหลงถึงเป็นแบบนี้ เพราะในสายตาเขา แท่นราบที่หกก็เหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ

จื่อหลงเห็นเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวงุนงงจึงขมวดคิ้วแล้วมองจูโหย่วไฉ ทว่าก็เบนสายตาไปทันที หลังจากลังเลอยู่ตรงซูหมิงอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็มองไปยังชายร่างกำยำคิ้วเหลือง

ตอนนี้ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองยืนขึ้นเช่นกัน สีหน้าจริงจังอย่างไม่มีใครเปรียบได้ สายตาจ้องแท่นราบที่หกเขม็ง ดวงตาสองข้างเป็นประกายหลายครั้ง

แล้วจึงมองเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวร่างแปลงตะขาบเป็นคนแรก จากนั้นก็กวาดสายตาผ่านจูโหย่วไฉกับซูหมิงจนสุดท้ายมาอยู่ที่จื่อหลง และสบสายตากับอีกฝ่าย

ซูหมิงอยู่บนแท่นราบห่างไกลออกไป พอเห็นภาพนี้แล้วก็มีสีหน้าปกติ ทว่าในใจกลับตื่นตัวขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขามองออกว่าจื่อหลงกับหวงเหมย (คิ้วเหลือง) คือคนที่มีขั้นพลังสูงสุดในกลุ่ม ตอนนี้ระดับความสูงของขั้นพลังไม่ได้แสดงออกเป็นขั้นกุม น่าจะเกี่ยวข้องกับกฎชะตา ไม่อย่างนั้นแล้วสองคนนี้ไม่มีทางมองผ่านแสงวูบวาบบน แท่นราบที่หก ไปเห็นการเปลี่ยนแปลงขั้นพลังของบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงที่เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวกับจูโหย่วไฉหรือกระทั่งตนเองยังมองไม่ออก

‘พวกเขาสองคนแทบจะสงสัยทันทีว่าเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวลอบลงมือ ทว่ามองจากขั้นพลังเขา บางทีอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นภายนอก หรือไม่ก็เขามีอาวุธสังหารที่ทำให้จื่อหลงกับหวงเหมยต้องให้ความสำคัญ

จากนั้นถึงเป็นจูโหย่วไฉ สุดท้ายก็ข้า แต่เกรงว่าต่อให้เป็นพวกเขาสองคนก็เอาผิดไม่ได้ว่าเป็นใครกันแน่…แม้แต่พวกเขายังเกิดความสงสัยกันเองเลย’ ซูหมิงเห็นอย่างแจ่มชัด ตอนนี้ไม่ได้มีสีหน้าราบเรียบ แต่มองแท่นราบที่หกด้วยความตกใจ

แน่นอนว่าซูหมิงแสร้งทำเป็นตกใจ ถ้าไม่อย่างนั้นก็อาจเผยเงื่อนงำชัดเจนเกินไป

ความผิดปกติของจื่อหลงกับหวงเหมยทำให้จูโหย่วไฉยืนขึ้นเช่นกัน เขาเกิดความรู้สึกไม่ดีบางอย่างอยู่รางๆ ความรู้สึกนี้แทบจะเพิ่งโผล่ขึ้นมา เขาพลันหน้าเปลี่ยนสี เพราะเขาในตอนนี้ ในที่สุดก็รู้สึกถึงความผิดปกติจากร่างบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงที่ปรากฏตัวบนแท่นราบที่หก!

“ขะ…เขาเสียกายเนื้อไปแล้ว!” จูโหย่วไฉกล่าวเสียงหนักอึ้งขณะหน้าเปลี่ยนสี

เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวอีกแท่นราบหนึ่งก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน จึงหน้าเปลี่ยน สีตามทันใด เขารู้ชัดแล้วว่าเหตุใดเมื่อครู่จื่อหลงถึงมีสีหน้าจริงจัง เหตุใดมองมาที่ตน กระทั่งชายร่างกำยำคิ้วเหลืองยังเพ่งมองตนครู่หนึ่งด้วย

ต้องรู้กันว่า ถึงเตาหลอมลำดับห้าจะอันตราย ทว่าสำหรับพวกเขาแล้ว ในพื้นที่นอกชายขอบสามชั้นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดคุกคามพวกเขาได้ แต่ก็มีน้อยมาก อันตรายจริงๆ ปกติแล้วต้องยิ่งเข้าไปยังใจกลางถึงจะปรากฏถี่ขึ้น

หลายปีมานี้ใช่ว่าจะไม่มีผู้ฝึกฌานในความทรงจำพวกเขาหายตัวไปหรือตายในพื้นที่นอกชายขอบสามชั้นเลย แต่ยอดฝีมือที่ฝึกฝนถึงขั้นกุมชะตาเกิดดับ มีเพียงสองคนที่ตายตกนอกสามชั้นนี้

