ตอนที่ 102 ขอความเป็นธรรมต่อหน้าผู้คน
เถ้าแก่เซี่ยจะเป็นอย่างไร หวังทงก็ขี้เกียจจะสนใจ เรื่องที่ต้องกังวลตอนนี้มีมากพออยู่แล้ว
วันก่อนที่ได้คุยกับโจวอี้ไป เช้าวันต่อมาก็มีขันทีสวมชุดสีม่วงผู้หนึ่งมารายงานตัวที่หอเลิศรส ขันทีชุดสีม่วงผู้นี้ดูเหมือนพระสังขจาย ไม่แย้มยิ้มก็เหมือนยิ้ม
“ใต้เท้าหวัง ข้าน้อยเจี่ยงจงกาว จากนี้ไปจะมาปฏิบัติงานกับใต้เท้าที่นี่ โจวกงกงสั่งมาว่า ทางท่านมีงานอะไรก็ให้สั่งข้าน้อยได้เลย”
บ่อนพนันของเสือซ่อนเล็บก็ใช่ว่าจะยอมแพ้พนันเสียเงินให้ผู้อื่นทุกวัน เจี่ยงจงเกาผู้นี้คงยังใช้งานอะไรไม่ได้ตอนนี้ ยังดีทีหอเลิศรสตอนนี้ต้องการคนมาช่วยพอดี
หากจะบอกว่าเจี่ยงจงเกามีความสามารถที่ไม่ธรรมดาก็เป็นเรื่องจริง เพราะเพียงช่วงเวลาแค่เช้าถึงเที่ยงไม่กี่ชั่วยาม ก็สามารถเข้ากับทุกคนได้ทุกระดับ ตั้งแต่นางหม่าไปจนถึงคนงานในร้านทุกคน ไม่มีใครไม่ชอบคนผู้นี้
คนผู้นี้ยังเคยทำงานในห้องเครื่องหลวง จึงคุ้นเคยกับเรื่องในครัวมาก มือไม้คล่องแคล่ว เสริมประสิทธิภาพการทำงานของหอเลิศรสให้ดีขึ้น บรรยากาศการทำงานดีมาก
เจี่ยงจงเกาผู้นี้ไม่ทำให้คนรู้สึกเป็นกังวล มีคนผู้นี้อยู่ที่ร้านมีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย
ช่วงเวลาที่งานยุ่งที่สุดของหอเลิศรสตอนนี้ก็คือช่วงเวลาอาหารกลางวันกับอาหารเย็น ต้องเตรียมอาหารสำหรับเด็กร้อยคน และยังมากินพร้อมๆ กัน และก็ยังไม่อาจทำเป็นหม้อใหญ่เกินไปอีก
ตอนนี้ขันทีและองครักษ์ในวังหลวงก็มากันกระจัดกระจาย แน่นอนว่าอยู่ที่ร้านอีกด้านหนึ่ง คนทั้งหอเลิศรสยุ่งกันจนไม่มีเวลาปลีกตัวไปไหนได้เลย
แต่พอมีเจี่ยงจงเกามาก็ไม่เหมือนเดิม เขาแทบจะเอางานในมือของนางหม่าทั้งหมดไปทำ ห้องเครื่องหลวงมีหน้าที่ดูแลอาหารการกินในวังทั้งหมด นางกำนัลขันทีและเจ้านายในวังหลายพันหลายหมื่นคน คนที่หอเลิศรสแค่นี้ย่อมไม่ครณามือ
คนที่หอเลิศรสค้นพบเป็นครั้งแรกว่าที่แท้ตอนกลางวันก็ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกันเช่นนั้นได้ ด้วยการจัดการของเจี่ยงจงเกา ทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นระเบียบแบบแผน
