บทที่ 940 : พี่ชายข้าอยู่ไหน? (ต้น)
สายตามองตามเยี่ยฉวนที่เดินจากไป อู่เวิ่นนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
คนที่อยู่อีกข้างของอู่เวิ่น เหอเหลียนเทียนรำพึงเสียงแผ่ว “เจ้าหนุ่มนั่นจะทำอะไร?”
อู่เวิ่นสั่นศีรษะ “ไม่ว่าเขาจะทำอะไร……นั่นไม่เกี่ยวกับเราอีกแล้ว”
ขณะนั้น เฒ่าชินท่าทางรีบร้อนตรงมาทางนี้ “เยี่ยหลิงหายไป…”
ทันทีที่ได้ยิน อู่เวิ่นกับเหอเหลียนเทียนต่างสีหน้าเผือดวูบ
ณ เวลานั้น เยี่ยหลิงมีความสำคัญกับพวกเขามากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ด้วยผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่ได้ทำการเคลื่อนย้ายข้อจำกัดคุณสมบัติทางกายของเยี่ยหลิงแล้ว ทำให้นางสามารถสำเร็จขั้นไขว่คว้าเต๋าภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี!
นอกจากนั้น อนาคตของเด็กน้อยเยี่ยหลิงเต็มไปด้วยความเป็นไปได้อันไม่รู้จบ!
ต่อมาคนทั้งสองได้หายวับไปอย่างรวดเร็ว
บนทางสัญจรสายหนึ่งภายในนครอานุภาพ เด็กหญิงวิ่งถลันไปตามทางออกนอกเขตเมือง “พี่ชาย……”
เด็กน้อยวิ่งไปร้องไห้ไปพลาง น้ำตารินไหลอาบสองข้างพวงแก้มจนชุ่มโชก
ต่อมาไม่นาน นางก็มาถึงยังประตูเมืองนครอานุภาพ กรีดร้องตะโกนออกไปสุดเสียง “ท่านพี่!”
ไม่มีคนตอบกลับมา
เวลานั้น อู่เวิ่นปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้าเยี่ยหลิง
เยี่ยหลิงมองมาทางอู่เวิ่นด้วยสีหน้าแววตาทุกข์ทรมานใจยิ่ง “อาจารย์ปู่อู่ ท่านพี่อยู่ที่ใด?”
เสียงตอบกลับแผ่วเบา “เขาไปแล้ว”
เด็กหญิงทรุดลงไปนั่งยองอยู่กับพื้นดิน พลางยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้าส่งเสียงร่ำไห้น่าเวทนา “ทะ……ท่านพี่ทิ้งข้าไปแล้ว?”
เวลานี้นางดูไม่เหมือนผู้ฝึกฝนพลังอันแกร่งกล้าจนถึงขั้นก่อเกิดชั้นเนรมิตเลยแม้แต่น้อย!
……นางเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังหวาดผวาจากการที่ท่านพี่หายตัวไป
อู่เวิ่นทรุดลงนั่งยองเบื้องหน้าเยี่ยหลิงพลางกล่าวกับอีกฝ่ายเสียงเบาราวกระซิบ “เด็กน้อย พี่ชายเจ้าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทิ้ง! แต่ที่ต้องไปเพื่อปกป้องเจ้าต่างหาก เข้าใจหรือยัง?”
เยี่ยหลิงสั่นศีรษะอย่างแรงพร้อมกับน้ำตาไหลพรากอย่างรวดเร็ว “ไม่เข้าใจ ขะ……ข้าแค่อยากจะอยู่กับท่านพี่ ข้าอยากอยู่กับท่านพี่เท่านั้น……”
ทันใดนั้น เด็กหญิงผุดลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกไปทันที “ท่านพี่……”
อู่เวิ่นต้องรีบสกัดกั้นเยี่ยหลิงอย่างรวดเร็ว “เด็กน้อย เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองเปรียบเสมือนจุดเปราะบางในชีวิตของพี่ชาย?”
