ตอนที่ 100 ไม่อาจออกหน้าสืบข่าว คนจริงยอมด่างพร้อยเอง
“น้องหวัง เรื่องลัทธิไตรสุริยัน ไทเฮารับสั่งแล้วว่า ในเมื่อหูต้าเฉวียนตายไปแล้ว เช่นนี้ก็อย่าได้สืบสาวราวเรื่องต่อ ไยเจ้าต้องแหย่รังผึ้งให้วุ่นวายกันต่อด้วย”
หวังทงจัดการทางนี้เสร็จ เช้าวันต่อมาโจวอี้ก็มาพบและคุยเรื่องนี้ โจวอี้สวมชุดคลุมยาวสีดำ พอได้รับหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของลานฝึกก็ดูเหมือนจะวางตัวเคร่งครัดและสงบนิ่งขึ้นมาก
ตำแหน่งและอนาคตของขันทีในวัง นอกจากความสามารถและเส้นทางลัดแล้ว ยังมีเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นก็คือได้ใกล้ชิดฮ่องเต้มากเท่าไร เฝิงเป่านั้นใกล้ชิดฮ่องเต้เจียจิ้งมาจนถึงอ๋องอวี้ที่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้หลงชิ่งและฮ่องเต้ว่านลี่ในตอนนี้ เป็นขันทีคนสนิทตั้งแต่ว่านลี่ยังเด็ก ดังนี้จึงได้มีอำนาจเช่นวันนี้
ส่วนจางเฉิงนั้นก็เป็นคนที่ทำงานแทนเฝิงเป่าตั้งแต่ฮ่องเต้หลงชิ่งขึ้นครองราชย์ ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นขันทีอันดับสองในวังหลวง
ทั้งสองตอนนี้ยังคอยสั่งการเรื่องต่างๆ ในวังฝ่ายในและสำนักส่วนพระองค์ ทุกวันรับหน้าที่คอยรับส่งฮ่องเต้ว่านลี่เข้าออกนอกวัง มีอยู่หลายวันที่ต้องให้โจวอี้ดูแลแทน
คนในวังนอกวัง ตอนนี้ใครก็รู้ว่าขันทีโจวอี้ที่ประจำกองกำลังมังกรรักษาพระองค์แห่งสำนักอาชาหลวงผู้นี้มีอนาคตไกล วันหน้าไม่แน่ก็จะขึ้นแทนตำแหน่งเฝิงกงกงและจางกงกง
หวังทงย่อมรู้ดี แม้ไม่รู้ก็พอจะเดาได้ ได้ยินวาจาคัดค้านของโจวอี้ในการสืบเรื่องลัทธิไตรสุริยันแล้ว ในใจก็รู้สึกวาบขึ้นทันที แต่ก็ยังคงส่ายหน้ากล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า
“สืบมาถึงตอนนี้ หูต้าเฉวียนผูกคอตาย หากเบื้องหลังไม่มีผู้ใด เช่นนั้นข้าก็วางใจ หากมีผู้ใด แม้ข้าไม่สืบ อีกฝ่ายก็ย่อมไม่รามือ ข้าไม่อาจวางมือได้”
ได้ยินคำตอบหวังทง โจวอี้ก็พูดน้ำเสียงเอาจริงเอาจังต่อว่า
“เรื่องเหลวไหลพวกนี้ เฝิงกงกงไม่สนใจ จางกงกงได้รับพระบัญชาจากไทเฮา ย่อมไม่เห็นด้วยที่เจ้าจะสืบต่อโจ่งแจ้ง พวกเราล้วนรับคำสั่งจากเบื้องบน ย่อมไม่อาจช่วยเจ้าสืบโจ่งแจ้งได้”