แรกสุดเจี่ยงจงเกาก็พยายามเข้ากับทุกคนให้ได้ก่อน พอสั่งการจึงไม่มีใครปฏิเสธ แม้แต่นางหม่าที่เป็นผู้ดูแลหอเลิศรสตัวจริงยังแย้มยิ้มยินดี
แต่หวังทงกลับสังเกตเห็นว่า แค่เพียงช่วงกลางวันวันแรก เจี่ยงจงเกาก็ดูเหมือนจะคุ้นเคยกันคนของหอเลิศรสทั้งหมดแล้ว สามารถแยกแยะแต่ละคนและเรียกชื่อแต่ละคนได้ เป็นจริงดังที่โจวอี้ว่า
*****
ช่วงเวลาอาหารกลางวัน เมื่อจัดจานชามและอาหารในหอเลิศรสเรียบร้อย คนงานทุกคนก็จะถอยออกไป หวังทงก็เปลี่ยนเป็นชุดสีน้ำเงินเข้มประจำลานฝึก
ร้านอาหารคึกคักขึ้นอย่างรวดเร็ว บรรดาเด็กๆ กินกันไป คุยหัวเราะเฮฮากันไป ในบรรดาเด็กพวกนี้ นอกจากหวังทงแล้ว ความรู้ของฮ่องเต้ว่านลี่นั้นไม่มีใครเทียบได้ สถานะเช่นนั้นอย่างไรก็ย่อมได้เห็นได้ยินอะไรมาไม่รู้เท่าไร
สองสามวันนี้ เวลาว่างจากการฝึกในลานฝึกล้วนเป็นเวลาฟังหวังทงเล่าเรื่องสนุก ช่วงเวลาอาหารกลางวันก็จะเป็น ‘หวงอี้จวิน’ ที่จะคุยเสียงดังเฮฮา ฮ่องเต้ว่านลี่ชอบความรู้สึกที่มีคนในวัยเดียวกันมารุมล้อมตั้งใจฟัง มักจะเล่าอย่างดีอกดีใจ
หวังทงย่อมไม่แย่งเวลาโดดเด่นของว่านลี่ในช่วงเวลานี้ หวังทงกับหลี่หู่โถวยกอาหารไปก้มหน้าก้มตากินกันข้างประตู ตอนเช้าหวังทงมีงานมาก การฝึกยุทธ์ก็เหน็ดเหนื่อยมาก กลางวันกินข้าวนั้นถือเป็นเวลาพักผ่อน ผ่อนคลายความเครียด
“เจ้าเป็นใคร!”
กำลังกินข้าวอยู่นั้น หวังทงก็ได้ยินคนข้างนอกหอเลิศรสถามดังขึ้น ตอนฮ่องเต้ประทับอยู่นั้น ที่นี่ถือเป็นสถานที่สำคัญ สำนักบูรพาและองครักษ์วังหลวงบางคนก็แต่งกายธรรมดา บางคนทำทีเป็นขันทีหรือทหารในวังมากินข้าวกัน เดินไปมาอยู่บริเวณรอบๆ หากพบคนน่าสงสัยแปลกหน้าก็จะสอบถาม ถึงขั้นลงมือจับกุมตัวเอาไว้
“ข้าน้อยเซี่ยต้าฟู่ เถ้าแก่ร้านหอรุ่งเรือง มีเรื่องด่วนขอพบใต้เท้าหวัง”
ด้านนอกเงียบลง ตามมาด้วยเสียงคนพูดขึ้นว่า
“ผู้นี้เป็นเถ้าแก่หอรุ่งเรืองจริงขอรับ สถานะของใต้เท้าหวังต้องปิดเป็นความลับ ไปตามใต้เท้าหวังออกมา!”
