ตอนที่ 107 อุดช่องโหว่ ไม่ยอมรับผิด
ตอนมาที่ลานฝึก เดิมเด็กๆ พอเดากันได้แล้วว่าเป็นลานฝึกกองทัพใช้ชื่อแอบแฝงว่าเป็นลานฝึกทั่วไป ตอนนี้เมื่อต้องเผชิญกับความตายกันนอกลานฝึก ก็ถึงกับมีทหารมาช่วย ทำให้ยิ่งแน่ใจในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
เมื่อเดินผ่านถนน ก็เห็นพลธนูที่ประจำอยู่ตรงกำแพงสองด้านและบนหลังคาพากันลดคันธนูลง ก้มหน้าลงให้พวกเขาเดินไปก่อน เพราะเป็นลูกหลานสายทหาร การที่เด็กๆ เห็นคนตายไปเหล่านั้นไม่เพียงแต่ไม่ทำให้พวกเขาหวาดกลัว แต่กลับรู้สึกชื่นชมผู้กล้าสง่างามเหล่านี้ แอบกระซิบวิจารณ์กันไม่หยุด
หวังทงยังไม่อาจกลับไปพร้อมกัน พอเห็นกองกำลังมังกรรักษาพระองค์ฝ่ายซ้ายมาเก็บไปทีละศพ บรรดาบ่าวรับใช้ที่รวมกันอยู่ฝั่งร้านน้ำชา ก็ล้วนแต่ไม่มีท่าทีวางเขื่องเหมือนเมื่อสักครู่ ทุกคนสีหน้าซีดเผือด ตัวสั่นเทาราวกับกระด้งฝัดข้าว
บนใบหน้าของหลายคนยังเปื้อนโลหิตสดๆ เมื่อครู่อีกด้วย แต่ไม่มีใครกล้าเช็ดออก หวังทงกวาดตามองกลุ่มคนสองสามคนในร้านน้ำชา
เขาคิดถึงตอนที่เหอจินอิ๋นถูกคุมขังอยู่ในคุกที่ศาลซุ่นเทียนตอนนั้น ตอนได้ออกจากคุก ก็ว่ามีลูกชายของเสนาบดีกรมปกครองออกหน้าด้วย แต่ไม่รู้ว่าเสนาบดีกรมปกครองผู้นั้นมีบุตรชายคนนี้คนเดียวหรือไม่
หวังทงมองอย่างสำรวจเช่นนี้ บรรดาคนในร้านน้ำชาก็พากันหนาวสันหลัง คุณชายผู้นั้นสีหน้าก็ซีดเผือด ฟันกระทบกันดังกึกๆ พ่อบ้านรองล้มลงอยู่ที่พื้นตรงนั้นก็สั่นเทาไปทั้งตัว สติกระเจิดกระเจิง เอาแต่กล่าวว่า
“พวกเราเป็นคนของจวนเสนา ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ไม่มีใครกล้าแตะต้อง…”
หากเป็นซูเปียวที่คงสติได้มากกว่า เขามองการเคลื่อนไหวของคนนอกร้านน้ำชาอย่างเคร่งเครียด ดูศพที่ถูกลากออกไป ไม่มีการส่งคนมาเฝ้าคุมเพิ่มอีก จึงได้เอ่ยขึ้นเสียงเบาๆ ว่า
“คุณชาย อีกสักพักไม่ว่าคนพวกนั้นให้ทำอะไร ก็รับปากไป ดูแล้วพวกเขาไม่มีความคิดที่จะสังหารพวกเรา รอให้กลับถึงจวนเสนาก่อน ทุกอย่างก็ให้นายท่านออกหน้า!!”