สีหน้าหวังทงไม่สู้ดีนัก ขันทีในวังไม่อยู่ภายใต้กฎหมายนอกวัง หากสืบได้ความอะไรขึ้นมารจริง ในวังไม่เห็นด้วย ก็มิใช่ว่าเสียเวลาเปล่างั้นหรือ
เมื่อวานตัดสินใจแล้ว เดิมคิดว่าวันนี้จะขอให้โจวอี้ช่วย แต่อีกฝ่ายมาปฏิเสธถึงที่ ทำไงได้ หวังทงขมวดคิ้วมุ่น กำลังจะพูดก็เห็นสีหน้าโจวอี้ไม่ถูกต้องนัก
คิดอย่างละเอียด ก็เหมือนได้กลิ่นอะไรอยู่บ้าง ‘ย่อมไม่อาจช่วยเจ้าสืบโจ่งแจ้ง’ เช่นนั้นถ้าสืบอย่างลับๆ ล่ะ
พอคิดได้ดังนี้ สีหน้าหวังทงก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย โจวอี้เป็นคนสังเกตสีหน้าคนเก่งอยู่แล้ว เมื่อเห็นสีหน้าหวังทง ในใจก็เดาความคิดของอีกฝ่ายได้ทันที
ถึงตอนนี้จึงได้ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนยิ้มกล่าวว่า
“เราพี่น้องกัน มีเรื่องอะไรคุยกันภายในได้ หากต้องการความช่วยเหลือก็เอ่ยมาได้ แม้ว่าไม่ใช้พวกในวังนอกวัง ข้าก็พอมีลู่ทางส่วนตัวของข้าอยู่”
พูดถึงตรงนี้ หวังทงก็ประสานมือยิ้มออก กล่าวอย่างสุภาพว่า
“พี่โจวให้การดูแล วันหน้าอย่างไรคงต้องรบกวนพี่ด้วย”
โจวอี้พยักหน้ายิ้มรับ สองฝ่ายรับรู้กันอยู่ในใจ โจวอี้มีงานรัดตัว หวังทงจึงไม่รั้งเขาเอาไว้ ตอนจะออกไปโจวอี้ยังหันหน้ามาแสยะยิ้มกล่าวว่า
“ห้องเครื่องยังจะส่งพ่อครัวมาอีกสามคน น้องหวังเตรียมจัดการด้วย”
“ไยต้องให้พ่อครัวห้องเครื่องมาด้วย เด็กๆ ที่นี่กินกันอิ่มหน่ำสำราญดีอยู่ หากกินมากเกินไปดีเกินไป ยังเรียกว่าฝึกฝนได้อีกหรือ”
ได้ยินคำตอบหวังทง โจวอี้ก็ส่ายหน้า พูดอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรว่า
“พ่อครัวห้องเครื่องไม่ใช่เอามารับใช้พวกเด็กนั่น ฮ่องเต้ว่านลี่เราต่างหากที่มีความสุขในลานฝึกจึงทรงรับสั่งมาเป็นพิเศษ จากนี้หลังจากทรงเลิกเรียนและเสร็จภารกิจจากท้องพระโรงในตอนเช้า ก็จะมาเสวยด้วยกันกับทุกคนที่นี่”
หวังทงอึ้งไป เรื่องพวกนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ ได้แต่ยอมรับ
ทุกวันตอนประชุมในท้องพระโรง ขุนนางระดับสูงจากหกกรมกองก็แย่งชิงกันเพื่อผลประโยชน์ของท้องที่ตนและเพื่อตัวเอง ย่อมไม่เหมือนกับความสุขจากการได้เล่นสนุกกับเด็กในวัยเดียวกันที่ลานฝึก