ส่วนเพราะเหตุใดคนเหล่านี้ถึงตาย คนอื่นไม่อาจรู้ได้ มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกคนลอบสังหาร หรือไม่ก็เจอกับอันตรายในมิติที่พบเห็นได้ยาก และดับดิ้นอยู่ในนั้น

ดังนั้น ครั้งนี้ตอนที่พวกเขาเห็นว่าบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงไม่มีกายเนื้อ สิ่งแรก ที่นึกถึงคือถูกคนลอบโจมตี แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเจอกับอันตรายในมิติที่พบเห็นได้ยาก จึงมีสภาพอนาถาแบบนี้ พวกเขาถึงขั้นจินตนาการได้ว่า หากบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงไม่ทิ้งกายเนื้ออย่างเด็ดขาดไป ต้องมีจุดจบเป็นสิ้นชีพมลายหายไปแล้ว

‘ถูกคนลอบโจมตีหรือเจอกับแดนอันตรายกันแน่ ถึงบีบให้บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเป็นแบบนี้ได้….’ นี่คือความคิดของทุกคนนอกจากซูหมิง ตอนนี้ก็เกิดการคาดเดาเหมือนกัน

หลายลมหายใจต่อมา เมื่อแสงจากแท่นราบที่หกสว่างวูบวาบถึงขีดสุด ตอนที่แสงสว่างจ้าแสบตาก็พลันอ่อนจางลง จิตแรกของบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงปรากฏต่อสายตาทุกคนในสภาพเหนื่อยล้า

หวงเหมยและจื่อหลงเพ่งมองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงด้วยดวงตาคมกริบ

จูโหย่วไฉลอบถอนหายใจ มองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงอย่างปลงอนิจจัง

และยังมีเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว เขาหรี่ตาลง ภายในดวงตามีประกายบางๆ วูบผ่าน ถึงจะดูเหมือนปกติ ทว่าคนที่เข้าใจเขาจะต้องเห็นแสงจางที่วูบผ่านในดวงตาอย่างแน่นอน และยังมีความโลภเสี้ยวหนึ่งในแสงนั้นด้วย

โดยรอบเงียบสงบมาก ทุกคนมองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง ซูหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าความสงบนิ่งและเย็นชาในแววตากลับทำให้คนอื่นมองอารมณ์ความคิดเขาไม่ออก

สิ่งที่มาพร้อมกับความเงียบสงัดคือแรงกดดันที่เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหาย แรงกดดันปกคลุมตัวบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง แต่ไม่ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีอะไรทั้งนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นทุกอย่างตั้งแต่ตัดสินใจเดินออกมาแล้ว คิดแล้วว่าหลังจากตนเสียกายเนื้อและขั้นพลังลดลง จะต้องเจอกับอันตรายและความโลภระหว่างสหายร่วมเดินทาง

ถึงอย่างไรเขาในตอนนี้ไม่ได้แค่ขั้นพลังลดลง แต่ยังเหลือเพียงจิตแรก จิตแรกยอดฝีมือขั้นกุมคนหนึ่งเรียกได้ว่าเป็นของที่มีประโยชน์สำหรับผู้ฝึกฌานเหล่านี้ มิหนำซ้ำยังหลอมเป็นวิญญาณวัตถุที่ดีที่สุดของสมบัติล้ำค่าได้ด้วย

กระทั่งบางทียังมีการใช้งานอื่นๆ อีก อย่างเช่นหลอมหุ่นเชิด หลอมเป็นเม็ดยา ต่างๆ มากมาย ระดับความอนาถามากพอจะทำให้คนนึกเสียใจภายหลังว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ไม่ตายไปเสีย

ทุกคนเงียบ บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงก็เงียบเช่นกัน เขายืนอยู่บนแท่นราบที่หกพลางเงยหน้าขึ้น สายตามองไปรอบๆ อย่างเย็นชา ภายใต้การเพ่งมองของทุกคนในตอนนี้ คนที่เขามองคนแรก…ไม่ใช่ซูหมิง แต่เป็น…เด็กหนุ่มชุดคลุมขาว!

ช่วงที่มองเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว นัยน์ตาบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเผยความเคียดแค้นเด่นชัด ความชัดเจนและรุนแรงของความเคียดแค้นทำให้คนอื่นๆ สังเกตเห็นทันที

เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวตะลึงงัน แต่ต่อมาก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างชัดเจน เพราะไม่ใช่แค่จื่อหลงที่มองเขา หวงเหมยรวมถึงจูโหย่วไฉก็มองตนเช่นกัน

“ไม่ใช่!” เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวจ้องบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงด้วยความเหี้ยมโหดทันที

“ข้ายังไม่ตาย เจ้าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร อยากถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างนั้นรึ!”

