บทที่ 267 ตีข้าเลย พูดจริง! (ต้น)
ณ เมืองหลวง แคว้นถัง!
หลังจากนั้นไม่เกินครึ่งชั่วยาม เยี่ยฉวนและคนทั้ง 11 ได้มาถึงเขตชายของเมือง เสียงลู่ป้านจวงถามมาจากด้านข้างขณะกำลังมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง “เจ้าต้องการกำลังเสริมไหม? ข้ารู้จักพวกกองกำลังรับจ้างที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่ราคากันเอง ไม่แพง”
เยี่ยฉวนนิ่งคิดก่อนหันมาพยักหน้าพลางตอบ “ก็ดีเหมือนกัน เรียกมาเลย!” หญิงสาวพยักหน้า หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก
หน้าประตูเมืองกุ้ยหนาน จ้าวหอชั้นแปดยืนมองตามหลังเยี่ยฉวนที่กำลังมุ่งตรงไปทางเมืองหลวงพร้อมพรรคพวกอีกสิบกว่าคน ผู้เป็นจ้าวหอได้แต่ถอนใจพลางส่ายหน้า “คนหนุ่มสาวมักใจร้อนอย่างนี้เสมอ!” ใจจริงแล้วเขาปรารถนาจะแนะนำให้คนทั้งกลุ่มรีบออกจากแคว้นถังทันที ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ใช่ว่าลู่ป้านจวงกับพวกอยากรีบหนีออกจากเมืองเสียเมื่อไหร่
คนทั้งหมดรู้สึกเช่นเดียวกันว่าตนเองถูกข่มเหงรังแก! จึงไม่ต้องแปลกใจที่คนเหล่านี้รอจังหวะที่จะตอบโต้กลับไปบ้าง พวกเขาเป็นผู้กล้าที่สามารถต่อสู้และพกพาความคับแค้นไว้เต็มหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยี่ยฉวน คนหนุ่มผู้ที่พกพาความแค้นไว้มากกว่าใครทั้งหมด!
เดิมทีสำนักอัปสรเมรัยได้แสดงความจำนงจะส่งคนมาคอยให้ความช่วยเหลือ เมื่อรู้ว่าพวกเยี่ยฉวนประสงค์จะผ่านเข้ามายังเมืองหลวง ทว่าชายหนุ่มปฏิเสธที่จะขอรับความช่วยเหลือนั้น ส่วนตัวแล้วเขาคิดว่าความช่วยเหลือที่เคยได้รับจากสำนักอัปสรเมรัยนั้นมากจนเกินพอ! เพราะต้องช่วยเหลือเขาและพวกจึงเป็นเหตุให้สำนักอัปสรเมรับต้องสูญสละสาขาที่แคว้นถังไปหนึ่งสาขา! ดังนั้นเยี่ยฉวนจึงคิดว่าความปรารถนาดีที่ทางสำนักอัปสรเมรัยมีให้ มากจนเกินพอแล้วอย่างแท้จริง!