และตอนนี้งานแผ่นดินทุกเรื่องก็ล้วนตัดสินใจโดยมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เป็นแค่ตราประทับคอยพยักหน้าเห็นชอบ ไม่เหลือที่ให้แสดงความเห็นอะไรเลย จึงรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก ที่ลานฝึก บรรดาเด็กๆ ที่ได้มาพบกันนั้นต่างก็ไม่รู้จักสถานะที่แท้จริง ความไม่เป็นมิตรในตอนแรกมาถึงตอนนี้ก็กลายเป็นมิตรสนิทกันหมดแล้ว เป็นเพราะการรู้จักแบ่งแยกชักจูงของพระองค์เองแท้ๆ ความรู้สึกนี้ดีกว่าความจอมปลอมในราชสำนักมากนัก
การยิ่งอยากมาอยู่ที่ลานฝึกของฮ่องเต้ว่านลี่นี้ทำให้หวังทงรู้สึกไม่สบายใจ ใกล้ชิดส่วนใกล้ชิด แต่หากทรงลุ่มหลงลานฝึกนี้มากไป ดีไม่ดีจะทำให้ไทเฮา เฝิงกงกง และมหาอำมาตย์รู้สึกไม่ดีไปด้วย ก็จะได้ไม่คุ้มเสีย
เรียกให้คนไปส่งที่ประตู โจวอี้ก็ขออำลาจากไป รอโจวอี้ไปแล้ว หวังทงก็ยกมือตบท้ายทอย รู้สึกวุ่นวายใจจนถึงกับลืมไปเรื่องหนึ่ง
การเดินและวิ่งเป็นแถว และการฝึกหมู่ของลานฝึกนั้นดำเนินมาได้พอประมาณแล้ว ลำดับต่อไปการฝึกสมรรถนะและการฝึกหมู่นั้นทุกวันก็ยังต้องทำต่อ แต่บทเรียนที่สำคัญก็คือเทคนิคการต่อสู้และป้องกัน และการใช้อาวุธ
อาวุธของลานฝึกนี้ยังไม่พอ ต้องขอมาจากคลังสรรพาวุธของสำนักอาชาหลวงอีกหน่อย แต่เมื่อครู่ลืมบอกโจวอี้ไป ตนเองคงต้องไปด้วยตนเองสักครั้งแล้ว
****
ตำแหน่งเจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่วั่นไฉในศาลซุ่นเทียนสั่นคลอนไปเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนนี้ค่อยๆ คืนสู่สภาพปกติแล้ว สาเหตุก็ง่ายมาก หลังจากเกิดเรื่องใหญ่ครั้งก่อน เดิมคิดว่าต้องโชคร้ายอย่างที่สุด อย่างน้อยคงต้องถูกย้ายตำแหน่ง แต่ปฏิกิริยาของทุกฝ่ายกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คนของศาลซุ่นเทียนต่างเข้าใจดี ทำได้ถึงขั้นนี้ แน่นอนต้องมีการสั่งการลงมา หรือไม่ก็เรื่องของเขานี้ตรงความต้องการพอดี
ในเมื่อโชคไม่ร้ายแล้ว ก็ไม่อาจล่วงเกินได้ อำนาจหน้าที่ที่ริบเอาไปก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ คืนกลับมา แม้แต่หวังซื่อกับ หลี่กุ้ยยังถูกจัดสรรงานให้ทำ ถึงกับมีผู้ใหญ่สั่งการลงมาว่า แม้ว่าเขตทักษิณจะไม่มีจวนคฤหาสน์ของขุนนางชนชั้นสูงอะไร แต่ประชาชนทั่วไปก็ไม่อาจไร้การดูแล หวังซื่อกับหลี่กุ้ยในฐานะที่เป็นมือปราบจึงให้รับหน้าที่ดูแลพื้นที่
เจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่วั่นไฉทุกวันจะใช้เวลาไปขลุกอยู่ที่หวังทงมากกว่าเวลาที่อยู่ศาลมาก แต่ไม่มีใครกล้ายุ่ง เจ้ากรมหวงเซินและรองเจ้ากรมเฉินจื้อจงแห่งศาลซุ่นเทียนก็ได้แต่ปิดตาข้างหนึ่ง คนอื่นๆ ก็ไม่อยากแส่หาเรื่องใส่ตัว
เขตรับผิดชอบของเถียนหรงหาว ไม่รู้ว่ามีข่าวลือกันขึ้นมาตอนไหนว่า เจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่วั่นไฉกับนายกองธงใหญ่ร่วมมือกันยึดพื้นที่
นายท่านทั้งสองเป็นคนในพื้นที่ ร่วมมือกันลงมือ ไม่ว่านักเลงใหญ่โตจากไหนก็ต้านไม่อยู่ ได้แต่ยอมส่งมอบเงินแต่โดยดี ไม่รู้ว่าได้กันไปเท่าไร
****
“ใต้เท้าน้อย ท่านอายุแค่ 14 บางเรื่องไม่ต้องรีบ วันหน้าอำนาจวาสนาเงินทองรอท่านอยู่แล้ว ไยตอนลงมือรุนแรงเช่นนี้ในตอนนี้ด้วย”
วาจาเหน็บแนมลุงเถียนดังขึ้น หวังทงที่กวาดพื้นอยู่นั้นได้ยินก็งงอยู่บ้าง วิธีการใช้ป้ายสงบสุขหาเงินได้ไม่น้อยจริงๆ แต่ก็แบ่งให้พลทหารตัวเล็กๆ ในกองร้อยไปไม่น้อยเช่นกัน ทางโจวหลินปิ่งและเถียนหรงหาวก็ได้แบ่งไปไม่น้อยเช่นกัน
วิธีการของตนแค่แปลกใหม่ไปหน่อยเท่านั้น ตกถึงมือมากหน่อยเท่านั้น จะหาว่าโกยได้อย่างไร และเงินก้อนใหญ่พวกนี้ยังเอาไปใช้กับการฝึกผู้ช่วยงาน ดำเนินการสืบข่าวเรื่องลัทธิไตรสุริยัน บางส่วนยังต้องจ่ายแทนลานฝึกอีกด้วย เช่นเมื่อหลายวันก่อนที่ได้สั่งทำเกราะหวายและอุปกรณ์ป้องกันพวกนั้นไว้เป็นพิเศษ
ตอนนี้หวังทงก็รู้เรื่องขององครักษ์เสื้อแพรไม่น้อยแล้ว เทียบกับคนอื่นแล้ว สัดส่วนเงินที่เขาหามาได้ตอนนี้ยังนับได้ว่ามือสะอาดอยู่เลย
“กล่าวกับลุงเถียนอย่างไม่ปิดบัง ตอนนี้สถานที่ใหญ่ ต้องใช้เงินมาก พี่น้องแบ่งสรรกันไม่น้อย การกระทำของข้าไม่ได้ทำไปเพื่อความร่ำรวยของตนเองจริงๆ”
ลุงเถียนราดน้ำไปก็หัวเราะคิกคักไปกล่าวว่า
“เรื่องพวกนี้ใช่ว่าเรื่องใหญ่อะไร บนหัวเจ้ายังคุ้มเจ้าอยู่ แต่ตาแก่อย่างข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าอายุยังน้อย มีร้านทำการค้ายังไม่พอ ถึงกับไปจัดสร้างโรงบ้านไว้นอกเมือง ว่ากันว่ามีสาวงามสิบกว่าคนแออัดกันอยู่ในนั้น มันเร็วไปหน่อยกระมัง!”