เยี่ยหลิงมองดูคนพูด ขณะที่น้ำตายังไหลหลั่งไม่ขาดสาย
ชายชราถอนใจขณะกล่าวเสียงขรึม “พี่ชายของเจ้าเป็นคนแข็งแกร่ง……แข็งแกร่งมาก ทว่ามีจุดอ่อนเช่นกัน และจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดคือเจ้า! สำนักกระบี่ไม่อาจเอาชนะเขาได้ เหมือนกับเผ่าถังที่ไม่อาจเอาชนะเช่นกัน แต่กับเจ้า……ที่สามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย คราวนี้เข้าใจที่ข้าพูดหรือยัง?”
คนฟังยืนกำมือแน่นโดยไม่ปริปากพูดออกมาสักคำ
เสียงอู่เวิ่นบอกต่อมาว่า “เจ้าเป็นจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา! ถ้าโดนเผ่าถังจับได้……พี่ชายของเจ้าจะทำอย่างไร? และถ้าตามไปตอนนี้จะช่วยอะไรได้? เด็กน้อย ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือเร่งฝึกปรือและเสริมสร้างพลังความแข็งแกร่งให้มากๆ เมื่อนั้นจะไม่เป็นภาระของพี่ชายอีกต่อไปหรือบางทีเจ้าอาจเป็นฝ่ายไปช่วยเขาก็เป็นได้ เข้าใจไหม?”
ไม่มีเสียงตอบจากเยี่ยหลิง เด็กน้อยได้แต่กำมือนิ่งและยังคงร่ำไห้เบาๆ
อู่เวิ่นปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าแข็งแกร่งและอยู่ในที่ที่ปลอดภัย จะไม่มีใครใช้เจ้าไปคุกคามพี่ชายได้ จริงไหม?”
เด็กน้อยเช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนเปรอะใบหน้าป้อยๆ จากนั้นจึงกวาดตามองไปรอบๆ “ท่านพี่ ข้าจะตั้งใจฝึกฝน! แต่ท่านพี่ต้องสัญญาว่าจะไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ……แล้วต้องกลับมาหาข้า ต้องกลับมานะ!”
รอบด้านมีแต่ความเงียบสงบ ปราศจากเสียงเอ่ยตอบแต่อย่างใด
อู่เวิ่นพูดกับอีกฝ่ายเสียงอ่อนเบาว่า “ข้าว่าเขาคงได้ยินแล้ว”
เยี่ยหลิงมองด้วยสายตาพิศวง ก่อนจะหันไปพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่าน……ออกมาพบข้าหน่อยสิเจ้าคะ ได้ไหม? แค่ประเดี๋ยวเดียวเอง ข้าสัญญาว่าจะไม่งอแงทำให้รำคาญ สัญญาว่าจะกลับไปและตั้งใจฝึกฝน ออกมาให้เห็นหน่อย ได้ไหม?”
อย่างไรก็ตาม ก็ยังปราศจากเสียงตอบอยู่นั่นเอง
มีเพียงเสียงร่ำไห้อย่างทุกข์ระทมยิ่งขึ้นของเยี่ยหลิงเท่านั้น!
ขณะที่สีหน้าของอู่เวิ่นบอกความรู้สึกที่สลับซับซ้อนของเจ้าตัว
เขารู้ว่าเยี่ยหลิงกับเยี่ยฉวนมีกันอยู่สองคนพี่น้อง ทั้งคู่ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมาแต่เล็กแต่น้อย และมีความใกล้ชิดผูกพันกัน ทว่าไม่นึกว่าความรักของพี่น้องคู่นี้จะลึกล้ำยิ่งนัก
เยี่ยหลิงเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนจะหันมาคว้ามือของอู่เวิ่นและบอกว่า “อาจารย์ปู่อู่ กลับกันเถอะเจ้าค่ะ!”
อู่เวิ่นพยักหน้า จากนั้นฉวยข้อมือเด็กน้อยพาเดินกลับไปยังนครอานุภาพ
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงประตูเมือง พลันเยี่ยหลิงชะงักเท้าหยุดเดิน จากนั้นเด็กหญิงหมุนตัวหันกลับก่อนตะโกนออกไป “ท่านพี่ ถ้าท่านตาย ข้าจะขอตายตามเจ้าค่ะ!”