ภาพนี้อยู่ในสายตาซูหมิง ทำให้ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย มุมปากยังยิ้มบางจนไม่อาจตรวจพบ

‘บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงคนนี้มีความปลิ้นปล้อนใช้ได้…’ รอยยิ้มซูหมิงเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ

‘เขารู้ว่าตอนนี้ตนเป็นร่างจิตแรก คนอื่นจะต้องโหยหาเขาอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ยอมตาย หากบอกไปตรงๆ ว่าข้าทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นสำหรับเขาแล้วก็จะไม่มีประโยชน์ใดๆ ทำได้เพียงให้คนอื่นพะว้าพะวงเท่านั้น ถึงอย่างไรภายใต้สถานการณ์พะว้าพะวงแบบนี้คงมีน้อยคนนักที่จะออกหน้าแทนเขาเพื่อมาจัดการข้า อีกอย่างตัวเขาในตอนนี้ ในสายตาทุกคนมีค่าไม่ด้อยไปกว่าสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งเลย ดังนั้น….เขาจึงอดกลั้นความแค้นต่อข้าเอาไว้ ไม่พูดออกไป ก็เพื่อให้คนอื่นมีจุดจบเดียวกับเขา

ใช้ตอนปรากฏตัวชี้นำไปให้คนอื่นสงสัยเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว นี่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเขา หากข้าเป็นเขา เช่นนั้นขั้นตอนต่อไป…’ ตอนที่ซูหมิงมองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง ก็เห็นอีกฝ่ายขยับวูบไหวตัวด้วยความเร็วสูงยิ่ง อาศัยร่างจิตแรกพุ่งออกจากแท่นราบที่หก มาปรากฏตัวอยู่บนแท่นราบของซูหมิง

ภาพนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนอีกครั้ง

“หากสหายปกป้องข้าให้ปลอดภัย ข้าจะมอบดาวของเผ่าพันธุ์ข้าให้เป็นการตอบแทน อีกทั้งข้ายังเข้าใจเตาหลอมลำดับห้ามากด้วย ช่วยให้สหายลดเส้นทางคดเคี้ยวลง ไม่ทราบว่าสหายคิดเห็นอย่างไร?” บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงประสานมือคารวะซูหมิงบนแท่นราบ

คนนอกไม่รู้ แต่ซูหมิงรู้ว่าการคารวะของบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงครั้งนี้ ความ ขมขื่นและคับอกคับใจในใจจะต้องเหลือล้นแน่นอน

‘ย้ายเคราะห์ภัยไปบูรพา[1]’ ซูหมิงมีสีหน้าปกติพลางยิ้มเยาะในใจ

บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงจะต้องสนิทสนมกับจูโหย่วไฉอย่างแนบแน่นแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่อยากดึงจูโหย่วไฉมาเกี่ยวด้วย คนที่เขาแค้นที่สุดคือตน ขอเพียงอยู่ข้างตนก็จะนำพาภัยพิบัติมาให้ ส่วนตัวเองเป็นเหยื่อล่อกระตุ้นความโลภของคนอื่น

ก่อนหน้าที่เขาจะมา เขาล่วงเกินเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวก่อน เพราะคนแรกที่จะไม่ปล่อยเขาไปคือเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว

มิหนำซ้ำการกระทำของเขาดูเหมือนกะทันหัน แต่หากใคร่ครวญดูดีๆ กลับ สมเหตุผลมาก ถึงอย่างไรซูหมิงก็มีพลังอ่อนที่สุดในกลุ่ม

เทียบกับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงที่พลังอ่อนลงในตอนนี้แล้วดูเหมือนจะใกล้เคียงกัน จึงเป็นการเลือกที่เหมาะสมในสายตาของทุกคน

หากเขาเลือกคนอื่นให้มาปกป้อง เช่นนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะรนหาที่ตายเอง

ช่วงที่บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเงยหน้าขึ้นมองซูหมิง ในดวงตามีความบ้าคลั่งที่มีแค่ซูหมิงที่สังเกตเห็น ซึ่งเขาก็เข้าใจมันเป็นอย่างดี

หากซูหมิงปฏิเสธกระดานหมากนี้ เช่นนั้นบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงจะจ่ายทุกอย่างโดยไม่เสียดาย กระทั่งอาจจะเลือกใช้วิธีว่าใครสังหารซูหมิง เขาจะยอมเป็นวิญญาณวัตถุอย่างเต็มใจ นี่คือการจ่ายด้วยความตายเพื่อแลกกับการให้ซูหมิงสิ้นชีพไปพร้อมกัน

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่อยากตาย ฉะนั้นความหมายเขาจึงชัดเจนมาก

เขากำลังเดิมพัน เดิมพันว่าซูหมิงจะไม่มีทางสังหารตนได้ในพริบตา เดิมพันว่าตอนที่พวกเขาเข้าไปในมิติแรกแล้วจะมีคนตามเข้ามาด้วย

[1] ย้ายเคราะห์ภัยไปบูรพา สื่อถึงการใช้กลอุบายบางอย่างทำให้ตนเองพ้นภัย แล้วให้คนอื่นมารับเคราะห์แทน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!