ณ เมืองชายแดน
กลุ่มองครักษ์ดาบทมิฬและกองกำลังมัจจุราชถอนกำลังกลับมาเพื่อช่วยทัพใหญ่ต้านทานศัตรู หากเมื่อไปถึงเมืองชายแดนจึงพบว่ากองทัพของเจียงจิ่วถอยกลับเข้าไปประจำที่มั่นภายในเมืองชายแดนแล้ว
บนกำแพงเมืองสูงตระหง่าน นักรบในเสื้อเกราะสีเงินเจียงจิ่วยืนนิ่งขณะทอดสายตาไปที่สุดปลายขอบฟ้า เสียงรำพึงแผ่วเบา “กลับมาเสียทีสิ……”
…
ณ ยอดเขาแห่งหนึ่ง เซี่ยโหวเต้าและองครักษ์ดาบทมิฬนั่งก้มหน้า ท่าที่ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งอยู่กับพื้น ถัดไปไม่ไกล ชายวัยกลางคนยืนนิ่งมือทั้งสองข้างไพล่อยู่ด้านหลัง สายตามองคนตรงหน้าแน่แน่ว คนผู้นี้มิใช่ใครเขาคือมู่ซ่วนชิง อาจารย์ใหญ่สถานศึกษาฉางมู่ในแผ่นดินชิง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด มู่ซ่วนชิงพูดกับคนนั่งชันเข่า “ลุกขึ้น” นั่นแหละเซี่ยโหวเต้าและกลุ่มคนด้านหลังจึงขยับลุกจากที่
มู่ซ่วนชิงเอ่ยว่า “คนพวกนั้นมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่ ข้าน่าจะสืบที่มาของพวกเขาให้รู้แน่ชัดเสียก่อนชิงลงมือ สิ่งที่ทำลงไปเวลานี้เท่ากับยุยงให้เกิดศัตรูเพิ่มขึ้นโดยใช่เหตุ……”
ถ้าได้รู้ก่อนว่าแท้ที่จริงแล้ว ลู่ป้านจวงและพวกของนางเป็นคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาจะไม่สั่งคนให้ลงมือกับคนพวกนั้นอย่างแน่นอน น่าเสียดาย ที่บัดนี้เขากลับสร้างความโกรธเคืองให้คนกลุ่มนั้นเสียแล้ว จะมีทางขจัดความขัดแย้งครั้งนี้ด้วยสันติวิธีบ้างหรือไม่? ไม่เลย ไม่มีทางเลยที่จะจบความขัดแย้งโดยสันติวิธี
เซี่ยโหวเต้าเอ่ยถามแผ่วเบา “ท่านอาจารย์ ต่อไปจะทำอย่างไรขอรับ?” อาจารย์ใหญ่แค่นหัวเราะ “พวกเราทำได้แต่คอยให้ใครบางคนมาถึง เวลานี้นอกจากสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธกาล เยี่ยฉวนมีศัตรูเพิ่มมากขึ้นทุกที ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่ายอดคนอย่างเจ้าเยี่ยฉวน จะทำอย่างไร! อยากรู้เหมือนกันว่าในที่สุดแล้วอาจารย์เซียนกระบี่ที่อยู่เบื้องหลัง จะคอยปกป้องมันได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่!”
…
ในเวลาเดียวกัน เยี่ยฉวนและกลุ่มคนกำลังวิ่งด้วยความเร็วสุดฝีเท้าเข้าไปในป่าบนเทือกเขา
เมืองหลวง แคว้นถัง
เยี่ยฉวนมีสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน ขนาบข้างคือลู่ป้านจวงและคนอื่นตามติดมาทางหลัง เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง พวกเขาได้มาถึงเมืองหลวงแห่งแคว้นถัง ณ เวลานี้คนทั้งหมดไม่ได้เลือกใช้เส้นทางตามปกติเพื่อมุ่งหน้าเข้าเมืองโดยตรง แต่พวกเขาใช้วิธีแอบลอบเข้าเมืองอย่างเงียบเชียบ
เมืองหลวงแคว้นถังไม่ได้ถูกโอบล้อมด้วยกองกำลังของศัตรู ดังนั้นเยี่ยฉวนและคนอื่นจึงสามารถแอบเข้าเมืองได้โดยสะดวก ที่มุมอาคาร ลู่ป้านจวงเอ่ยถามเสียงกระซิบ “เราจะไปไหนก่อน?” เสียงถามทำให้คนอื่นเบนสายตามองเยี่ยฉวนเป็นเชิงถาม
ตอนนี้สถานะของเยี่ยฉวนสำหรับกลุ่มถือว่าเทียบเท่าลู่ป้านจวงก็ว่าได้ เขาเสมือนแกนนำของคนกลุ่มเล็กๆ อีกคนหนึ่ง ด้วยบุคลิกประจำกายที่สามารถชี้นำให้ทุกคนในกลุ่มทำตาม และเมื่อเกิดการปะทะต่อสู้ เยี่ยฉวนกับลู่ป้านจวงจะออกนำหน้าพร้อมต่อสู้อย่างเต็มความสามารถ!