ว่าแล้วนางหันหลังวิ่งตื๋อกลับเข้าไปยังนครอานุภาพ……
บริเวณประตูเมือง อู่เวิ่นหันหน้ากลับมองไปยังที่ใดที่หนึ่งไกลออกไป ก่อนจะหมุนตัวและเดินตามอีกฝ่ายเข้าไป
นอกเขตนครอานุภาพ
ทันใดนั้นเยี่ยฉวนค่อยปรากฏตัวออกมา ใบหน้ามองไปทางนครอานุภาพสีหน้าสงบเยือกเย็น ทว่าปรากฏคราบน้ำตาแห้งเหือดอยู่บนใบหน้า
ครู่ใหญ่ต่อมา ชายหนุ่มค่อยพึมพำเสียงแผ่ว “เด็กน้อย พี่จะอยู่ให้รอดปลอดภัย!”
จากนั้น หันหลังกลับเดินจากไป
หลังจากนั้นไม่นาน เยี่ยฉวนมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง
เบื้องหน้าหนองน้ำ คุณหนูใหญ่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดิน ทันใดนั้น หญิงสาวลืมตาขึ้นพร้อมกับเบือนหน้ามองไปยังระหว่างทางที่ห่างออกไป ปรากฏร่างของใครคนหนึ่งที่นั่น
บรรดายอดฝีมือของเผ่าถังที่อยู่ในบริเวณ ต่างพากันมองไปยังเยี่ยฉวน คนที่ปรากฏตัวบิดมุมปากยิ้มน้อยๆ “แม่นางถัง ข้ามาที่นี่มีเรื่องหนึ่งอยากบอกกับเจ้า”
คุณหนูใหญ่อมยิ้มพลางถาม “เรื่องอะไร?”
เยี่ยฉวนยิ้มในหน้า และที่กึ่งกลางหว่างคิ้วปรากฏหอคอยเป็นภาพเงาพร่าเลือนขึ้นมาให้เห็น
เมื่อมองเห็นเงาเลือนรางของหอคอย คุณหนูใหญ่มองด้วยแววตาครุ่นคิดขณะนัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อย
เสียงชายหนุ่มพูดว่า “ข้าจะมาบอกว่าสมบัติล้ำค่ายังอยู่กับข้าและตอนนี้กำลังจะไปที่นครผู้คุมกฎ……แม่นางถังแล้วเราค่อยพบกัน!”
พูดจบร่างนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่มีใครเคลื่อนไหวออกจู่โจม ด้วยรู้ดีว่าคนที่มาปรากฏตัวในบริเวณนั้นหาใช่เยี่ยฉวนตัวเป็นๆ ทว่าเป็นร่างอวตาร!
นครผู้คุมกฎ!
คุณหนูใหญ่สีหน้าคร่ำเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด
นครผู้คุมกฎเป็นดินแดนในอาณัติของชุมนุมผู้คุมกฎ!
ชายชราที่ยืนข้างๆ เอ่ยกับนางขึ้นว่า “เขาลวงให้เราตามไปที่นครผู้คุมกฎ!”
คุณหนูใหญ่เหลือบมองไปทางนครอานุภาพสีหน้าสงบและนิ่งเงียบ
ถึงกระนั้น ทุกคนต่างสัมผัสว่านางกำลังเดือดดาล
ทางที่ดีที่สุดเพื่อกักเยี่ยฉวนให้อยู่ในนครอานุภาพคือจู่โจมสถาบันฝึกยุทธ์ อย่างไรก็ตาม สถาบันฝึกยุทธ์ผนึกกำลังกับสำนักกระบี่เสียแล้ว จึงเป็นการยากที่นางจะเอาชนะสถาบันฝึกยุทธ์ได้!
ถ้าลงมือจู่โจมสถาบันฝึกยุทธ์ตอนนี้ เยี่ยฉวนต้องรีบแจ้นมาช่วยอย่างแน่นอน…