บรรดาประชาชนและร้านค้าบนถนนทั้งสายล้วนได้มาลงทะเบียนกับสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรกันไว้แล้ว และยังมีคนคอยจดจำแยกแยะโดยเฉพาะ โชคดีที่เถ้าแก่เซี่ยเป็นคนคุ้นเคยกัน หากเป็นคนแปลกหน้าจริงๆ เข้ามาแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงถูกจับมัดไปเรียบร้อยแล้ว ส่งไปคุกมืดลงมือสอบสวนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
หากไม่ใช่เพราะหวังทงนั่งอยู่ที่ประตู ตอนนี้เป็นฤดูร้อน ผ้าม่านก็เปลี่ยนเป็นม่านไม้ไผ่แล้ว เกรงว่าคงไม่อาจได้ยินที่คุยกัน
ไม่นาน ก็มีคนแต่งการแบบคนงานแหวกม่านออก เดินมาหาหวังทงที่โต๊ะกระซิบไปสองสามคำ หวังทงก็วางชามลง เดินตามออกไป
เถ้าแก่เซี่ยแห่งหอรุ่งเรืองยืนรออยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าแตกตื่นตกใจ พอเห็นหวังทงออกมา ก็เดินเข้าไปใกล้ แล้วก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที โขกศีรษะไปสองสามที แล้วก็ส่งเสียงร้องไห้กล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวัง ขอท่านได้โปรดช่วยข้าน้อยด้วย!!”
ตอนหวังทงออกมา บรรดาองครักษ์ด้านนอกต่างพากันถอยออกไป นี่นับว่าเป็นการให้เกียรติหวังทง เถ้าแก่เซี่ยคุกเข่าลงทันที ทำเอาทุกคนตกอกตกใจกัน ยังมีบางคนถึงขั้นยกมือแตะดาบเตรียมพร้อม
เด็กในร้านมากมายขนาดนั้น อยู่ๆ เห็นเขาถูกเรียกว่า ‘ใต้เท้า’ จะไม่ทำให้เสียเรื่องหรืออย่างไร เถ้าแก่เซี่ยไปเจออะไรมากันจึงได้คุกเข่าคร่ำครวญเช่นนี้
หวังทงรีบรุดเข้าไปดึงเถ้าแก่เซี่ยให้ลุกขึ้นมา หวังทงตอนนี้กำลังแขนไม่น้อยแล้ว จึงดึงเถ้าแก่เซี่ยขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เขยิบเข้าประชิดก่อนจะตะคอกใส่อย่างโมโหว่า
“อย่าเรียกว่าใต้เท้าหวัง มีเรื่องอะไรก็ไปที่ศาลซุ่นเทียน ข้าจะไปช่วยอะไรท่านได้!”
อยู่ๆ อีกฝ่ายก็คุกเข่าลง ทำเอาหวังทงทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้สถานะของเขาวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว นายกองธงใหญ่ภารกิจกวาดล้างนั้น ต้องทำงานตามคำสั่งเบื้องบน ไม่มีอำนาจหน้าที่รับคดีมาพิจารณาอะไรทั้งนั้น
คดีเถ้าแก่เจ้าครั้งก่อนนั้นเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่อาจไม่ยุ่งเกี่ยว แต่ก็ต้องดำเนินการผ่านเจ้าหน้าที่สืบคดีจากศาลซุ่นเทียน ตอนนี้ยังหาทางจบเรื่องไม่ได้เลย หากเห็นตนเป็นผู้ให้ความเป็นธรรมในการทำคดีแล้ว ยื่นมือเข้ายุ่งทุกเรื่องแล้ว ก็ย่อมทำให้หลายฝ่ายไม่พอใจ หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
นอกจากนี้เถ้าแก่เซี่ยผู้ยังเป็นคนไม่จริงใจและลื่นไหล มาหาตนเองก็ไม่แน่ว่าอาจคิดฉกฉวยโอกาส คิดว่าองครักษ์เสื้อแพรอย่างตนนั้นจะทำอะไรได้มากมาย
พอสะบัดออกได้ หวังทงยังไม่ทันได้หันหลัง เถ้าแก่เซี่ยที่น้ำตาไหลพรากอยู่นั้นถึงกับกอดขาของหวังทงเอาไว้ ร้องขอว่า
“ใต้เท้าหวัง…ไม่ๆๆ…พี่หวัง ข้าน้อยไร้สิ้นหนทางแล้วจริงๆ จึงได้มาขอให้ท่านช่วย คำร้องส่งไปที่ศาลซุ่นเทียนก็ถูกตีกลับมา”
พอได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็อึ้งไป หยุดนิ่งเอ่ยถามว่า
“คดีอะไร ศาลซุ่นเทียนจึงไม่รับ?”