ในตอนนี้นั้นทั้งร้านน้ำชานอกจากซูเปียวแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนหวาดกลัวลนลาน เมื่อมีผู้ให้ความคิดเห็นที่หนักแน่นเช่นนี้ ทุกคนต่างก็พยักหน้ารับ
ผ่านไปไม่นาน นายกองร้อยกองอาญาเซวียจานเยี่ยจากสำนักบูรพาก็ขี่ม้าห้อมาถึงอย่างเร่งร้อน วันนี้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ หน้าที่รับผิดชอบในเขตนี้เป็นของเขา ก็คงไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้
เห็นสถานการณ์ดังนี้แล้ว หวังทงก็ไม่อาจผละไปได้ จึงได้กล่าวด้วยคำพูดที่กล่าวกับเติ้งจิ้นนั้นอีกรอบ เรื่องถึงขั้นนี้ ที่สำคัญคือต้องพิสูจน์ความถูกความผิดของเรื่องในวันนี้ จากนั้นไม่ว่าจะแก้ตัวอย่างไร ก็คงต้องยืนอยู่บนหลักที่พึ่งพิงได้ ให้พอถูไถไปได้
จริงๆ แล้วการจัดการเรื่องหลังจากนี้นั้น เล่าให้ละเอียดก็น่าขำนัก เพียงเพื่อให้ฮ่องเต้ว่านลี่ได้มีคำอธิบายให้กับไทเฮาและอำมาตย์จางเท่านั้น
ทุกอย่างเป็นการทำผิดพลาดของสหาย ทุกคนช่วยกันอธิบายเหตุผล ก็เพื่อให้สหายได้อธิบายให้บิดามารดาของตนเข้าใจ
พอได้ยินว่าฮ่องเต้ต้องการปิดเรื่องนี้ นายกองร้อยกองอาญาเซวียจานเยี่ยก็ย่อมเห็นด้วย เรียกผู้ติดตามจัดการต่อ ตนเองยืนอยู่ตรงนั้นพลางกร่นด่าอย่างอารมณ์เสียว่า
“คุณชายของท่านเสนาท่านนี้สถานะสูงส่ง เงินทองก็ไม่ขาด ต้องการผู้หญิงก็แค่จ่ายให้หนัก กลับมาชอบพอนางผู้นี้ ปีก่อนทำเอาตายไปสอง ล้วนอาศัยบารมีของบิดาเรื่องจึงได้เงียบไป”
หวังทงนิ่งอึ้งไป เป็นเติ้งจิ้นที่แอบขยิบตาให้กับเซวียจานเยี่ย ในใจคิดว่าใต้เท้าหวังอายุยังน้อย พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร นายกองร้อยเซวียจานเยี่ยได้สติ รีบแย้มยิ้ม หวังทงกลับกำลังคิดเรื่องการฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านเรื่องพวกนี้มีแสดงในงิ้วไม่น้อย แต่เมื่อเป็นเหตุการณ์จริง บุคคลระดับคุณชายจวนเสนาต้องการหญิงสาว ก็แค่เรียกตัวมา ไยต้องฉุดคร่ากัน
“ใต้เท้าเซวีย เรื่องเป็นอย่างไรเล่ามาให้ละเอียดได้ไหม?”
“คุณชายผู้นี้ลุ่มหลงนารี หญิงรับใช้ในจวนตนเอง หญิงคณิกานอกจวนก็เล่นเบื่อแล้ว ยังฝึกพลังไตรสุริยัน ก็เลยเริ่มมองหาหญิงสาวจากตระกูลดี ทางเราได้เคยรับเรื่องร้องเรียนมาว่า คุณชายบอกว่าสตรีก็เหมือนอาชา ยิ่งพยศยิ่งดี แต่หากได้ขึ้นขี่แล้วก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่สู้จับอาชามาฝึกสนุกกว่า”
พอพูดถึงตรงนี้ นายกองร้อยกองอาญาเซวียจานเยี่ยก็อึกอัก มองเห็นสีหน้าหวังทงยังคงเดิม หากเหมือนมีคำถาม ก็ได้แต่เล่าต่อว่า
“ความชอบของคุณชายจวนเสนากรมปกครองก็ย่อมมีคนตอบสนอง ด้านนอกมีคนกลุ่มหนึ่งคอยช่วยคุณชายวางหลุมดัก เมื่อได้เวลาคุณชายก็จะให้คนมาพาตัวไป หากเจอใครไม่ยอม ก็มักจะต้องฆ่าตัวตายเอง…แม้ว่าเข้าจวนไปได้ ก็ไม่รู้ว่าคุณชายผู้นั้นเล่นกลเม็ดเด็ดอะไรกันมากมายนักหนา ไม่รู้อีกว่าตายเพราะอะไร”
เห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเช่นนี้ คิ้วหวังทงค่อยๆ ขมวดมุ่น เอ่ยถามว่า
“เช่นนั้นท่านก็ไม่จัดการหรือ?”