คนที่ถูกถาม สายตาแน่วนิ่งมองออกไปในระยะไกล “สถานศึกษาฉางมู่!” ลู่ป้านจวงย้ำเพื่อความแน่ใจ “ที่สถานศึกษาฉางมู่ มียอดยุทธ์ขั้นผนึกยุทธ์มากมาย!” เยี่ยฉวนเบ้ปากแสยะยิ้ม “ข้าท้าพนันได้เลยว่ายอดยุทธ์ขั้นผนึกยุทธ์พวกนั้น มันไม่กล้าออกมาปะทะกับเราอย่างแน่นอน” จากนั้นผู้พูดก้าวยาวๆ ห่างออกไป
ลู่ป้านจวงหยุดยืนมองตามหลังคนที่เพิ่งเดินผละไป เหยี่ยลี่เดินมาใกล้ทำท่าครุ่นคิด “ท่าทางพี่เยี่ยอารมณ์ไม่ดี!” ทว่าอีกฝ่ายแย้งว่า “อย่างนี้เขาเรียกว่าอารมณ์ดี!”
เหยี่ยลี่ “……”
ครู่ต่อมาพวกเขาก็เข้ามาในเขตของสถานศึกษาฉางมู่แห่งแคว้นถัง สถานศึกษาแห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาเช่นเดียวกับที่อื่น แต่เมื่อเทียบกับสถานศึกษาฉางมู่ในแคว้นเจียง ที่นี่ยังดูแย่กว่า เพราะถึงอย่างไรครั้งหนึ่งสมัยที่ยังรุ่งเรืองสถานศึกษาฉางมู่แคว้นเจียงก็มีคนที่มีชื่อเสียงอย่างกู้เฉียนเฉิง
คนทั้งหมดมาหยุดอยู่ ณ เชิงเขา เหยี่ยลี่เดินเข้ามายืนเคียงข้างเยี่ยฉวนพลางว่า “พี่เยี่ย พวกเราจะจู่โจมที่นี่จริงหรือ?” ตอนนั้นทุกคนราวกับกำลังรอฟังการตัดสินใจจากเยี่ยฉวน “ที่สถานศึกษาฉางมู่นี่แหละ!”
“พวกเราไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน!” เยี่ยฉวนพยักหน้า “ลุยลูกเดียว!” เหยี่ยลี่สีหน้าลังเลเล็กน้อยพลันถามว่า “จะลุยแบบไหน?” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นไปทางยอดเขา พลางตอบให้หายข้องใจ “เราจะจู่โจมแบบซึ่งหน้า!” เมื่อคนพูดจบกระบี่หลิงซิ่วสะบัดออกจากที่พร้อมกับเยี่ยฉวนฉวยจับกระบี่ไว้แน่น จากนั้นจึงทะยานขึ้นภูเขาไปทันที
คนที่ยืนข้างลู่ป้านจวง หลิงฮั่นเบิกตาโพลงมีเสียงพูดขึ้นมาลอยๆ “เอาเลยหรือ? ไม่กล่าวเปิดงาน ทำให้เป็นพิธีรีตองสักหน่อยหรือไง?” หญิงสาวชำเลืองมาทางคนพูดพลันสายตาเบนกลับไปทางเยี่ยฉวน ทันใดนั้นนางก็ทะยานออกจากที่ตามหลังไปอย่างรวดเร็วปานกัน และไม่นานคนทั้ง 12 คนทะยานออกจากที่มุ่งหน้าขึ้นไปทางสถานศึกษาฉางมู่โดยพร้อมเพรียง!
การบุกรุกเข้าฉางมู่ในครั้งนี้เป็นการกระทำอย่างอุกอาจและโจ่งแจ้ง! ฉับพลันเสียงคำรามอย่างฉุนเฉียวดังออกมาจากบริเวณฉางมู่ “พวกเจ้าเป็นใครจึงกล้าบุกรุกเข้ามาในเขตของสถานศึกษาฉางมู่?!” หัวหน้ากลุ่มเดินออกหน้า เยี่ยฉวนเบ้มุมปาก “ญาติผู้ใหญ่ของพวกเจ้า เยี่ยฉวนไง!”
— จบตอน —
