Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 10

ตอนที่ 10 หงุดหงิดใจ

ในขณะที่หวังทงกำลังพยักหน้าทักทายเถ้าแก่รองร้านสินค้าแดนใต้ ผู้อื่นทักทายก็คงไม่อาจไม่ตอบรับ เบื้องหลังยังมีที่วิ่งตามมามอบขนม มองใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความจริงใจของเถ้าแก่ร้านขนมนั้นแล้ว หวังทงก็กล่าว “ขอบคุณ” อย่างสุภาพ เถ้าแก่ผู้นั้นได้ฟังคำขอบคุณก็ตกตะลึงไป จากนั้นก็พูดจาเอาอกเอาใจอยู่สองสามประโยคก่อนจะโค้งตัวจากไป

เถ้าแก่ร้านขนมและร้านสินค้าแดนใต้ต่างร้องอุทานขึ้นในใจ เมื่อก่อนเจ้ากั๋วต้งผู้นั้นเข้ามาในร้านก็หยิบฉวยสิ่งของตามอำเภอใจ กินดื่มราวกับเป็นสิ่งอันชอบธรรม หากไม่พอใจยังด่าทอผู้อื่นอีก ไม่เคยคิดจะกล่าวคำขอบคุณ เมื่อเห็นใต้เท้าหวังท่านนี้จิตใจผดุงคุณธรรม รู้การอ่อนน้อมเช่นนี้

“…ใต้เท้าหวัง หากมีเวลา ก็มาลิ้มลองอาหารขึ้นชื่อของพ่อครัวใหญ่เราที่นี่ได้นะขอรับ…”

“ใต้เท้าหวัง ที่บ้านยังขาดอะไรอีกหรือไม่ ก็บอกมาได้เลยขอรับ ตอนบ่ายจะให้คนนำไปให้…”

“ใต้เท้าหวัง มีเวลาก็มาดื่มน้ำชาที่นี่ เป็นชาเซี่ยซ่าเหรินเซียง[1]ชั้นเลิศ…”

เมื่อวานสวมชุดองครักษ์เสื้อแพรแบบเดียวกัน ตลอดทางเงียบเหงาวังเวง แต่ทำไมวันนี้ผู้คนมากมายกล่าวเอาอกเอาใจเช่นนี้ ร้านค้าบนถนนมีมากมาย ทุกร้านในเวลานี้ล้วนมีคนกำลังงานยุ่ง แต่ทุกคนต่างก็ออกมาทักทายด้วยความกะตือรือร้น หวังทงตอบรับไม่หยุด แม้ว่ารู้สึกมึนงงอยู่บ้าง ได้แต่ประสานมือไปทางซ้ายทีขวาทีและก้าวเท้าอย่างรวดเร็วจากไป

องครักษ์เสื้อแพรเจ้ากั๋วต้งปกติก็ประจำการอยู่บนถนนเส้นนี้ ดังนั้นร้านค้าต่างๆ ก็มอบของกำนัลอย่างระมัดระวัง แต่หวังทงอาศัยอยู่บนถนนเส้นนี้ พบหน้ากันบ่อยครั้ง นับว่าประจำการอยู่บนถนนเส้นนี้ครึ่งหนึ่ง

ทั้งสองล้วนเป็นองครักษ์เสื้อแพรเหมือนกัน ใครสูงใครต่ำกันล่ะ ทุกคนเดิมคิดว่าแบ่งตามตำแหน่ง แต่หลังจากหวังทง ลงมือจัดการเจ้ากั๋วต้งบนถนนแล้ว ในใจของทุกคนก็ตัดสินได้แล้ว

นายท่านผู้นี้พวกเราล่วงเกินไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องนอบน้อมส่งมอบของกำนัล ได้เห็นฉากที่ออกหน้าเพื่อคนแก่ที่น่าสงสารเมื่อวานแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกวางใจ อย่างน้อยก็ไม่ใช่สุนัขบ้าอย่างเจ้ากั๋วต้ง วันนี้ความมีมารยาทและสุภาพของหวังทงทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกสบายใจขึ้น นายท่านผู้นี้รู้จักวางตัว!

เมื่อเดินออกจากถนนสายนี้ หวังทงก้มมองชุดมัจฉาเวหาพลางส่ายหน้ายิ้มฝืดเฝื่อน มิน่าใครๆ ก็แสวงหาอำนาจและเงินทอง เห็นการออกมาต้อนรับในยามเช้าแล้ว ก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใด

เป็นดังเมื่อวาน เมื่อไปถึงหน้าประตูจวนของนายกองร้อยเถียน ยังคงเงียบเหงา หากรอไม่นานเท่าไร ชายรับใช้ชราผู้นั้นก็ถือไม้กวาดและถังน้ำเดินออกมา

ชายรับใช้ชราผู้นี้เมื่อเห็นหวังทงก็ไม่มีสีหน้าอันใด ยังคงเย็นชาอย่างเช่นเมื่อวาน หวังทงกลับเป็นคนเดินเข้าไปเอง เอ่ยเสียงเรียบขึ้น

“ท่านลุง ข้าช่วยท่าน!”