มือหวังทงหยุดชะงักลง งงไปหมด ในใจคิดว่าเงินเข้าออกในมือของคนนั้นผ่านมือตนหมด โรงบ้านนอกเมืองกับสาวงามมันเรื่องอะไรกัน
เห็นสีหน้าท่าทางเขาแล้ว ลุงเถียนก็หัวเราะส่ายหน้า ตบไหล่เขาพูดอ้อมแอ้มไปว่า
“บนโลกนี้ไม่มีกำแพงที่ไม่มีลมผ่าน ระวังไว้หน่อยละกัน”
พอกลับมาถึงหอเลิศรส หวังทงทั้งโมโหทั้งงง คำพูดเล่าลือไร้ยางอายนี้มาจากที่ใดกันแน่ เท่ากับว่าเป็นวาจาไร้หลักฐานที่แพร่กระจายออกไปแล้วมีคนเชื่อกัน
รอจนหลี่ว์วั่นไฉมาถึง หวังทงก็เล่าเรื่องนี้ด้วยความโมโห เรื่องพวกนี้ ให้พวกมือปราบศาลซุ่นเทียนสืบได้ผลกว่าองครักษ์เสื้อแพร
คิดไม่ถึงว่าหลี่ว์วั่นไฉกลับหัวเราะกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังอย่าได้โมโหไป ข่าวนี้เป็นข้าที่สั่งให้คนลือกันไป หวังซื่อกับหลี่กุ้ยสองคนเป็นคนดำเนินการ”
พอเห็นสีหน้าตกใจของหวังทง หลี่ว์วั่นไฉก็อธิบายเสียงเบาๆ ว่า
“ใต้เท้ายื่นมือเข้าข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แล้วยังนัดพบทีละคนอีก พวกลัทธิไตรสุริยันย่อมเกิดความระแวงสงสัย มิสู้ปล่อยข่าวเช่นนี้ ให้คนนอกคิดว่าใต้เท้ากอบโกย ความระแวงในใจก็ย่อมลดลงไปมาก”
พอได้ยินคำอธิบาย หวังทงก็อึ้งไปส่ายหน้าไปมา ยิ้มฝืดๆ พูดงึมงำกับตัวเอง ว่า
“มาสืบพวกต่ำช้า ก็ต้องทำให้ตนเองพลอยมัวหมองไปด้วย ไร้สาระจริงๆ”
พลุ่งพล่านอยู่ครู่หนึ่ง หวังทงก็เรียกซุนต้าไห่มากระซิบถามว่า
“ส่งคนเข้าไปสอดแนมเสือซ่อนเล็บแล้วยัง?”
“ส่งไปแล้ว เสี่ยวลิ่วเป็นคนไปบอกว่า ลูกของอารองตนจะหางานทำในเมืองหลวง ขอให้ทางนั้นช่วย ทางเราก็หาเด็กในกองที่เฉลียวฉลาดและใกล้ชิดกับพวกเราส่งไป ใต้เท้า ตอนนี้คนในลานฝึกเรานั้นเหลือแค่ 29 คน ไปหาคนจากนอกเมืองมาเพิ่ม จะได้ไม่ใช่ว่าเมื่อถึงเวลาจะไม่พอเรียกใช้”
ซุนต้าไห่รายงานไปก็พูดถึงความลำบากไป หวังทงพยักหน้ากล่าวเสริมว่า
“เอาเงินให้ซานเปียวออกไปหามา คนมากมายในเมืองหลวงเช่นนี้ไม่เหมาะนัก ดูท่าแล้วคงต้องจัดหาโรงฝึกไว้นอกเมืองสักแห่ง ให้คนไปรวมตัวกันฝึกอยู่ในนั้น”
พอพูดถึงตรงนี้ ข้างนอกก็มีคนวิ่งอย่างเร่งรีบเข้ามา พอเห็นว่าเป็นเสี่ยวลิ่วที่เพิ่งเอ่ยถึง เป็นลูกน้องคนหนึ่งในสังกัดองครักษ์เสื้อแพรของซุนต้าไห่
พอเข้ามาก็รายงานทันทีอย่างไม่ยอมหยุดหอบหายใจว่า
“ใต้เท้า ที่ส่งไปจับตาดูรายงานว่าพรุ่งนี้ที่บ่อนจะเปลี่ยนตัวคนเขย่าลูกเต๋าแล้ว…”