เซวียจานเยี่ยมองหวังทงอย่างแปลกใจ กล่าวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรว่า
“สำนักบูรพาก็ไม่ต่างอะไรกับองครักษ์เสื้อแพรของท่าน สืบคดีก็ได้ แต่เรื่องชาวบ้านหยุมหยิมพวกนี้ หากจะตัดสินลงโทษก็ต้องศาลซุ่นเทียน คนศาลซุ่นเทียนพวกนั้นกล้าลงโทษคนจวนเสนาได้อย่างไร”
แม้ว่าฟังแล้วบาดหู แต่ก็เป็นเรื่องจริง หวังทงได้แต่ประสานมือคำนับเซวียจานเยี่ยและคนอื่นกล่าวว่า
“เรื่องวันนี้ พูดแค่ว่าเป็นการกระทำของสำนักบูรพา หน่วยงานและคนอื่นๆ ทีเหลือ รวมทั้งลานฝึกหู่เวย ล้วนไม่อาจให้เกี่ยวข้องได้ จะได้ไม่เป็นเรื่องใหญ่ไป เรื่องนี้ก็รบกวนใต้เท้าทั้งสองแล้ว”
จากนั้นก็หันกายจากไป เซวียจานเยี่ยและเติ้งจิ้นประสานมือคำนับตอบทันที รอจนหวังทงไปไกลแล้ว เติ้งจิ้นก็กระซิบบ่นว่า
“เด็กน้อยอายุยังไม่ถึง 15 แค่นายกองธงใหญ่ ทำเหมือนตำแหน่งใหญ่โต”
นายกองร้อยกองอาญาเซวียจานเยี่ยจากสำนักบูรพาตอบอย่างไม่สบอารมณ์นักว่า
“เจ้าคิดว่าหวังทงตอนนี้ไม่ใช่นายเราสองคนหรือ แม้ว่าตอนนี้ไม่ใช่ วันหน้าก็หนีไม่พ้น ถอนกำลังคนของเจ้าได้แล้ว ข้าจัดการต่อเอง”
****
หวังทงรีบมุ่งไปยังลานฝึก บนถนนทักษิณอยู่ๆ ก็มีคนมากขึ้นไม่น้อย องครักษ์รักษาการหลายคนยังรวมตัวกันอยู่รอบหอเลิศรส หากเทียบกับวันปกติ ก็ว่ามากินข้าวกัน แต่วันนี้ทุกคนสีหน้าเคร่งเครียด ยืนกันเป็นแถว ดูท่าแล้วเรื่องนี้น่าจะแพร่กระจายกันไปแล้ว
มองพระอาทิตย์บนท้องฝ้า การฝึกของลานฝึกน่าจะเริ่มแล้ว หวังทงกำลังจะเดินไป ก็มีคนผู้หนึ่งส่งเสียงแหลมเรียกดังมาจากประตูหอเลิศรส
“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวัง คอยสักครู่!”
หวังทงหยุดหันไปมอง ก็เห็นขันทีน้อยผู้หนึ่งวิ่งมา ขันทีผู้นี้เคยเห็นมาก่อน ก็คือขันทีที่ชื่อว่าเสี่ยวไช่ ไช่กงกงผู้นั้น
เสี่ยวไช่มาหยุดคำนับหน้าหวังทง หอบหายใจกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังมาจนได้ รีบเข้าไปในร้านก่อน จางกงกงรอท่านอยู่”
เรื่องวันนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ น่าจะสนุกมาก แต่คนที่ตกใจกับเรื่องทีเกิดขึ้นพร้อมกับคลื่นความตกใจที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ไม่รู้ว่ามีมากเพียงใด จะมีความยุ่งยากมากเพียงใดกัน
สองคนเดินไปได้สองสามเก้า เสี่ยวไช่ก็กรอกตาไปมา กระซิบถามว่า
“ใต้เท้าหวัง คนหอเลิศรสล้วนให้ออกไปหมดแล้ว ตอนนี้จางกงกงกับโจวกงกงอยู่ที่นั่น ข้าน้อยรออยู่ด้านนอกไม่ไกล ได้ยินว่าจางกงกงโมโหมาก ท่านเข้าไปก็ระวังหน่อย”
“ขอบคุณไช่กงกง อีกสองสามวันเรียนเชิญท่านไปร่วมทานอาหารที่หอรุ่งเรืองด้วย”
“ใต้เท้าหวัง ท่านเกรงใจไปแล้ว รีบเข้าไปเถอะ!!”