มือรับไม้กวาด ถุงกระดาษในมือยังเหลือขนมเปี๊ยะไส้เนื้ออีกสองชิ้น หวังทงก็ส่งให้ชายรับใช้ชราผู้นั้นไปพลางยิ้มกล่าวว่า

“ยังมีไอร้อนอยู่ ท่านลุงลองชิมดู ขนมเปี๊ยะไส้เนื้อจากร้านร้อยหอมบนถนนทักษิณ”

ชายรับใช้ชราผู้นั้นรับขนมเปี๊ยะมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย หวังทงหยิบไม้กวาดและเริ่มกวาดพื้นอย่างขะมักเขม้น งานนี้ไม่ยุ่งยาก แค่ตอนราดน้ำต้องระมัดระวังหน่อยก็ใช้ได้แล้ว รสชาติของขนมเปี๊ยะไม่เลว ชายรับใช้ชราผู้นั้นกินไปสองคำก็อดพยักหน้าพอใจไม่ได้ หวังทงวางไม้กวาดลง หยิบถังน้ำกับกระบวยเริ่มราดน้ำ หวังทงหาคู่สนทนาได้ยากเต็มที ชายรับใช้ชราผู้นี้ดูไปแล้วก็คงไม่เป็นภัยอะไรกับตน ในยามเช้าตรู่เช่นนี้ถูกส่งออกมากวาดพื้น คาดว่าฐานะในจวนนั้นก็คงไม่เท่าไร พูดด้วยสักคำสองคำก็ไม่ต้องกังวลว่าจะแพร่กระจายออกไป

“ท่านลุงอายุมากขนาดนี้แล้ว ใต้เท้าเถียนเป็นคนเข้าใจเหตุผล ไยท่านไม่ลองขอใต้เท้าหางานที่เบากว่านี้ให้ท่านทำ พวกงานเฝ้าประตูหรือยกน้ำชาอะไรพวกนั้น ดีกว่าต้องมาทำงานหนักทุกเช้าเช่นนี้”

ท่านลุงผู้นั้นกินขนมเปี๊ยะไปแล้วก็รู้สึกอารมณ์ดี ถึงกับกล่าววาจาติดตลกว่า

“ใต้เท้าน้อยท่านนี้ ไยไม่บอกให้ตาแก่อย่างข้ากลับบ้านไปพักผ่อนซะเลยล่ะ”

‘ใต้เท้าน้อย’ การเรียกขานเช่นนี้ ‘ใต้เท้า’ ไม่ใช่อายุ หากเป็นตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ด[2]ถึงมหาอำมาตย์เสนาบดี คนรับใช้จวนนายกองร้อยไหนเลยจะเกรงองครักษ์เสื้อแพรตำแหน่งพลทหารชั้นปลายแถว ชายรับใช้ชราจึงได้ล้อเล่นอย่างไม่ใส่ใจตำแหน่งนัก

มีคนคุยด้วย หวังทงที่มีเรื่องอัดอั้นอยู่เต็มท้องก็อยากจะเล่า ถอนหายใจยาวเล่าขึ้น

“ท่านลุง เมื่อวานบอกกับท่านว่าให้กลับบ้านไปดูแลตัวเองในวัยชรา ตอนเที่ยงก็พบเจอเรื่องเลวร้ายเรื่องหนึ่ง ท่านอายุมากขนาดนี้แล้ว แม้จะมีที่พึ่งอยู่บ้าง มีใต้เท้านายกองร้อยคอยกำบังภัย หากออกไปข้างนอกเจอเรื่องเลวร้าย นั่นก็จะมี…”

ชายชรากินจุไม่เบา ขนมเปี๊ยะใส้เนื้อชิ้นกินลงท้องไปหมดแล้ว พอได้ยินก็รู้สึกอยากรู้ เห็นหวังทงไม่อยากเล่าต่อ ก็อดถามขึ้นไม่ได้

“ใต้เท้าน้อย มีเรื่องเลวร้ายอันใด? ลองเล่าให้ฟังหน่อย?”

หวังทงมักรู้สึกว่าชีวิตสองครั้งของตัวเองรวมกันแล้วก็ได้ 40 กว่าปีแล้ว ความจริงการได้มีชีวิตใหม่มานานขนาดนี้ แต่ก็มิได้มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรขนาดนั้น บวกกับเรื่องเมื่อวานที่เจ้ากั๋วต้งทำนั้นมันช่างน่าโมโหเสียจริง เมื่อมีคนถาม ก็ได้ระบายอารมณ์พอดี จึงเล่าออกไปหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

“…ที่ทนดูไม่ได้ที่สุดก็ไอ้พวกเลวที่รังแกคนแก่อ่อนแอไร้ที่พึ่งพวกนี้ ในใจข้าก็คิดว่าข้าคงต้องลุยอย่างไม่คิดชีวิตแล้ว ยังไงก็ต้องอัดเจ้าพวกบัดซบนั่นให้ตาย ท่านลุง พรุ่งนี้ข้าคงไม่ได้มาช่วยท่านแล้ว ท่านก็ระมัดระวังหน่อย อย่าให้หกล้มบาดเจ็บ น้ำหนักของถังน้ำนี้ ข้ายกยังหนัก ท่านก็อย่าได้…”

