บทที่ 939 : เมื่อใดที่นางเจ็บ เมื่อนั้นหมายความว่าข้าตายไปแล้ว! (ปลาย)
เวลานี้สำนักกระบี่ประสบความเสียหายครั้งใหญ่ยิ่ง ทั้งสำนักมียอดฝีมือขั้นไขว่คว้าเต๋าที่รอดชีวิตเพียงหกคน และสมบัติที่เก็บสะสมมานานปีของสำนักกระบี่ร่อยหรอไปกว่าครึ่งจากการเผาผลาญใช้งาน
สำนักกระบี่ไม่กล้าซี้ซั้วกระตุ้นใช้งานค่ายกลกระบี่อีกต่อไป!
ค่ายกลกระบี่แต่ละค่ายกลต้องใช้พลังงานมากมายมหาศาล
พลันเยว่อู่เฉินสั่งการว่า “จัดการนำคนที่ตายไปฝังให้เรียบร้อย และนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไม่อนุญาตให้คนสำนักกระบี่ออกนอกเขตนครอานุภาพเด็ดขาด!”
ก่อนจะหันไปมองร่างไร้วิญญาณของหมู่เฟิงเฉินที่กลางลาน แววตาไหวระริกล้ำลึก “จัดพิธีศพให้เขาอย่างสมเกียรติ”
สิ้นเสียง ผู้พูดก็หมุนตัวหันหลังเดินตรงไปที่สุสานกระบี่
…
เมื่อยอดฝีมือของเผ่าถังล่าถอยออกไปแล้ว ก็จริงอยู่ที่นครอานุภาพคืนสู่ความสงบ แต่ก็มีความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอบอวลไปทั่ว!
ในวันที่สำนักกระบี่ต่อสู้กับสถาบันฝึกยุทธ์ มีคนเมืองจำนวนไม่น้อยพากันหลบหนีออกจากนครอานุภาพ และภายหลังจากที่เผ่าถังรวบรวมทั้งยอดฝีมือหนีออกจากนครอานุภาพจนหมดสิ้นแล้ว ทว่าผู้คนบางส่วนยังลอบหนีออกจากเมือง
คนเหล่านั้นไม่กล้าอยู่ในนครอานุภาพ!
พวกเขากลัวว่าตัวเองจะพัวพันไปด้วย!
…
บริเวณหุบเขาแห่งหนึ่งนอกเขตนครอานุภาพ
คุณหนูใหญ่นั่งไขว้ขาขัดสมาธิอยู่กับพื้นดิน ไม่ไกลนักมีกองพลม้ากำลังยืนรักษาการณ์รอบๆ บริเวณ ถัดจากที่สตรีมีชายสวมเกราะยืนนิ่งอารักขา
เป็นเวลานานโขทีเดียวกว่าคุณหนูใหญ่จะลืมตาขึ้น หญิงสาวขยับลุกขึ้นยืนพร้อมกับสายตาเย็นเยือกเหลือบแลไปทางนครอานุภาพ
ผู้อาวุโสเยว่เอ่ยขึ้นเบาๆ “คุณหนู ท่านจะทำอย่างไรต่อไป?”
จะทำอะไรต่อไป?
พลันคนถูกถามหรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย “เจ้าล่ะ คิดว่าควรจะทำอย่างไร?”
คนตรงหน้าสั่นศีรษะ “เวลานี้สถาบันฝึกยุทธ์กับสำนักกระบี่รวมพลังกันแล้ว ถ้าเผ่าถังไม่ส่งยอดฝีมือมาสมทบ……ถึงจะยึดนครอานุภาพได้ แต่เกรงว่าเราอาจจะเสียกำลังคนไม่น้อยกว่าเก้าในสิบส่วน”
คุณหนูใหญ่ส่ายหน้า “เผ่าถังจะไม่ส่งยอดฝีมือมาสมทบกับเราอีกแล้ว”
หัวคิ้วของผู้อาวุโสเยว่ขมวดเข้าเล็กน้อย “เพราะอะไร?”