ตอนนั้นที่หวังทงหาโจวอี้ เสี่ยวไช่ก็เป็นคนรับหน้าแทนโจวอี้หลายครั้ง ตอนนี้สถานการณ์กลับกัน กำลังหาทางเชื่อมสายสัมพันธ์ใหม่
หวังทงไหนเลยจะสนใจ เขารีบแหวกม่านเข้าไปอย่างเร่งรีบ พอเข้าไปก็เห็นโจวอี้คุกเข่าอยู่ที่พื้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นจางเฉิงที่สวมชุดงูใหญ่สีแดงนั่งอยู่ตรงหน้าเขา สีหน้ามหาขันทีผู้นี้โมโหอย่างมาก พอเห็นหวังทงเข้ามา ก็กล่าวเสียงเย็นเยียบว่า
“หวังทงฝ่าบาทเสด็จที่อันตรายแบบนั้นองค์เดียว เจ้ากลับไม่ตักเตือนรั้งเอาไว้ ยังดีที่ไม่เกิดเรื่อง หากเกิดอะไรขึ้น เจ้าและคนรอบกายเจ้าต้องถูกประหารทั้งหมด กระดูกแหลกเป็นผุยผง อย่าได้คิดว่าตอนนี้อำนาจวาสนาถึงมือแล้ว ก็จะลืมตัวได้”
ตั้งแต่ได้รู้จักกันมา จางเฉิงมีแต่สุภาพเกรงใจ แต่วันนี้คำพูดนี้รุนแรงมาก หวังทงรีบประสานมือก้มหน้ากล่าวว่า
“จางกงกง เรื่องนี้เกิดขึ้นรวดเร็ว ฝ่าบาทประสงค์ไปทอดพระเนตร ฝ่าบาทเป็นถึงโอรสสวรรค์ ดำรัสพระองค์ก็คือราชโองการ ข้าน้อยไม่อาจไม่ทำตาม จะว่าไปก็เพื่อเก็บเป็นความลับ พวกองครักษ์ส่วนใหญ่ล้วนไม่รู้ว่าฮ่องเต้อยู่ในกลุ่มเด็กๆ ด้วย เกิดความผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจ จึงได้เป็นเช่นนี้”
พอได้ยิน จางเฉิงก็ตบโต๊ะเสียงดังลั่น ยืนขึ้นด่าอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“คำพูดของเจ้าเช่นนี้ หรือว่าเรื่องใหญ่ในวันนี้ เจ้าไม่ผิดแม้แต่น้อยเลยงั้นหรือ?”
เสียงตบโต๊ะทำเอาโจวอี้ที่คุกเข่าอยู่นั้นถึงกับสั่นไปทั้งตัว หวังทงกลับยังคงยืนประสานมือกล่าวว่า
“จางกงกงอย่าเพิ่งโมโหไป เรื่องนี้เป็นพระประสงค์ฝ่าบาท หากไม่ทำตาม ก็จะมีโทษฝ่าฝืนพระราชโองการ จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ฝ่าบาทก็ทรงดีพระทัยมาก ก่อนเสด็จกลับยังกำชับให้ปิดบังเรื่องนี้ทั้งหมด อย่าได้ทำให้ไทเฮาและจางกงกงโมโห ท่านว่าตอนนี้ควรจะ…”
หวังทงไม่คุกเข่าและไม่หยุดอธิบายตั้งแต่เข้ามา ก็เพราะไม่อาจแสดงท่าทียอมรับว่าเรื่องนี้ตนเองเป็นผู้ผิด เรื่องวันนี้ผิดถูกไม่อาจรู้ หากถามหาความรับผิดชอบแล้ว ผู้ใดรับผิดขึ้นก่อน เกรงว่าก็คงจะผลักไปที่คนผู้นั้น
หากเรื่องวันนี้ผิดแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ถูกจำกัดบริเวณ เช่นนั้นตนเองกับฮ่องเต้ว่านลี่เกรงว่าก็คงขาดกัน ไม่มีที่พึ่งพิงเช่นนี้ เกรงว่าก็คงต้องกระดูกแหลกเป็นผุยผงเป็นแน่
พอได้ยินว่าฮ่องเต้ให้ปิดเป็นความลับก็ไม่อยากให้ไทเฮาตกพระทัย สีหน้าจางเฉิงผ่อนคลายลง ถอนหายใจยาวก่อนจะนั่งลงกล่าวว่า
“หวังทงเจ้าใจกล้าไปหน่อย หากเรื่องนี้เกิดอะไรขึ้น จะรับผิดชอบได้อย่างไร เสี่ยวโจว ลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้ก็ไม่อาจโทษเจ้า…”
จางเฉิงอารมณ์เย็นลง หวังทงก็กล่าวต่อว่า
“ที่ลานฝึกหลายวันนี้ ทุกเรื่องฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยวางแผนด้วยพระองค์เอง เรื่องวันนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ล้วนเป็นพระประสงค์ของพระองค์เอง นี่นับเป็นเรื่องมหามงคล!”
วาจานี้เหมือนไม่เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ แต่กลับพูดโดนใจของจางเฉิง นอกวังในวัง ไม่มีใครสักคนที่อยากให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยงานแผ่นดินได้ด้วยพระองค์เองเท่ากับจางเฉิงอีกแล้ว มหาขันทีใกล้ชิดที่สุดเช่นเขาตอนนั้นก็จะได้ยิ่งใหญ่ตามไปด้วยดังเรือลอยขึ้นตามน้ำ
พอกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าจางเฉิงก็ผ่อนคลายลงมากขึ้นไปอีกตามคาด พยักหน้ารับติดกัน เคาะโต๊ะเบาๆ กล่าวว่า
“หวังทง นั่งลงเล่าซิ ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ให้ปิดบังเรื่องนี้อย่างไร”