ชายรับใช้ชราผู้นั้นตั้งใจฟังเขาพูดจบ ได้ฟังคำพูดพร่ำบ่นแสดงความเอาใจใส่จากเด็กน้อยที่ยังไม่โตผู้นี้ ก็อดยิ้มไม่ได้ พลางกล่าวว่า

“เห็นข้าแก่ใกล้ลงโลงอย่างนี้ เหนื่อยมาทั้งชีวิต ยังจะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อีกหรือ”

พูดจบก็ยกถังน้ำและไม้กวาดเดินกลับเข้าไปในจวน เห็นประตูใหญ่ของจวนใต้เท้าเถียนปิดลง บนถนนก็เงียบลงอีกครั้ง หวังทงก็ยืนพิงกำแพงอยู่อย่างนั้น

เมื่อสักครู่ได้พรั่งพรูเรื่องเมื่อวานออกไปจนหมดจนสิ้น ใจของหวังทงก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย คิดว่าอีกสักครู่ก็คงถึงกรณีของตนแล้ว พลันรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่บ้าง

พระอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นสูง บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่มารายงานตัวก็ทยอยมาถึง เกือบจะทุกคนที่มาถึงล้วนใช้สายตาที่เหมือนมองดูเหมือนสัตว์ประหลาดประเมินหวังทงที่ยืนอยู่ตรงมุมนั้นแวบหนึ่ง เรื่องในตลาดแพร่กระจายได้เร็ว กลางวันลงมือต่อยผู้อื่น ตอนบ่ายผู้คนทั้งกองร้อยรู้กันเกือบหมด หรือแม้แต่กองอื่นๆ ก็ได้ยินมาบ้างไม่มากก็น้อย

สายตาราวกับมองดูสัตว์ประหลาดเช่นนี้ นอกจากหัวเราะเยาะแล้ว เกรงว่าจะไม่มีการชื่นชมหรือสรรเสริญอื่นใด หากทุกคนก็ไม่แสดงออกทางสีหน้า

องครักษ์เสื้อแพรจะวางอำนาจกับคนนอก แต่ภายในจะเน้นความสามัคคี การต่อยตีกันเองเช่นนี้เป็นเรื่องต้องห้ามเป็นอย่างยิ่ง หวังทงเพิ่งเข้ามาได้แค่ไม่ถึงสองวัน การจะถูกไล่ออกนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว ใครจะไปยุ่งกับคนพรรค์นี้กัน

จางซื่อเฉียงมาไม่สาย เห็นหวังทงยืนอยู่มุมหนึ่งก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเดินไปอีกด้านหนึ่ง นี่หมายถึงการขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจน

ทุกคนล้วนรู้จักกันผิวเผิน ไม่ซ้ำเติมก็นับว่าพอแล้ว ไยต้องพลอยถูกปลดไปกับเจ้าด้วยล่ะ

เสียงวิจารณ์รอบข้างดังขึ้นเบาๆ หวังทงได้ยินอย่างชัดเจน สิ่งที่พูดล้วนเป็นเรื่องเมื่อวาน ทุกคนพูดกันอย่างออกรสออกชาติ ต่างเห็นเป็นเรื่องสนุก หากแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทุกคนก็ล้วนรู้สึกไม่ดีกับเจ้ากั๋วต้งนั่น หรือแม้แต่นายกองธงใหญ่หลิวซินหย่งที่เจ้ากั๋วต้งติดตามใกล้ชิดผู้นั้นด้วยเช่นกัน

หากตนเองสามารถอยู่ในสำนักองครักษ์อีกสักครึ่งปี ความสัมพันธ์กับผู้คนก็คงจะมักคุ้นกันแล้ว อาศัยประสบการณ์การเมืองในที่ทำงานกับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเหล่านั้นตอนทำงานในยุคปัจจุบัน บางทีอาจจะพอแก้ไขได้ หากยามนี้จะกล่าวอะไรก็ล้วนสายไปเสียแล้ว

หวังทงกำลังถอนใจอยู่นั้น นายกองธงใหญ่หลิวซินหย่งก็มาพร้อมกับเจ้ากั๋วต้ง เมื่อวานตอนเช้าใบหน้ายังยิ้มแย้มแจ่มใสหัวเราะทักทายกับทุกคน วันนี้ใบหน้ากลับมึนตึงเย็นชา

………………

[1] ชื่อเดิมของชาเขียวปี้หลัวชุนที่มีชื่อทางตอนใต้ของจีนในปัจจุบัน

[2] ในสมัยโบราณของจีนขุนนางมีระดับตั้งแต่หนึ่งถึงเก้า โดยระดับเก้าถือเป็นระดับล่างสุด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!