เถ้าแก่เซี่ยพอได้ยินก็ผ่อนแรงคลายอ้อมกอดลงลงเล็กน้อย ก่อนจะรีบพูดว่า
“พี่เขยข้าน้อยช่วงก่อนหน้าเล่นแพ้พนันมา กู้เงินดอกโหดมา ฆ่ากันให้ตายเถอะ ยืมมาห้าสิบตำลึง ครึ่งเดือนก็ปาไปร้อยห้าสิบตำลึง คืนเงินไม่ไหว ก็จะมาเอาหลานสาวที่น่าสงสารของข้าไปใช้หนี้ จะขายไปเป็นสาวใช้ในบ้านคหบดีใหญ่…”
หวังทงสะบัดตัวออกอย่างแรง เอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า
“150 ตำลึงไม่มากนี่ เถ้าแก่เซี่ยไม่มีหรือ?”
กิจการร้านอาหารของหอรุ่งเรืองน่าจะพอมีเงินในลิ้นชักเก็บเงินสัก 200 ตำลึง และช่วงเวลาเช่นนี้การได้เป็นสาวใช้ในบ้านคหบดีก็มิใช่ว่าเป็นงานหนักยากลำบากอะไร
แม้ว่ากันว่าเป็นบ่าวรับใช้ เป็นวัวเป็นม้า แต่บ้านคหบดีก็ให้อาหารการกินและให้เสื้อผ้าอย่างดี ไม่แน่ยังอาจได้เลื่อนขั้น เมื่อไรที่พวกผู้ดีในเมืองพวกนั้นต้องการหาชายหนุ่มหญิงสาวรับใช้ หลายคนก็แย่งกันให้วุ่นวาย การกระทำของเถ้าแก่เซี่ยในวันนี้ช่างกลับตาลปัตรกับความเป็นจริงนัก
“พี่หวัง พี่สาวข้าน้อยร้องไห้มาขอร้องถึงที่ ข้าจะไม่ให้ได้อย่างไร แต่คนพวกนั้นต้องการแต่หลานสาวข้าน้อย ไม่ต้องการเงิน?”
เรื่องนี้น่าแปลกมาก หวังทงขมวดคิ้วถามว่า
“ข้าจำได้ว่าเจ้านายของเถ้าแก่เซี่ยเป็นญาติกับเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนไม่ใช่หรือ ทำไมคำร้องถึงไม่มีคนรับ?”