เสียงสตรีตอบอย่างเคร่งขรึม “เพราะมีคนในเผ่าถังไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น! ตอนนี้พวกเรามีกำลังคนมากพอที่จะชิงสุดยอดสมบัติล้ำค่าแล้ว!”
อีกฝ่ายถามกลับว่า “ถ้าเช่นนั้น เราจะวางมือจากนครอานุภาพ……งั้นหรือ?”
ไร้คำตอบจากคุณหนูใหญ่…
ผู้อาวุโสเยว่กล่าวต่อไปว่า “คุณหนู สมบัติล้ำค่าอยู่ในมือเยี่ยฉวนจริงหรือ?”
คนถูกถามตอบเสียงแผ่วเบา “ถูก เจ้าเข้าใจถูกแล้ว พวกเราถูกคนคนนั้นหลอกมาตั้งแต่ต้น! แม้แต่สำนักกระบี่เองยังถูกหลอก! คนคนนี้ไม่เพียงมากพลัง ทว่ายังฉลาดเป็นกรด!”
ผู้ฟังพยักหน้าคล้อยตาม “อุปนิสัยใจคอไม่เหมือนผู้ฝึกฝนกระบี่ทั่วไป……อีกทั้งเวลานี้ยังซ่อนตัวไม่ให้ใครเห็น เราจะทำอะไรก็ไม่ได้! ทางเลือกมีเพียงต้องทำลายสถาบันฝึกยุทธ์ ทว่าสถาบันฝึกยุทธ์ดันร่วมมือกับสำนักกระบี่อีก!”
ขณะพูดสีหน้าหมองคล้ำสิ้นหวัง
เขาสำนึกได้เดี๋ยวนั้นว่าทำอะไรเยี่ยฉวนไม่ได้เลย!
คุณหนูใหญ่เงียบเสียง ในขณะที่อารมณ์เดือดดาลกำลังพลุ่งพล่าน
เดิมทีนางหวังว่าเมื่อเผด็จศึกสำนักกระบี่ได้แล้ว จะตามไปจัดการกับเยี่ยฉวนต่อ ทว่าในเวลานี้ต้องเผด็จศึกสถาบันฝึกยุทธ์ด้วย!
โชคร้ายนักที่สถาบันฝึกยุทธ์ดันตัดสินใจเข้ามาช่วยเหลือสำนักกระบี่ทำให้แผนการของนางพังพินาศไม่มีชิ้นดี โดยเฉพาะเยี่ยฉวนที่มาหนีหายไปทันทีหลังจากเห็นว่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้เกิดประโยชน์แก่ตนแต่อย่างใด
ขณะต่อมา คุณหนูใหญ่บอกกับอีกฝ่ายว่า “ส่งข่าวให้ดินแดนจักรวาลดวงดาวทุกแห่ง จู่โจมดินแดนจักรวาลดาวเว่ยหยางก่อน!”
เสียงทักท้วงอย่างลังเลของผู้อาวุโสเยว่เอ่ยว่า “ข้าเกรงว่าจะไม่มีใครกล้ามาที่นี่อีกแล้ว”
ฝ่ายสตรีบิดมุมปากพูดเสียงเบาราวกระซิบ “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกมันจะไม่อยากแก้แค้น”
ครานี้ผู้อาวุโสผงกศีรษะ “ข้าจะไปส่งข่าวให้พวกเขาทันที!”
ว่าแล้วหันกลับรีบเดินออกไป
คุณหนูใหญ่เห็นดังนั้นหันไปบอกกับเหยี่ยหลานอีกด้านว่า “เจ้าไปส่งข่าวถึงคนกลุ่มหนึ่งให้ที……”
จากนั้นไม่นาน เหยี่ยหลานออกจากสถานที่ไป
บริเวณนั้นจึงมีแต่คุณหนูใหญ่ สตรีเหลือบตาไปทางนครอานุภาพ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะเล่นแมวจับหนูกับเจ้า! เยี่ยฉวน……”
ว่าแล้วแววตาของนางค่อยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
…
ณ สถาบันฝึกยุทธ์
ภายในตำหนักแห่งยุทธ์ เยี่ยฉวนยืนนิ่งงัน เบื้องหน้าไม่ไกลออกไปเท่าใดนักเป็นอู่เวิ่นและเหอเหลียนเทียน
อู่เวิ่นมองมาทางเยี่ยฉวน “น้องชาย หวังว่าคงจะเข้าใจที่ให้มาพบวันนี้……ใช่ไหม”
เยี่ยฉวนตอบเสียงเรียบ “ผู้อาวุโสอู่ ท่านอยากให้ข้าไปจากเมืองนี้สินะ?”
ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้า “เจ้าต้องไปเดี๋ยวนี้! สถาบันฝึกยุทธ์ไม่อาจยืนหยัดต้านทานการจู่โจมของเผ่าถังและกองกำลังน้อยใหญ่ข้างนอกได้อีกแล้ว”
ชายหนุ่มเสียงขรึมเคร่ง “ถ้าข้าไป พวกนั้นคงมาตามหาข้าโดยพุ่งเป้ามาที่สถาบันฝึกยุทธ์อยู่ดี”
อู่เวิ่นจ้องเยี่ยฉวนเขม็ง “เจ้าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องทำอย่างไร!”
เยี่ยฉวนยิ้มน้อยๆ
แน่ล่ะ……รู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร!
เขาไม่อาจปกปิดตัวเองไปตลอด!
เยี่ยฉวนต้องเปิดเผยตัว เพื่อดึงความสนใจของเผ่าถัง จากนั้นจึงหลอกล่อให้ไปในทิศทางอื่น
ทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัว เผ่าถังจะเร่งตามมาจับตัวเขาและจะไม่พุ่งเป้าไปที่สถาบันฝึกยุทธ์กับสำนักกระบี่อีกต่อไป
พูดให้ตรงประเด็น เขาต้องเป็นคนออกไป เพื่อยุติความเดือดร้อนซึ่งเกิดจากเผ่าถังเป็นต้นเหตุ!
อู่เวิ่นพึมพำเสียงแหบต่ำ “ขอโทษด้วย พวกเราไม่มีทางเลือกที่ต้องทำเช่นนี้”
เยี่ยฉวนบอกเสียงเรียบ “ฝากช่วยดูแลน้องและสหายทุกคนด้วย ข้าไม่อยากให้สถาบันฝึกยุทธ์ส่งตัวพวกเขาให้ศัตรู เพื่อหวังเอาตัวรอดอีกแล้ว แต่ถ้าพวกท่านคิดจะทำ ข้าจะพาพวกเขาออกไปเดี๋ยวนี้เลย”
เขามีหอคอยแห่งเรือนจำ!
ความจริง ชายหนุ่มสามารถพาทุกคนไปจากที่นี่ได้ ทว่าเขาจะทำให้ทุกคนตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิม!
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทุกคนจะตายทั้งหมด
อู่เวิ่นมองหน้าชายหนุ่มที่ยืนอยู่เต็มตา “อย่าห่วงเลย สำนักกระบี่จะไม่ทรยศ ด้วยการส่งพวกเขาให้ศัตรูเพื่อหวังเอาตัวรอดแน่”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “ข้าจะจำคำพูดของท่านไว้! หากวันใดผิดคำพูดที่เคยให้ไว้……ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารทุกคนที่สถาบันฝึกยุทธ์ ทว่าหากรักษาคำพูด……ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่ออยู่เคียงข้างสถาบันฝึกยุทธ์ และจะพยายามดึงความเกลียดชังของคนพวกนั้นมาไว้ที่ข้าคนเดียวเท่าที่จะทำได้”
ว่าแล้วคนพูดหันกลับและเดินจากไป
เมื่อไปถึงธรณีประตู เยี่ยฉวนพลันชะงักเท้าหยุดเดินและหันมากล่าวกับคนทางด้านหลัง “ฝากบอกน้องข้าด้วยว่าข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายนาง เมื่อใดที่นางเจ็บหมายความว่า……เมื่อนั้นข้าได้ตายไปแล้ว”
จากนั้นชายหนุ่มก้าวข้ามธรณีประตูก่อนจะหายลับไป……