“หลานสาวข้านั้นจะถูกส่งไปเป็นสาวใช้ที่จวนของเสนาบดีหวังกั๋วกวงแห่งกรมปกครอง คนศาลซุ่นเทียนไหนเลยจะกล้าล่วงเกิน…”
พอได้ยิน หวังทงก็หันหลังจะเดินกลับ เถ้าแก่เซี่ยสมองเสื่อมไปหรือไง ได้เข้าไปเป็นสาวใช้ในจวนของเสนาบดีกรมปกครอง สุขสบายกว่าเป็นคุณหนูในครอบครัวชนชั้นกลางมากนัก ยังตินั่นตินี่ หากไม่ใช่ว่าเถ้าแก่เซี่ยร้องไห้ท่าทางน่าสงสารล่ะก็ หวังทงยังคิดว่าเจ้าพวกปล่อยดอกโหดพวกนั้นสร้างบุญสร้างกุศลเสียอีก
พอหันหลังกลับ หวังทงก็อึ้งไป ไม่รู้ว่าประตูหน้าตาหอเลิศรสมีแต่หัวคนมามุงกันตั้งแต่ตอนไหน บรรดาเด็กๆ ที่เบียดมุงกันนั้นปากยังมันแผลบอยู่เลย มองดูกันอย่างออกรสออกชาติยิ่งนัก
ฮ่องเต้ว่านลี่กับหลี่หู่โถวแย่งมุมที่ดีได้ หวังทงยืนอยู่นอกประตูตรงนั้น หันกลับมา บรรดาเด็กๆ ยังไม่ทันรู้ตัว สองฝ่ายมองตากันงงๆ ครู่หนึ่ง กลับเป็นฮ่องเต้ว่านลี่ที่เอ่ยขึ้นก่อนว่า
“พลทหารหวัง หลานสาวคนผู้นี้จะต้องไปเป็นสาวใช้ ก็เป็นเรื่องน่าสงสาร เจ้าลองสอบถามดูหน่อยเถอะ!”
ดวงตาทั้งคู่ของฮ่องเต้ว่านลี่ส่องประกายออกคำสั่งอยู่ตรงนั้น ในยุคนี้ การคุยวิจารณ์กันเรื่องเกี่ยวกับคดีของเปาบุ้นจิ้นเป็นที่นิยมมาก ตอนเด็กๆ คุยกันนั้นก็มักจะเล่ากันบ่อยๆ ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่อดไม่ได้ที่คิดว่าตนเองก็อยากจะเป็นท่านเปาขึ้นมาบ้าง หรืออาจเห็นว่าหวังทงเป็นเปาบุ้นจิ้นก็ได้ รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
หวังทงร้องโอยในใจ เป็นสาวใช้แล้วอย่างไร เป็นหญิงชาวบ้านทั่วไปแม้ว่าจะอิสระ แต่ไม่ได้กินอะไรดีๆ ไม่ได้สวมผ้าแพรอย่างดี จะไปดีได้อย่างไร หากได้เข้าไปอยู่ในจวนเสนา แม้ว่าวันหน้าจะแต่งกับบ่าวรับใช้ด้วยกัน เป็นบ่าวไปตลอด ก็ดีกว่าครอบครัวยากจนไม่รู้ว่าตั้งเท่าไร ไยต้องยุ่งกับพวกเขา
แต่เมื่อฮ่องเต้ถาม ก็ได้แต่หันกลับไปกล่าวกับเถ้าแก่เซี่ยว่า
“ไปเป็นสาวใช้จวนเสนา คนปกติแย่งกันหัวร้างข้างแตกยังไม่ได้เป็น เจ้ามาร้องไห้คร่ำครวญที่นี่ เลอะเลือนหรืออย่างไร?”
เถ้าแก่เซี่ยคุกเข่ากับพื้นด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ ยกมือปาดน้ำตาบนใบหน้า ดินที่เลอะในมือก็ลูบติดไปเป็นปื้นใหญ่บนใบหน้า บรรดาเด็กๆ มองเขาอยู่ พอเห็นท่าทางน่าตลกเช่นนี้ ก็หัวเราะฮากันครืน
“หากได้ทำงานในจวนเสนา ข้าน้อยย่อมดีใจมาก แต่หลานสาวน่าสงสารของข้าน้อยจะถูกส่งให้ลูกชายของเสนาหวัง…เจ้านายข้าน้อยพอมีสายสัมพันธ์กับศาลซุ่นเทียนอยู่บ้าง พอรู้มาบ้าง บอกว่าลูกชายเสนาหวังกำลังปรุงยาอะไรสักอย่าง ซื้อหญิงสาวไปทำเตาปรุงยา ปรุงกันจนตายไปสี่ห้าคนแล้ว…รู้มาแค่นี้ ดังนั้นข้าน้อยจึงไม่ยอมให้หลานสาวต้องโดดเข้ากองไฟ…”